การใช้รถใช้ถนนอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกเวลา ทั้งอุบัติเหตุ การกระทบกระทั่งกันของผู้ขับขี่ การทำผิดกฎจราจร ฯลฯ หลายคนจึงหันมาพึ่งพยานปากเอกที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง อย่าง "กล้องติดรถยนต์" (Dashcam)
ซึ่งกล้องติดรถยนต์นั้น มีหลายรุ่นหลายราคาให้เลือกซื้อเลือกหา ตั้งแต่ราคาน้อยๆ เริ่มที่หลักร้อย จนถึงราคาหนักๆ หลักพัน ยาวจนถึงหลักหมื่นก็มี โดยฟีเจอร์ของแต่ละรุ่นก็มีมากน้อยตามราคา เช่น ราคาน้อยๆ ก็ทำได้แค่บันทึกวิดีโออย่างเดียว ส่วนราคาแรงๆ หลักพัน ก็อาจจะทำได้ทั้งบันทึกวิดีโอคุณภาพสูง และมีลูกเล่นให้ใช้งานมากขึ้น เป็นต้น
วันนี้ไทยแวร์มีกล้องติดรถยนต์จาก Mio แบรนด์เก่าแบรนด์แก่ในวงการ GPS และกล้องติดรถยนต์ แห่งแดนชานมไข่มุก (ประเทศไต้หวัน) มาแนะนำให้รู้จักกัน นั่นก็คือ MiVue 792 ที่มี Wi-Fi และ GPS ในตัว ช่วยให้การดึงไฟล์วิดีโอเข้าสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมกับฟีเจอร์เด็ดๆ อีกมากมาย แต่จะมีอะไรบ้างนั้น มาติดตามรับชมกันเลย
จุดเด่น
| จุดสังเกต
|
Mio MiVue 792 มาพร้อมกับกล่องสีส้มผสมดำ ด้านหน้ามีรูปกล้อง, โลโก้, หมายเลขรุ่น, และรายละเอียดฟีเจอร์เด่น โดยฟีเจอร์เด่นของเจ้าตัวนี้คือ ใช้เซ็นเซอร์ STARVIS ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี, บันทึกวิดีโอความละเอียด 1080p ที่ 60 fps มี Wi-Fi และ GPS ในตัว
ด้านหลังเป็นรายละเอียดฟีเจอร์เพิ่มเติมของเจ้า MiVue 792 เช่น รูรับแสงกว้าง F1.8 ที่ทำให้รับแสงได้มาก หรือระบบแจ้งเตือนด้วยเสียง เมื่อขับไปใกล้ถึงจุดจับความเร็ว เป็นต้น
อุปกรณ์ที่มาพร้อมกับเจ้า Mio MiVue 792 มีอยู่ด้วยกัน 4 อย่างคือ ตัวกล้อง, ขายึดกล้อง, สายเสียบไฟรถยนต์ USB Mini Type-B, และคู่มือใช้งาน
ดีไซน์รูปลักษณ์ของกล้องติดรถยนต์ Mio MiVue 792 ออกแนวสปอร์ตนิดๆ ขอบมุมดูโค้งมน ขนาดตัวเครื่องไม่ใหญ่มาก ตัวบอดี้ทำจากพลาสติกสีดำด้าน ค่อนข้างแข็งแรง
ด้านหน้ามีชื่อแบรนด์ Mio กับข้อความ GPS, FULL HD และสัญลักษณ์ Wi-Fi ตัวเลนส์นูนออกจากตัวกล้องพอสมควร ประมาณ 1 ซม. ตัวกระจกเลนส์มีการเคลือบโค้ดตัดแสงสะท้อน ขอบรอบๆ มีข้อความ "HIGH - DEFINITION VIDEO WIDE ANGLE LENS" ถัดขึ้นไปด้านบนเล็กน้อยมีช่องใส่ขายึดกล้องกับกระจก ส่วนด้านหลังเป็นจอแสดงภาพ 2.7 นิ้ว พร้อมปุ่ม Event Button สำหรับกดอัดวีดีส่งวิดีโอแบบฉุกเฉิน แล้วส่งเข้ายังมือถือผ่าน Wi-Fi ได้ทันที
ด้านบนเป็นช่องเสียบ USB แบบ Mini Type-B ทางฝั่งซ้ายเป็นปุ่ม Power สีส้มสำหรับเปิด - ปิด ด้านขวาเป็นปุ่มควบคุม 4 ปุ่ม ขนาดเล็ก กดค่อนข้างยากเพราะปุ่มแข็ง ข้างๆ มีปุ่ม Event Button ส่วนด้านล่างเป็นช่องเสียบ microSD Card (สูงสุด 128GB) และบาร์โค้ดรหัส S/N ตัวเครื่อง
เมื่อเสียบเข้ากับขายึดกล้องแล้วจะมีหน้าตาประมาณนี้ นำไปติดเข้ากับกระจกหน้ารถได้เลย
หน้าแรกของ Mio MiVue 792 ด้านบนเป็นแถบแสดงสถานะ เวลา, การบันทึก และ GPS ส่วนฝั่งขวาเป็นแถบแสดงว่าปุ่มไหนใช้ทำอะไร ส่วนด้านล่างสุดเป็นความเร็ว หน่วยวัดเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง
หน้าเมนูตั้งค่าเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ก็มีรูปไอคอนกำกับอีกที ช่วยให้พอเข้าใจว่าแถบไหนใช้ทำอะไรได้บ้าง หน้าเมนูตั้งค่าแบ่งออกเป็น 3 หน้า ประกอบด้วย 11 เมนูย่อย ซึ่งประกอบด้วย
MiVue 792 สามารถดึงไฟล์วิดีโอเข้ามือถือสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi ได้อย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่นาที ก็สามารถเปิดดูได้เลย โดยมือถือต้องติดตั้งแอปฯ MiVuePro มีทั้งบน Android และ iOS นอกจากนี้แล้วหากเกิดเหตุการณ์ข้างหน้ารถ ก็สามารถกดปุ่ม Event Botton เพื่อบันทึกวิดีโอแบบฉุกเฉิน (Emergency Recording) แล้วส่งเข้าสมาร์ทโฟนทันทีเลย
นอกจากนี้แล้ว ยังมีระบบ GPS (Global Positioning System) ระบุตำแหน่งในตัว ซึ่งผู้เขียนได้นำตัวเลขในวิดีโอ n13°50'31.9" e100°30'37.3" มาลองกรอกลงบน Google Map ดูผลปรากฏว่ามันสามารถระบุตำแหน่งได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมาก ตามที่เห็นในรูปด้านบน
MiVue 792 มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ เช่น LDWS (Lane Departure Warning System) ระบบส่งเสียงเตือนเมื่อเราขับรถออกนอกเลน / เส้นขาว, FCWS (Forward Collision Warning System) ระบบเว้นระยะห่างจากรถคันหน้า หากว่าขับเข้าใกล้มาเกินไปจะส่งเสียงเตือน, Driver Fatigue Alert แจ้งเตือนให้ผู้ขับหยุดพักทุกๆ 2-4 ชั่วโมง เพื่อพักสายตาและร่างกาย เหมาะกับการขับรถเป็นเวลานานๆ เป็นต้น
เวลาขับรถออกต่างจังหวัด หลายคนมักเหยียบคันเร่งเพลิน จนความเร็วเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด และขับผ่านกล้องจับความเร็วไป ผลคือได้ของฝากกลับมาเป็นใบสั่งตามหลังครั้งละหลายใบ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย
กล้อง MiVue ตัวนี้มีฟีเจอร์ที่ช่วยแจ้งเตือนให้เราลดความเร็วลง โดยใช้โหมด SafetyCam ที่คอยส่งเสียงพูด / ปี๊บ ทุกครั้งที่ไกลถึงจุดจับความเร็ว หรือใช้ความเร็วเกินกว่าที่ตั้งไว้ ยกตัวอย่างเช่น หากเราตั้งความเร็วไว้ที่ไม่เกิน 70 กม. / ชั่วโมง แล้วขับเกิน มันจะส่งเสียงเตือนกับเปลี่ยนภาพหน้าจอพร้อมแสดงความเร็วปัจจุบันให้เห็นทันที ให้เราลดความเร็วลงเพื่อความปลอดภัย
นอกจากนี้แล้วยังมีฟีเจอร์แจ้งเตือนเมื่อขับเข้าใกล้กล้องจับความเร็วอีกด้วยนะใช้หลักการเดียวกันกับการจำกัดความเร็วเลย เวลาใกล้ถึงจะมีหน้าจอแจ้งเตือนให้เราทราบว่าอีกกี่เมตรจะถึงจุดจับความเร็ว ทีนี้เราก็จะได้ชะลอความเร็วลง เพื่อให้ไม่เกินกว่าที่ตั้งไว้ โดยเราสามารถเพิ่มจุดจับความเร็วเองได้โดยกดที่หน้าจอหลัก อีกทั้งสามารถลบออกได้ด้วย
หนึ่งในฟีเจอร์ที่น่าจะมีประโยชน์สำหรับคนไม่ชอบแสงไฟจากหน้าจอกล้องติดรถยนต์ เพราะแสงแยงตา ก็คือ HUD ที่จะเปลี่ยนหน้าจอเป็นสีน้ำเงินทึบ แล้วแสดงให้เห็นแค่ เวลา, วันที่, สถานะการบันทึก และความเร็ว เท่านั้น
มันเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ทำให้ถ่ายรูปจากกล้องติดหน้ากล้องได้อย่างสะดวกสบาย เวลาอยากเก็บภาพหน้ารถแบบปัจจุบันทันด่วน ไฟล์ที่ได้จะเป็น JPEG สามารถดึงเข้าสมาร์ทโฟนได้ทันที แต่เวลากดถ่ายอาจจะยากเล็กน้อยเพราะปุ่มกดค่อนข้างเล็ก
เพื่อนๆ คงได้เห็นวิดีโอด้านบนไปแล้ว มันอัดจากกล้อง MiVue 792 ด้วยความละเอียด Full HD (1080p) ที่ 30 fps และ 60 fps พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่าง โดยความแตกต่างที่ว่าคือความลื่นไหลของภาพนั่นเอง ซึ่ง 60 fps จะให้ความลื่นไหลของภาพดีกว่า 30 fps แต่ก็ต้องแลกมากับการใช้พื้นที่เยอะกว่าเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีวิดีโอที่ถ่ายมาในช่วงเวลากลางคืนอีกด้วย ประสิทธิภาพของเซ็นเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยี STARVIS จาก Sony คือเจ้าตัวนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เห็นรูปร่างของรถยนต์ได้อย่างชัดเจน
ส่วนความชัดของป้ายทะเบียนเมื่อซูมดูแล้วจะเห็นว่า ในช่วงเวลากลางวัน ระยะที่ป้ายทะเบียนจะเริ่มชัดคือความห่างประมาณ 1 คันรถ ส่วนช่วงเวลากลางคืนก็จะใกล้เข้ามาหน่อย เพราะแสงน้อยกว่าตอนกลางวัน อย่างไรก็ดีระยะที่ป้ายทะเบียนจะชัดนั้นไม่แน่นอน เพราะมีตัวแปรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแสงสะท้อน ฟิล์มติดกระจก ความสว่าง ฯลฯ
Mio MiVue 792 เป็นกล้องติดรถยนต์อัจฉริยะ ที่น่าประทับใจเลย ด้วยฟีเจอร์ที่ครบครัน เช่น แจ้งเตือนเมื่อรถขับออกนอกเลน หรือแจ้งเตือนให้ลดความเร็วลง และยังมีฟีเจอร์แจ้งเตือนให้พักผ่อนร่างกายอีกด้วย ส่วนคุณภาพของวิดีโอก็เรียกว่าโอเคเลย ทั้งกลางวันและกลางคืน อย่างไรก็ดีผู้เขียนคิดว่าราคาขนาดนี้น่าจะถ่ายแบบ 2K ได้ และเจอปัญหาเวลาถอดการติดตั้งคือ ตัวกาวยึดกระจกทำให้ฟิล์มหน้ารถเสียหายมากจนต้องติดใหม่ และระบบ Parking ที่ใช้งานไม่ได้เพราะไม่มีแบตฯ ในตัว ถ้าจะใช้งานต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมเข้ากับแบตเตอรี่อีกที อย่างไรก็ดีมันก็เป็นกล้องติดหน้ารถยนต์ที่น่าสนใจตัวหนึ่งเลยทีเดียว
|
How to .... |