ปีนี้ Samsung Galaxy Note 10 ออกมา 2 โมเดลด้วยกัน โดยได้เพิ่มจอที่ใหญ่ถึง 6.8 นิ้วออกมาเป็นตัวเลือกให้ตัดสินใจเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งก่อนจะไปพรีวิวกันว่า Samsung Galaxy Note 10+ มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง? ขอพูดถึงความแตกต่าของ Galaxy Note 10 และ Note 10+ ก่อนละกัน
Note10 มาพร้อมกับจอขนาด 6.3 นิ้ว พร้อมความละเอียด FHD+ (1080p) ส่วน Note10+ ให้ขนาดจอ 6.8 นิ้ว พร้อมความละเอียด QHD+ (1440p) ที่มีพื้นที่ในการทำงานมากกว่าพอสมควร และขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่ขึ้นเช่นกัน ตัดเรื่องการใช้งานมือเดียวในบางจังหวะของ Note10+ ไปได้เลย
ข้อสังเกตเล็กๆ คือ Note10 มีขนาดจอเล็กกว่า Note9 ถึง 0.1 นิ้ว ที่อาจจะไม่ได้ส่งผลมาก แต่ความละเอียดถูกปรับลงจาก QHD+ เหลือ FHD+ ที่ถ้าใครชินตากับความละเอียดบน Note9 แล้วอาจจะขัดใจกับความละเอียดบน Note10 ก็เป็นได้ และต้องขยับไปใช้ Note10+ ในที่สุด
ทั้ง Note10 และ Note10+ ใช้เลนส์กล้องหลัง 3 ตัวเหมือนกับ Galaxy S10 ที่สามารถถ่ายได้ 3 ระยะ รวมทั้งระยะปกติสามารถปรับรูรับแสงได้ แต่บน Note10+ จะเพิ่มเลนส์ DepthVision เข้ามา ให้สามารถถ่ายภาพ Live Focus แบบหน้าชัดหลังเบลอได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าไม่ได้ถือตรงจุดนี้มาก ทั้ง Note10 และ Note10+ ก็มีลูกเล่นกล้องที่แทบจะไม่ต่างกันเลย
สำหรับ Note10 จะมีให้เลือกโมเดลเดียวคือ แรม 8GB รอม 256GB ส่วน Note10+ จะถูกอัพแรมไปที่ 12GB และมีรอมให้เลือกทั้ง 256GB และ 512GB ซึ่งเรื่องแรมเราว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ Galaxy Note พอสมควร ถ้าเราเป็นคนใช้งานแอปฯ เยอะๆ ทำงานด้วยสมาร์ทโฟนหนักมากๆ จิ้ม Note10+ ได้เลย
ทั้ง Note10 และ Note10+ มีตัวเลือกสีทั้ง Aura Glow และ Aura Black แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือสีที่ 3 โดย Note10 จะมีสี Aura Pink ให้เลือก ส่วน Note10+ จะมีเป็นสี Aura White แทน ซึ่งถ้าใครชอบสีทางเลือกมากๆ ก็อาจจะต้องตัดใจซื้อรุ่นนั้นๆ แทน (ค่อนข้างมีผลต่อการตัดสินใจ 555)
แบตเตอรี่ของ Note10 อยู่ที่ 3,500mAh ส่วน Note10+ อยู่ที่ 4,300mAh ซึ่งตรงนี้เราอาจจะไม่ต้องคิดมาก เพราะความจุแบตเตอรี่ทำมาให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละรุ่นอยู่แล้ว อย่างเช่นเรื่องของความละเอียดหน้าจอที่แตกต่างกัน จึงควรพิจารณาด้วยปัจจัยอื่นมากกว่า
สำหรับเครื่องที่เราได้จับมาพรีวิว เป็น Samsung Galaxy Note10+ สี Aura Glow ซึ่งลักษณะของพื้นผิวด้านหลังจะคล้ายๆ กับกระจกสีเงิน ที่สะท้อนแสงทุกอย่างรอบๆ ตัวไปบนพื้นผิว อย่างในงานนี้ จะเห็นแสงไฟที่สะท้อนเข้าไปจนเป็นสีรุ้งเลยทีเดียว แต่ปัญหาของผิวเงาๆ ก็คือรอยนิ้วมือ ซึ่งเครื่องนี้ก็เก็บรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดีเลย ต้องขยันเช็ดหน่อย
หน้าจอของ Galaxy Note10+ (รวมทั้ง Note10) เป็นหน้าจอที่เรียกว่า Cinematic Infinity Display ที่ได้กำจัดขอบทั้งบนและล่างของหน้าจอออกไป ดันให้พื้นที่แสดงผลขึ้นไปจนสุดขอบ เหลือเพียงรูกล้องหน้าตรงกลางจอ ที่พยายามทำให้เล็กที่สุด ซึ่งก็ส่งผลต่อรูรับแสงของกล้องหน้าไปด้วย ที่ทำให้รับแสงได้น้อยลง (F2.2 แคบกว่ารุ่นก่อนหน้าที่ F1.7) แต่สิ่งที่ทดแทนมาก็คือ กล้องหน้าสามารถใช้งานร่วมกับ Night Mode ได้ ส่วนหน้าจอแสดงผล ยังคงเป็น Dynamic AMOLED ที่ให้สีสันที่ดี พร้อมรองรับ HDR10+ ให้รับชมภาพยนตร์คุณภาพสูงได้ดียิ่งขึ้น
ปุ่มด้านข้าง ถูกนำปุ่ม Bixby ออกไปแล้ว เหลือเพียงปุ่ม Power และ ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง แต่ก็มีออปชั่นให้สามารถใช้ปุ่มเหล่านี้เรียก Bixby ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ตัดออกไปของสมาร์ทโฟนในรุ่นนี้ก็คือ ช่องเสียบหูฟัง 3.5mm Jack ที่ไม่มีให้ใช้งานแล้วจ้า
S Pen หน้าตาเหมือนเดิม ถูกเก็บอยู่ที่ตำแหน่งเดิม แต่มีการใช้งานได้มากขึ้นกว่ารุ่นก่อน
ส่วนเลนส์กล้องหลัง จะประกอบไปด้วยเลนส์หลัก 3 ระยะเหมือนกับ Galaxy S10 ที่สามารถถ่ายภาพได้ทั้งมุมกว้าง ระยะปกติ และระยะเทเล (ซูม) โดยระยะปกติ จะสามารถปรับรูรับแสงได้ 2 ค่าให้เหมาะสมกับการใช้งาน และบน Note10+ จะมีเลนส์ Depth Vision เพิ่มเข้ามา ให้สามารถถ่าย Live Focus แยกตัวแบบกับพื้นหลังได้ดียิ่งขึ้น
เป็นฟีเจอร์ที่ต้องหยิบยกมาก่อนเลย เพราะค่อนข้างจะแปลกใหม่มาก โดยฟีเจอร์ Zoom-in Mic นี้ จะทำงานกับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้อง Galaxy Note10+ ที่เมื่อเราถ่ายวิดีโอด้วยการซูม ไมค์ของตัวเครื่องก็จะซูมตามไปเก็บเสียงให้ดังขึ้นได้ แต่จริงๆ น่าจะทำให้ปรับซูมไมค์เองได้ด้วย เพราะบางจังหวะที่เราถ่ายวิดีโอก็อยากได้มุมภาพกว้างๆ เสียงชัดๆ และมีข้อจำกัดอีกนิดๆ คือ ไมค์ สามารถซูมได้ถึงระยะซูมกล้อง x3 เท่านั้น ถ้าซูมมากกว่านั้น ไมค์จะไม่ซูมตามแล้ว
เวลาซูมจะมีรูปไมค์ขึ้นมา
ลูกเล่นที่ไม่ใช่ของใหม่แต่ทำได้มากขึ้น คือเราสามารถใช้ฟีเจอร์ Live Focus ไม่ว่าจะหน้าชัดหลังเบลอ เอฟเฟคโบเก้พื้นหลัง ดูดสีพื้นหลัง หรือซ้อนเอฟเฟคอื่นๆ กับการถ่ายวิดีโอได้แล้ว เพิ่มลูกเล่นการอัดคลิปให้สนุกยิ่งขึ้น
ฟีเจอร์น่ารักๆ อีกอย่างหนึ่งของการถ่ายวิดีโอ ที่ใช้งานร่วมกับ S Pen ที่เราสามารถวาดแต่งเติมสีสันด้วยเทคโนโลยี AR ไปกับการถ่ายวิดีโอของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นวาดหน้าตา ใส่หน้ากาก เพิ่มหูแมว หรือสภาพแวดล้อมอื่นๆ ด้วยการวาดผ่าน S Pen แสดงผลแบบ 3 มิติอ้างอิงตามพื้นที่จริง และการขยับหน้าของตัวแบบได้
รุ่นที่แล้ว เราเอา S Pen มาใช้กดถ่ายรูปได้ รุ่นนี้เพิ่มฟีเจอร์เท่ๆ ให้เราสามารถวาดปากกาบนอากาศควบคุมกล้องได้ ไม่ว่าจะเป็นปัดขึ่น-ลง ซ้าย-ขวา เพื่อสลับกล้องหน้า-หลัง หรือเปลี่ยนโหมดต่างๆ รวมทั้งการวาดวง เพื่อซูมกล้องเข้า-ออกได้ เป็นฟีเจอร์ไฮไลท์ของรุ่นนี้ได้เป็นอย่างดีเลย
วาดวงซูมมม!
แอปฯ จดโน้ตคู่ใจ S Pen ที่รุ่นนี้อัพเกรดให้สามารถแปลงข้อความที่เราเขียนด้วยปากกา เป็น Text สำหรับใช้งานได้ และที่สำคัญ รองรับภาษาไทยด้วย
อัพเกรดอย่างต่อเนื่อง สำหรับ Samsung DeX ที่เราสามารถต่อสมาร์ทโฟน Samsung Galaxy เรือธงขึ้นจอใช้งานเป็น PC ได้ ในรุ่นนี้เราสามารถต่อใช้งาน DeX กับคอมพิวเตอร์ทั้ง PC และ Notebook ผ่านแอปฯ Samsung DeX ได้ ซึ่งเราสามารถใช้ทั้งเมาส์และคีย์บอร์ดของเครื่อง ช่วยในการควบคุมใช้งานได้ แทนที่จะเป็นเมาส์แพดหรือคีย์บอร์ดจำลองบนตัวมือถือเท่านั้น
สำหรับผมแล้ว Samsung Galaxy Note10+ มีฟีเจอร์การใช้งานที่ครอบคลุมการใช้งานรอบด้านและหลากหลาย สมกับเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงของแบรนด์ จากที่เมื่อก่อนดูเป็นสมาร์ทโฟนสายใช้งานธุรกิจที่มี S Pen สำหรับจดบันทึก ใช้งานโน้ตต่างๆ ตอนนี้รุกมาด้านความบันเทิงมากขึ้น ทั้งลูกเล่นการถ่ายวิดีโอรูปแบบต่างๆ การนำ S Pen มาใช้งานร่วมกับการสร้างสรรค์ผลงาน และก็ยังมี DeX ให้ใช้งานรูปแบบ PC ได้ง่ายขึ้นอีก ตอบโจทย์คนใช้งานในปัจจุบันที่มีไลฟ์สไตล์กว้างๆ ได้เป็นอย่างดี
|
... |