รอคอยกันตั้งแต่ก่อนจะเปิดตัว สำหรับสมาร์ทโฟน Huawei P20 ที่ผู้บริหาร Richard Yu ได้ออกมาเปรยๆ ว่า จะทำให้สมาร์ทโฟนซูมได้อย่างกล้อง DSLR ซึ่งพอถึงเวลา Huawei P20 Pro เปิดตัวมาด้วยกล้องหลังไลก้า 3 เลนส์ ที่ครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายที่ความละเอียดสูงสุด 40MP หรือการซูมด้วยเลนส์เทเลโฟโต้ (เลนส์ใหม่) ที่ซูมแบบออพติคัลได้ 3x และแบบไฮบริดได้ถึง 5x ก็เป็นอะไรที่ว้าวมากๆ
ซึ่งหลังจากที่เปิดตัวที่กรุงปารีสเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาไม่ทันไร ทางหัวเว่ย ประเทศไทย ก็ได้นำมาเปิดตัวในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งรายละเอียดของการจำหน่ายมีดังนี้
Huawei P20 และ P20 Pro เริ่มเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 6-16 เมษายน 2561และรับสินค้าในวันที่ 20 เมษายน 2561 โดยผู้ที่สั่งพรีออเดอร์จะได้รับของสมนาคุณตามรุ่นด้วย
ซึ่งทางเราก็ได้สัมผัสกับ Huawei P20 Pro ตัวท็อปมา จึงขอเก็บเป็นรีวิวมาฝากกันครับ
ทั้งจอแบบ FullView Display และ notch ก็ถูกใส่เข้ามาใน Huawei P20 Pro เป็นที่เรียบร้อย โดยหน้าจอมีขนาด 6.1 นิ้วกับอัตราส่วน 18:9 ทำให้หน้าจอมือถือดูยาวพอสมควร บวกกับหน้าจอแบบ OLED อีก สีสันที่แสดงออกมาก็เลยดูอิ่มและโดดเด่นเอามากๆ ส่วน notch ก็ไม่ได้มีขนาดยาวมากและเป็นตำแหน่งสำหรับกล้องหน้ากับสปีกเกอร์สนทนา
ขอพลิกกลับมาด้านหลังก่อน ก็จะพบกับความดึงดูดสายตาอีกจุดหนึ่ง ก็คือบอดี้กระจกด้านหลังสี Twilight ซึ่งเป็น Signature ของ Huawei P20 Pro ในครั้งนี้เลย ด้วยความที่เป็นการไล่สีที่ดูสวยลึกลับ บวกกับวัสดุกระจกที่เล่นแสงเงาเป็นอย่างดีแล้ว บอกเลยว่า สวยสะกดสายตา จนไม่อยากใส่เคสเลยทีเดียว
อีกหนึ่งพระเอกของ Huawei P20 Pro ก็คือ 3 เลนส์กล้องหลัง ที่ถูกจัดเรียงมาในแนวตั้ง เป็นไลน์เดียวกับโลโก้ HUAWEI ด้านล่างของตัวบอดี้ ซึ่งถูกวางตัวอักษรตั้งไว้อย่างจงใจ (บอกเป็นนัยๆ ว่า เราจะใช้มือถือเครื่องนี้ถ่ายรูปมากกว่าทำอย่างอื่น) ซึ่งเรื่องของกล้อง เดี๋ยวจะไปพูดถึงในหัวข้อต่อไป
Huawei P20 Pro ยังคงไม่ย้ายเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไปด้านหลังเหมือนอย่าง Huawei Mate 10 แต่ยังคงไว้ที่ขอบจอด้านล่างเช่นเดิม ทำให้ขอบจอไม่บางลงไปกว่านี้ แต่เราชอบนะ เพราะเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ P20 สามารถใช้งานแทน Navigation Key ของ Android OS ได้ ปิด Nav Key เพิ่มพื้นที่หน้าจอได้อีก
ถึงแม้เซ็นเซอร์จะไม่ตามรอย Huawei Mate 10 ไป แต่รุ่น P20 ก็ได้ตามรอยด้วยการตัดช่องเสียบหูฟังออกไปแทน ถ้าอยากจะเสียบสายหูฟัง ก็ต้องเบียดเบียนพอร์ต USB-C กันไป (เห็นว่าในกล่องจะมีตัวแปลง USB-C เป็นแจ๊ค 3.5mm ให้)
จากเป็นผู้ริเริ่มกล้องเลนส์คู่ ก็กลายมาเป็นผู้ริเริ่ม 3 เลนส์กันต่อ โดย Huawei P20 Pro ได้เพิ่มเลนส์ Telephoto เพื่อให้สามารถซูมภาพได้มากขึ้นถึง 5x ในความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และเลนส์ RGB สำหรับถ่ายภาพปกติ ถูกอัพขึ้นมาสูงถึง 40 ล้านพิกเซลเลยทีเดียว (ส่วนเลนส์ Monochrome มีความละเอียด 20 ล้านพิกเซล)
สำหรับการซูมของ Huawei P20 Pro จะแบ่งออกเป็นการซูมหลักๆ ได้แก่ การซูม 3x แบบออพติคัล, 5x แบบไฮบริด และ 10x แบบดิจิทัล ซึ่งช่วงระหว่าง 1x - 10x เราก็สามารถซูมได้อย่างอิสระนะ ไม่ได้กำหนดตายตัวเป๊ะๆ
1x | 3x | 5x |
3x | 5x |
ขอสารภาพก่อนเลยว่า ก่อนจะได้ลองกล้อง ไม่ค่อยจะหวังผลกับการซูม 5x ซักเท่าไหร่ แต่พอได้ลองจริงๆ แล้ว ถือว่าชัดเจนอยู่พอสมควร ถึงจะไม่คมกริบเหมือนอย่างเลนส์กล้องเทเลแพงๆ แต่ก็ชัดในระดับที่ใช้งาน โพสต์โซเชียลได้สบายๆ ส่วน 3x ก็เป็นระยะที่ถ่ายพอร์ทเทรตสนุกมาก
ในรอบนี้ Huawei P20 Pro ใช้ชื่อโหมด AI ว่า Master AI ที่เพิ่มรูปแบบของการถ่ายรูปจาก 13 รูปแบบ (ใน Mate 10) มาเป็น 19 รูปแบบ ที่ครอบคลุมมากขึ้น เราจะได้ถ่ายดอกไม้ ต้นไม้สีสดๆ อาหารที่น่ากิน ถ่ายภาพบุคคลที่สะกดสายตาได้มากขึ้นพร้อมโบเก้งามๆ ถ่ายทิวทิศน์ได้สวยงามขึ้น ถ่ายย้อนแสงก็ได้ภาพสวยๆ ถ่ายกลางคืนก็ได้ไฟวิ่งเพลินๆ
แต่ความพีคของ AI ที่ได้ทดลอง ก็คือการซูม 10x แบบดิจิตอล ถ่ายตัวหนังสือไกลๆ ซึ่งตอนซูมนี่ ภาพดูหยาบสุดๆ แต่พอลั่นชัตเตอร์ออกมา ผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือภาพข้างบนนี้ที่ตัวอักษรมีความคมชัด อ่านได้อย่างชัดเจน แอบรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
อีกหนึ่งเรื่อง ที่นำ AI มาช่วยกล้องใช้งาน ก็คือ 4D predictive focus ที่จะคาดเดาการเคลื่อนไหวของแบบเวลาถ่ายรูป และคำนวนหาจุดโฟกัสได้อย่างแม่นยำ ถ่ายรูปสนุกขึ้นเยอะเลย
ถ่ายภาพบุคคลนี่สนุกมาก Huawei P20 Pro ใช้ AI จดจำหน้าแบบเป็น 3D แล้วจัดแสงให้อย่างกับอยู่ในสตูดิโอ แถมเรายังโยกย้ายแหล่งกำเนิดแสงได้ในภายหลังอีก สนุกจริงๆ สนุกที่สุด
ในการถ่ายภาพแสงน้อย ถ่ายกลางคืน หรือถ่ายไฟ ก็ทำได้ดีเช่นกัน เวลาถ่ายไฟนีออนเห็นไฟเป็นแท่งเลย ซึ่งปกติแล้วเซ็นเซอร์กล้องมือถือส่วนใหญ่ จะเห็นไฟบวมๆ แต่นี่ไฟชัดเจนมาก ถ่ายกับแบบ ก็เก็บรายละเอียดได้อย่างดี สามารถนำภาพไปปรับแสงเพิ่มเติมได้ (ภาพนี้ถ้าเปิดแฟลช น่าจะได้หน้านางแบบที่สว่างพอดี)
ที่เห็นอยู่นี้ อาจจะเหมือนภาพไม่ชัด แต่จริงๆ แล้วเกิดจากการถ่ายภาพในห้องที่มืดสนิท และความโหดก็คือ Huawei P20 Pro ดัน ISO ขึ้นไปสูงถึง 102,400 ทำให้แม้จะไม่มีแสงเลยซักนิด เราก็ยังสามารถบันทึกภาพออกมาได้ อันนี้ยอมรับเลย ว่าเป็นกล้องมือถือที่โหดจริงๆ บวกกับระบบกันสั่นอัจฉริยะ Huawei AIS (AI Image Stabilization) ด้วยแล้ว จึงช่วยในการถ่ายภาพด้วยสภาพแสงน้อยให้ดีขึ้นไปอีก
Huawei P20 Pro สามารถถ่ายวิดีโอแบบสโลว์โมชั่นได้ที่ 960 fps ซึ่งวิธีการถ่ายคือเรากะเวลาช่วงอึดใจหนึ่งเพื่อกดบันทึกวิดีโอ ซึ่งจะได้โมเม้นต์ตามที่ต้องการไหม ก็ต้องใช้ความชำนาญนิดนึง เพราะเราไม่สามารถเลือกช่วงเวลาที่ต้องการ มาสโลว์ได้
เดี๋ยวไปชมเต็มๆ ในคลิปพรีวิวกันอีกทีนะครับ
Huawei P20 Pro มาพร้อมกับ Android 8.1 และ EMUI 8.1 แบบแกะกล่องเลย ซึ่งเพิ่มฟีเจอร์การใช้งานมาให้หลายจุดเหมือนกัน (และ Huawei P10 Plus เราก็อัพได้มาซักพักหนึ่งแล้ว) และฟีเจอร์สนุกๆ ที่เจอระหว่างการพรีวิว มีดังนี้
ปกติการซูมของกล้อง Huawei จะใช้ 2 นิ้วขยายหน้าจอ เลื่อนแถบด้านขวา หรือกดปุ่ม Volume เอา (ถ้าเซ็ตเอาไว้) แต่เวอร์ชันใหม่ที่เพิ่งอัพเดทมานี้ มีเพิ่มปุ่มซูมมาให้ภายใน UI กล้อง เราสามารถกดซูมระหว่าง 1x, 3x, 5x ได้ สะดวกดีเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่แล้วที่เคยใช้งานมา เราก็จะไม่ค่อยได้ใช้การซูมในระยะอื่นๆ ซักเท่าไหร่ (ใน P10 ซูมแบบไฮบริดได้ 2x เราก็ใช้ 2x เป็นส่วนใหญ่)
อีกหนึ่งฟีเจอร์สนุกๆ คือการกดปุ่มลดเสียง (Volume down) 2 ที จะเป็นการเปิดกล้องถ่ายทันที ซึ่ง Huawei P20 Pro ใช้เวลาในการเปิดกล้องและถ่ายรูปเพียง 0.3 วินาทีเท่านั้น (Huawei P10 Plus ในมือทำได้ 1 วินาที) ทำให้เราสามารถหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปด่วนได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยราคาที่ต่างกันอยู่พอสมควร แน่นอนว่าไม่ได้ให้เลือกแค่ชอบจอเล็กหรือจอใหญ่เป็นแน่แท้ แต่ Huawei P20 มีความแตกต่างจาก Huawei P20 Pro อยู่พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้
Huawei P20 มาในขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้วกับอัตราส่วน 16:9 ซึ่งต่างจากรุ่น Pro ที่มาในขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้วกับอัตราส่วน 18:9 และไม่ได้ใช้หน้าจอ OLED ซึ่งทำให้การแสดงสีสันหน้าจอ ไม่ได้สดเท่ารุ่น Pro แต่ถ้าใครรู้สึกว่า OLED สีสันจะบาดตาบาดใจไปหน่อย ขยับลงมารุ่นนี้ก็ได้นะ
จะเรียกว่าหายไปก็ไม่ถูก แต่เรียกว่า เลนส์เทเลตัวใหม่ยังมาไม่ถึง P20 ดีกว่า ซึ่งลักษณะของกล้อง P20 ก็จะเป็น Dual Camera ที่ได้รับการอัพเกรดจาก P10 แทน ที่มาพร้อมกับความละเอียดเท่าเดิม เพิ่มเติมคือฟังก์ชั่นการถ่ายภาพที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกันสั่น HUAWEI AIS, 4D predictive focus, 5x Hybrid zoom, การถ่ายวิดีโอ 4K และการถ่าย Slo-mo 960fps
Huawei P20 Pro ให้แรมตัวเครื่องมาถึง 6 GB ในขณะที่ P20 คงอยู่ที่ 4 GB เช่นเดิม ซึ่งความแตกต่างคือการประมวลผลที่ช้ากว่า รวมถึงการเปิดแอปฯ สลับแอปฯ ไปมาได้ช้ากว่า ซึ่งถ้าไม่ได้เป็นคนที่ใช้มือถือแบบฮาร์ดคอร์ เปิดแอปฯ ทีละเยอะๆ การจะเลือกใช้ Huawei P20 ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
รุ่น Pro ได้มาตรฐานกันน้ำเรียบร้อย แต่ P20 ยังคงเป็นมาตรฐาน IP53 ที่กันได้เพียงละอองน้ำนิดหน่อย ยังคงต้องใช้งานอย่างระมัดระวังอยู่ดี ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานนะครับ ถ้าใครใช้งานมือถือ ค่อนข้างห่างไกลจากน้ำ ก็เลือกใช้ P20 ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าอุ่นใจหน่อยก็ P20 Pro ที่มีฟีเจอร์กันน้ำ เหมือนอย่างสมาร์ทโฟนเรือธงในท้องตลาด
ถึงเครื่องจะเล็กกว่าเล็กน้อย แต่ความจุแบตเตอรี่น้อยกว่าพอสมควรเลย โดย Huawei P20 ให้แบตเตอรี่มา 3,400 mAh ซึ่งน้อยกว่ารุ่น Pro ถึง 600 mAh เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ Huawei P20 ไม่มีสี Twilight ให้เลือกใช้งาน แต่เป็นสี Pink Gold แทน ซึ่งขอบอกตามตรงว่าบอดี้ผิวกระจกสี Twilight ไล่เฉดสีนี่ สวยจริงๆ
และนี่ก็คือ Huawei P20 Pro ที่เราไปสัมผัสมาและพรีวิวให้ได้ชมกันครับ ด้านดีไซน์ก็ไม่ต้องพูดถึง ด้วยหน้าจอ FullView Display (พร้อม notch) และบอดี้กระจก ไล่สีสวยๆ แล้ว เป็นที่ถูกตาต้องใจอย่างยิ่ง ส่วนกล้อง 3 เลนส์ ด้วยฟังก์ชั่นการซูม ที่นำมาเสริมทัพ กล้องโปรไฟล์ไลก้าแล้วพร้อมกับฟังก์ชั่นต่างๆ นานาแล้ว ทำให้กล้องมือถือ มีลูกเล่นที่น่าสนใจแท้ คุณภาพการถ่ายในที่แสงน้อยก็เป็นที่ประทับใจ ส่วนจะเลือกใช้ P20 หรือ P20 Pro ดี ก็อยู่ที่ตัวผู้ใช้งานเองแล้วล่ะครับ
|
... |