รีวิว สัมภาษณ์สาวไอทีที่ทั้งสวยทั้งเก่งคุณเอิ้น ปานระพี รพิพันธุ์

ถ้าพูดถึงกูรูในแวดวงไอทีแล้วละก็ หลายคนคงจะนึกถึงภาพผู้ชายใส่แว่นที่มีบุคลิกคเหมือนโปรแกรมเมอร์ ที่ออกมาพูดจาภาษาเด็กคอมฯให้เราฟังกัน “แต่” ถ้าพูดถึงกูรูด้านไอทีที่เป็นผู้หญิงแล้ว คุณเอิ้น ปานระพี รพิพันธุ์ นักข่าวและพิธีกรที่นอกจากจะมากความสามารถแถมน่ารัก จะต้องเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่หลายคนคิดถึงกันอย่างแน่นอน

และหลังจากที่ Thaiware ได้รับรู้เส้นทางของคุณเอิ้นจากสาวโปรแกรมเมอร์ที่ผันตัวเองมาเป็นนักข่าวแล้ว เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ เมื่อได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับคุณเอิ้นก็รู้สึกว่า เป็นเรื่องราวที่ดีที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนได้ครับ ที่ยังลังเลที่จะตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตในอนาคตของตนเอง

คำถามแรกที่เราถามคุณเอิ้น คือ ความเห็นต่อค่านิยมที่เชื่อกันว่าผู้หญิงส่วนมากจะรู้ด้านไอทีสู้ผู้ชายไม่ได้ ซึ่งคุณเอิ้นได้ให้คำตอบที่น่าสนใจทีเดียวครับ

"เอิ้นคิดว่ายุคนี้  Social Network เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น มันเข้ามาเป็นตัวนำทำให้เกิดการขยายการใช้งานกว้างกว่าเดิม พอเราเริ่มใช้ Social Network จากบนคอมพิวเตอร์ หรือ SmartPhone-Tablet  ซึ่งแรกๆอาจยังใช้ไม่ถนัดนัก แต่พอมีไว้ในครอบครอง ก็มักจะพยายามหาทางใช้มันจนใช้เป็นใช้คล่องกันไปเอง  ...แต่ว่าถ้าจะให้ดีก็อ่านคู่มือด้วย จะได้ไม่ทำอะไรผิดพลาด และจะได้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพด้วย ก็คุ้มดีค่ะ

สำหรับในเรื่องของการใช้ Device ต่างๆ ต้องยอมรับว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้ใช้งานกันเยอะขึ้น ก็อาจจะด้วย Social Network นี่แหละเป็นตัวเริ่มและค่อยขยายต่อยอดออกไป ถ้าเป็นผู้ชาย ก็อาจจะสนใจค้นหามากกว่า ลงลึกกว่า แต่เดี๋ยวนี้ ผู้หญิงเก่งๆก็มีเยอะขึ้น แม้ว่าอาจจะไม่ได้เปิดเผยออกสื่อมาก แต่อย่าง...ถ้าดูจาก Blogger ก็มีหลายคนที่เป็นผู้หญิงที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวด้านไอทีได้ดีแถม น้องๆเด็กๆบางคน เดี๋ยวนี้เก่งกว่าผู้ใหญ่อย่างเราๆซะอีกนะคะ

จริงๆตอนนี้คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์มือถือต่างๆ เค้าก็พยายามพัฒนาให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นอยู่แล้ว เอิ้นคิดว่าไม่ยากเลยที่เราจะเริ่มเรียนรู้ค่ะ”

อย่างเอิ้นทำรายการ iT24Hrs ก็พยายามที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้บ่อยนะคะ เพราะมันเป็นสิ่งที่อันตราย ถ้าเรารู้เท่าทันไว้ก่อน เราก็จะไม่เดือดร้อน เพราะบางครั้งการสูญเสียมันทำให้เราเดือดร้อนมากกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก ที่สำคัญที่สุดคือข้อมูล ยิ่งบริษัทใหญ่ๆ ยิ่งจำเป็นมากที่จะต้องมีตัว Protection ที่จะคอยตรวจสอบไม่ให้พวก ไวรัสมัลแวร์เข้ามาเจาะข้อมูลภายในของบริษัทได้

การรักษาข้อมูลส่วนตัวของเรา...อย่างแรกที่เอิ้นมักจะนำมาพูดถึงประจำคือ การตั้งพาสเวิร์ดให้ปลอดภัย ไม่ให้เดาง่ายๆ เพราะเค้าอาจจะเดาจากชื่อที่อยู่ ชื่อพ่อแม่ ชื่อแฟน ชื่อสุนัข เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถหาได้ง่ายๆจากในเฟสบุคของเราเอง บางทีเราอาจจะไม่ทันคิดว่ามันมาโยงกับพาสเวิร์ดเราได้

ดังนั้นเราควรระมัดระวังเรื่องการโพสต์ข้อมูล และคอยสังเกตลิงค์ที่มันผิดปกติ ที่มันน่าจะมีโอกาสที่เป็นลิงค์หลอกลวงด้วย ก็อย่าไปคลิ๊กลิงค์เหล่านั้นค่ะ และอีกสิ่งที่สำคัญคือเอิ้นว่า สิ่งที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องน่าจะมีคือ พวกโปรแกรมป้องกันไวรัสนะคะ ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ พอเครื่องติดไวรัสขึ้นมา ถ้าถึงขั้นร้ายแรงก็ต้องฟอร์แมท แล้วข้อมูลที่เราเก็บมาก็ต้องหายไป อย่างเอิ้นจะป้องกันอีกชั้นด้วยการสำรองข้อมูลไว้ใน Cloud บ้าง แต่ข้อมูลที่สำคัญมากๆ ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะไม่รั่วไหล ทางที่ดีคือมีสิ่งที่เอาไว้ป้องกันดีกว่า :D  เอิ้นว่ามันเป็นการลงทุนที่น้อย เฉลี่ยแค่ 2 บาท ต่อวัน แต่มันเป็นสิ่งที่จะ Protect เครื่อง ให้การทำงานของเราไม่ผิดปกติ เจอสปายแวร์ เจอมัลแวร์หรืออะไรที่มารบกวนการทำงานของเรา ก็รู้สึกหงุดหงิดแล้วค่ะ

บางคนบอกว่าลงโปรแกรมแอนตี้ไวรัสแล้ว ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง?

โอเค ความเป็นไปได้ที่มันจะทำให้เครื่องทำงานช้าลงมันก็มีหล่ะ เพราะว่ามันเข้าไป Runใน Background ในขณะที่เราทำงาน แต่บางยี่ห้ออย่าง Avira ที่เอิ้นใช้อยู่ เค้าก็จะมีจุดเด่น ที่มีการทำงานที่ไม่โหลด Resource ถ้าไม่ได้มาสังเกตแบบจับผิดจริงๆ ไม่รู้สึกเลยว่าช้าลง แต่ถ้าเครื่องเราติดมัลแวร์จะทำงานช้าลงกว่าเดิมมากกว่าเยอะ แบบนี้เราลงโปรแกรมแอนตี้ไวรัสดีกว่าค่ะ

ผู้หญิงบางคนอาจจะกลัวว่าจะติดตั้งยากไม๊ แต่ครั้นจะไปลงที่ร้านก็กลัวโดนร้านขโมยข้อมูลส่วนตัว จริงๆแล้ว เดี๋ยวนี้เค้าทำมาให้ใช้งานได้ง่ายๆอยู่แล้วหล่ะค่ะ แค่อ่านและทำ ไปตามขั้นตอนที่เค้าบอกไว้...ก็ทำได้...ไม่ยากเลยค่ะ 

เห็นว่า Avira มี 3 เวอร์ชัน ตัวฟรีเท่าที่อ่านดูก็เหมือนจะพอกับการใช้งานทั่วไปแล้วหรือเปล่า จำเป็นไหมที่ต้องใช้ตัวเสียเงินครับ

คือถ้าดูผ่านๆ Avria ตัวฟรีก็มีฟังค์ชั่นที่จำเป็นให้มาหมดแล้วค่ะ แต่มีหลายอย่างที่แตกต่างกัน เช่น Internet Security และ Premium การทำงานจะตรวจจับไฟล์ก่อนที่ไฟล์จะมาถึงเครื่องเรา แต่ถ้าตัว Free มันจะลงเครื่องเราแล้วถึงค่อยตรวจจับ ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนที่คอมพิวเตอร์ส่วนมากจะออฟไลน์ ตัว Free ก็อาจจะทำงานได้เพียงพอแล้ว แต่ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เกือบทุกเครื่องมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา ดังนั้น จะปลอดภัยกว่าถ้าใช้ตัวที่เป็น Internet Security หรือ Premium

และความแตกต่างที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่น Avira Antivirus Premium และ Avira Internet Security ก็คือ การตรวจสอบการโจรกรรมข้อมูล (Anti Phishing) และยังมีเทคโนโลยี Proactive สำหรับตรวจจับไวรัสโดยดูจากพฤติกรรม การป้องกันการดาวน์โหลดไฟล์ไวรัสขณะใช้งานอินเทอร์เน็ต การป้องกันไวรัสที่แฝงมากับเว็บไซต์ (Web Protection) และอีเมล (Mail Protection)

ในส่วนของ Avira Internet Security ยังมีความสามารถเพิ่มเติมในส่วนการป้องกัน BotNet, Spam มีระบบ Firewall และสามารถสำรองข้อมูล เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายจากไวรัสและอื่นๆ และยังมีฟังค์ชั่นที่ไม่รู้ว่าเด็กๆจะชอบรึเปล่า ก็คือ Child Protection ในการดูแลจัดการการใช้งานอินเทอร์เน็ตของเด็กๆ ไม่ให้เข้าเว็บพวกเว็บโป๊ได้ แต่มันสามารถสั่งเปิด-ปิด นะคะ และถ้าใครกังวลว่าจะมีอะไรมารบกวนเวลาที่เล่นเกมส์ หรือดูหนังอยู่ ก็ไม่ต้องห่วงเพราะว่า Avira Internet Security มีฟังก์ชั่น Game Mode เพื่อป้องกันไม่มีอะไรขึ้นมากวนใจค่ะ

เอิ้นว่า AntiBot เป็นอะไรที่สำคัญมากที่ตัว Free ไม่มี เพราะจะปกป้องไม่ให้ Hacker เจาะเข้ามาทำอะไรคอมพิวเตอร์ของเราได้ หลายคนอาจจะมองข้ามเพราะคิดว่า Hacker ยังน้อย แต่ยิ่งเราใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเท่าไหร่ Hacker ก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ต

นอกจากนี้ผู้ใช้ Avira Antivirus ตัว Premium และ ตัว Internet Security จะสามารถขอรับความช่วยเหลือจากทีม Avira Support ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยนะคะ อันนี้ ตัวฟรีไม่มีน๊า ^_^

(อ่านรีวิวความแตกต่างของทั้ง 3 เวอร์ชันอย่างละเอียดได้ ที่นี่ ครับ)

ปกติแล้วคุณเอิ้นใช้ แอปฯอะไรบ้างที่ใช้บ่อยๆ เป็นประจำ

อันนี้ไม่ขอบอกว่า แอปไหนดีนะคะ เพราะแต่ละคนก็มี Lifestyle ลักษณะการใช้งานไม่เหมือนกัน J  เอาเป็นว่า เอิ้นใช้อะไรบ่อยๆแล้วกันค่ะ อย่างเอิ้นเป็นนักข่าว แอปฯที่เอิ้นจะต้องใช้ประจำเลยก็คือพวกแอปฯอ่านข่าว ซึ่งเอิ้นเองนอกจากรายการไอที24ชั่วโมงแล้ว ก็ทำข่าวทั่วไปด้วยในเรื่องเด่นเย็นนี้ เลยต้องทำการบ้านเยอะหน่อย ต้องติดตามข่าวสารตลอดเวลา และอ่านข่าวจากหลายสำนัก ที่เอิ้นชอบใช้อ่านข่าวเป็นประจำก็อย่างเช่น แอปฯ ThaiNews  เป็นแอปฯฟรีที่รวบรวมข่าวมาให้จากหนังสือพิมพ์หลายฉบับค่ะ เลยคิดว่าสะดวกดี

Drop Box ก็เป็นอีกแอปฯที่ใช้เป็นประจำ เพราะเอิ้นจะเก็บไฟล์งานไว้ใน Dropbox และมันจะ Sync ให้อุปกรณ์ทุกตัวของเรา อย่างเอิ้นเขียนสคริปส์รายการไว้ในคอมที่บ้าน ก็มาเปิดอ่านตรวจสอบงานเราบน iPad ได้ แถมสามารถแก้ไขอัพเดต แชร์กับทีมงานได้

และแน่นอนพวกแอปฯ Social Network ต่างๆ อย่าง Facebook, Twitter, Google+ ก็ต้องใช้เพราะก็จะเห็นเอิ้นโพสต์อยู่ตลอด ตลอด :D

แอปฯ พวก Dictionary ก็เป็นอะไรที่ใช้ประจำนะคะ ของ Longdo ก็ใช้ได้ดี Database เค้าเยอะดี แต่ต้องต่อเน็ตเวลาใช้งาน ...GoodReader ก็ใช้บ่อยเหมือนกัน แอป Keynote นี่ก็ใช้เวลาพรีเซนต์เวลาเป็นวิทยากร แต่ Keynote นี่เป็นแอปฯเสียตังค์ แต่คุ้มค่ะ เอิ้นว่าเสียให้เค้าเถิด กว่านักพัฒนาจะพัฒนากันมาได้เค้าต้องทุ่มแรงกาย แรงใจกันตั้งเท่าไหร่   ถ้าเราเขียนโปรแกรมมาด้วยความยากลำบาก แต่โดน Copy เอาไปไรท์แผ่นขาย คนเขียนแทบตายไม่ได้เงิน เซ็งแย่….บางทีมันก็เป็นกำลังใจนะคะ คนที่ทำแล้วมีรายได้กลับมา อาจจะไม่มาก แต่มันก็เป็นแรงใจ ไม่งั้นวงการไอทีบ้านเรามันก็จะไม่สามารถก้าวไปได้ไกล เพราะมันขาดแรงบันดาลใจ คนก็จะเดินออกจากวงการนี้ไปเรื่อยๆ หรือคนที่ทำได้เก่งก็จะสมองไหลออกไปทำงานต่างประเทศ

เอิ้นใช้ทั้ง iOS และ Android ค่ะ บน iPhone จะมี Find my iPhone ช่วยเหลือเวลาเราทำเครื่องหาย หรือหาไม่เจอ ส่วน Android เอิ้น ใช้ Avira For Android ที่จะช่วยตามหาเวลาเราทำมือถือของเราหายไปได้ การทำงานคล้ายๆ Find my iPhone นี่หล่ะค่ะ แต่อันนี้เป็นของ Android เราสามารถควบคุมโทรศัพท์ของเราได้จากหน้าจอของเรา สามารถสั่งล็อกเครื่อง และให้ส่งเสียงเตือนได้ และยังตรวจสอบพิกัดสถานที่ของโทรศัพท์ได้อีกด้วย จริงๆ ไม่ต้องถึงกับโทรศัพท์เราหาย แค่เราลืมว่าวางไว้ที่ไหนก็ช่วยค้นหาได้ง่ายๆ แล้วค่ะ

คุณเอิ้นจบ Com-Sci แล้วพลิกผันมาเป็นผู้ประกาศข่าวพิธีกรได้ยังไงครับนี่ อะไรคือจุดพลิกผัน?

ก่อนที่เอิ้นจะมาอยู่ตรงนี้ คงต้องย้อนยาวกันนิดนึงนะคะ คือจริงๆแล้วถ้าทุกวันนี้เอิ้นไม่ได้มาทำงานทีวีตรงนี้ เอิ้นก็คงจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย พร้อมๆกับเปิด Software House หรือธุรกิจด้านไอทีสักอย่างตามที่เคยคิดไว้ในอดีต (แต่ตอนนี้ก็ยังคิดที่จะเปิดอยู่นะคะแต่ด้วยตอนนี้ภารกิจเยอะไปหน่อยทั้งงาน ทั้งเรียน เลยยังพักไว้ก่อนค่ะ ^_^  )

เอิ้นเรียนจบตรี Computer Science ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วต่อปริญญาโท Computer Science ที่ University of Central Florida ที่อเมริกาค่ะ แต่ก็แอบมีเปลี่ยนใจเล็กๆน้อยๆ ตอนอยู่ที่อเมริกา เพราะไปติดใจด้านมาร์เกตติ้ง คือเอิ้นมีโอกาสไปทำงานเป็น Research Assistance ให้คณะ Marketing ที่มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ตอนนั้นหล่ะค่ะ พอเราทำเราก็รู้สึกเข้าใจด้าน marketing ไปด้วย มีความรู้สึกชอบขึ้นมา แถม Professor ที่เราทำงานให้ ก็ชวนให้ต่อปริญญาเอกด้านมาร์เกตติ้ง ได้ทุนด้วย ค่าเทอมไม่ต้องเสีย แถมมีเงินเดือน แต่ว่าต้องเสียเวลาอีก 1 ปีเรียนปรับพื้นฐาน ก็เลย ไม่เอาดีกว่า ตัดสินใจเรียน Com-Sci ต่อ (ตอนนี้ แอบมารู้สึกเสียดายเหมือนกัน ^^’)

ตอนที่เรียนโทอยู่ที่อเมริกา เอิ้นเริ่มเข้าหลักสูตร ป.เอกไปแล้วด้วยค่ะ แต่แล้ว ก็มีเหตุให้ต้องตัดสินใจ ขอจบแค่ปริญญาโท แล้วกลับมาเมืองไทยก่อน โดยยัง hold สถานะ นักศึกษา ป.เอก ไว้ ไม่ได้ลาออก คือสามารถกลับไปเรียนต่อได้ 

แต่พอกลับมาเมืองไทย ก็ได้รับโอกาสไปเทสหน้ากล้องที่ช่อง 7 แล้วได้เป็นผู้ประกาศข่าว ก็เลยมาชั่งน้ำหนัก ปริญญาเอกเดี๋ยวกลับไปเรียนก็ได้ เราได้งานที่ช่อง 7 แล้ว ก็เป็นโอกาสที่ดีในชีวิต ก็เลยเป็นผู้ประกาศข่าวที่ช่อง 7 นับแต่นั้นมา พร้อมๆ กับเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย สอนวิชาด้านคอมพิวเตอร์ หลักสูตรนานาชาติไปด้วย  แต่แล้ว ความรู้สึกอยากเรียนก็ไม่ได้หายไปค่ะ ยังอุตส่าห์จะหาทางเรียน ป.เอก ต่อจนได้ โดยเริ่มต้นจากไปเข้าเรียนหลักสูตร ป.เอก ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) หลักสูตรนานาชาติที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีประจอมเกล้าพระนครเหนือ แล้วเรียนไปได้ปีนึง ก็โอนย้ายไปยัง School of Information Technology ที่ Monash University ประเทศออสเตรเลียค่ะ โดยเป็น PhD แบบ Research Based คือทำวิจัยอย่างเดียว หากพื้นฐานเราพอ ก็ไม่ต้องไปเข้าห้องเรียนเพื่อเรียนอะไรเพิ่มเติม ทำ Dissertation อย่างเดียวเลยค่ะ  

และแล้ว เมื่อทำงานที่ช่อง 7 ไปสักพัก ก็ได้รับการทาบทามจากช่อง 3 จนมาอยู่ที่หน้าจอช่อง3 อย่างทุกวันนี้ค่ะ และก็รับผิดชอบรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ช่วงแตกประเด็น พร้อมๆกับทำรายการไอที24ชั่วโมง ที่ทำให้มีโอกาสได้ใช้ความรู้ด้านไอทีที่เรียนมา แต่ความรู้ทางไอทีมันไปเร็วมากค่ะ เราต้องต่อยอดเรียนรู้เพิ่มทุกๆวัน ยิ่งโลกเทคโลยีนี่เหนื่อยมาก หลายครั้งที่มันก้าวกระโดด หันมาดูอีกทีสิ่งที่เรียนรู้มามัน Out ไปแล้ว แต่ถือว่า ก็เป็นการสั่งสม แล้วช่วยให้เราเข้าใจสิ่งใหม่ๆได้เร็วขึ้นและลึกขึ้นค่ะ