ในที่สุด Vivo ก็ได้เปิดตัว NEX 3 สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดบอดี้ Uni-design, จอ Waterfall ไร้ขอบ ไร้ปุ่มกด, กล้องหลัง 3 เลนส์, ความละเอียด 64 ล้าน พิกเซล, และ ชิปเซ็ต Snapdragon 855+ กันอย่างเป็นทางการ เปิดวางขายในราคา 24,999 บาทสำหรับรุ่นแรม 8GB + ความจุ 128GB
โดย Vivo NEX 3 นี้จะวางขายในวันที่ 30 กันยายน 2019 เป็นวันแรก และจะเปิดขายที่แรกผ่านช่องทางออนไลน์ลาซาด้า ส่วนช่องทางอื่นๆ สามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ส่วนใครที่อดใจรอไม่ไหวอยากรู้รายละเอียดสเปค ฟีเจอร์เด่นๆ และรูปภาพจากตัวเครื่องจริงสามารถอ่านได้ทางด้านล่างนี้เลย
ข้อดี
|
ข้อสังเกต
|
Vivo NEX 3 เปิดตัวอย่างอลังการ พร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED แบบไร้ขอบที่ใช้ชื่อว่า "Waterfall" ดีไซน์แนวน้ำตกด้านข้าง 90 องศาโดยจอมีขนาด 6.89 นิ้ว บนตัวเครื่องขนาด 5.5 นิ้ว ถือว่าใช้พื้นที่จอได้อย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว
คุณภาพเรื่องจอและคุณสมบัติต่างๆ ก็ใส่มาแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น
ฟีเจอร์สแกนนิ้วใต้จอที่ทาง Vivo ได้ผลักดันเป็นเจ้าแรกก็ได้มาอยู่ใน NEX 3 รุ่นนี้อีกเช่นกัน ไม่มีอะไรเหมาะไปกับมือถือจอไร้ขอบบวกกับสแกนนิ้วใต้หน้าจอแบบนี้อีกแล้ว
เวลาเราจับตัวเครื่องบริเวณขอบจอจะทำหน้าที่รับรู้การสัมผัสแบบ Real-time ทำให้รู้ว่าบริเวณที่จับเราตั้งใจจับหรือเผลอไปโดน ทำให้จอไม่เลื่อนหรือสัมผัสเองเวลาถือ
ใน Vivo NEX 3 รุ่นใหม่นี้จะไม่มีปุ่มกดแบบ Physical ทั่วไปในมือถือรุ่นอื่นๆ แต่จะใช้ปุ่มกดแบบเซ็นเซอร์ Touch Sense แทน ซึ่งบริเวณปุ่มจะมีเซ็นเซอร์ 7 ตัวทำหน้าที่แบ่งการรับรู้เวลาผู้ใช้งานกด สามารถออกแรงกดได้หลายระดับ แถมยังมีเซ็นเซอร์ Haptic สั่นเสมือนการกดปุ่มจริงๆ และที่พิเศษกว่านั้นคือตัวปุ่มใช้ชิปเซ็ตแยกทำงาน หากปิดเครื่องอยู่ปุ่มก็ยังใช้งานได้
สังเกตได้ว่าบริเวณจอจะไม่มีติ่งกล้องและเซ็นเซอร์อีกต่อไป นั่นก็เพราะ กล้องหน้าได้ถูกฝังอยู่บริเวณด้านบนในรูปแบบ Pop-Up หรือใช้ชื่อเรียกว่า Elevating Front Camera นั่นเอง สามารถทำงานเปิดและปิดได้ภายใน 0.65 วินาที
มาเรื่องกล้องกันบ้างทาง Vivo ใช้สโลแกนว่า Real Beyond Edges กล้องหลังให้คุณภาพสูงสุดได้ถึง 64 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพได้คมจัดชัดจริงแบบไม่เสียรายละเอียด แถมยังมีฟีเจอร์กล้องเด่นๆ เพียบ อาทิ
AI ปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ เทคโนโลยี VCAP รูปแบบใหม่ที่ทำงานเข้ากับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น CPU, GPU, DSP และ NPU ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดียิ่งขึ้น
พลังขับเคลื่อน CPU มังกรแดง Snapdragon 855+ แบบ 7nm ความเร็วสูงถึง 2.96 GHz ทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง 15% แถมยังใส่ชิปข้อมูลแบบ UFS 3.0 อ่านข้อมูลเร็วกว่า 140+ MB/s ถึงแม้จะใช้ CPU มังกรแดงแต่ก็ไม่ต้องกลัวร้อน เพราะว่าระบบระบายความร้อนเป็นแบบ Vapor Chamber ลดอุณหภูมิจากชิปในเครื่องโดยตรงได้ถึง 10 องศา
การชาร์จแบบ 22.5W Vivo FlashCharge ชาร์จให้แบตฯ 4,500 mAh เต็ม 100% ได้อย่างรวดเร็วภายในเวลา 1 ชั่วโมง แอบเสียดายนิดๆ ที่เทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบในข่าวลือ Nex 3 ชาร์จด่วนมาตรฐานโหด อาจจะมีในรุ่นถัดไปแทน
ทางทีมงานได้มีโอกาสลองเครื่อง Vivo NEX 3 ตัวจริง ซึ่งบอกได้เลยว่า NEX 3 ตัวนี้ให้สัมผัสโดยรวมที่ดีมาก แถมจอก็เป็นแบบไร้ขอบสมบูรณ์แบบ ตัวกล้องหน้าถูกแยกไปเป็นแบบ Pop-Up Camera แทน ทำให้ไม่มีติ่งใดๆ มาเกะกะบนหน้าจอ
จอขนาด 6.89 นิ้ว บนตัวเครื่องขนาด 5.5 นิ้วจอชิดขอบบนและขอบด้านข้างเลยทีเดียว ส่วนด้านข้างของเครื่องจะมีปุ่มเซ็นเซอร์ Touch Sense ที่ใช้การกดแบบสัมผัสมีแรงตอบสนองผ่าน Haptic ให้สัมผัสที่เหมือนจริงแต่แอบกดยากนิดๆ สำหรับคนที่ยังไม่ชินก็จะมีลั่นกดโดนปุ่มเปิด-ปิด เครื่องได้บ่อยๆ
และโชคดีสำหรับแฟนๆ ผู้ที่ชื่นชอบฟังเพลงแบบเก่าโดยยังมีช่องเสียบสายหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตรให้ใช้งานอยู่ทางด้านบน แถมภายในก็ยังมีชิปเสียง AK4377A ระดับ Hi-Fi ไว้ตอนรีวิวจริงจะทดสอบให้ได้ชมกันว่าดีสมคำร่ำลือหรือไม่
ส่วนสีตัวเครื่องมีชื่อว่า Glowing Night สะท้อนแสงแต่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในที่มืด กล้องด้านหลังมี 3 เลนส์ รวมอยู่ในวงกลมมีคอนเซปต์มาจากหน้าปัดนาฬิกา คุณภาพกล้องถายได้สูงสุดถึง 64 ล้านพิกเซล มีระยะเลนส์แบบ 52 มม. เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลและมีเลนส์กว้างสุดถึง 120 องศา ถ่ายเก็บภาพมุมกว้างได้สบายๆ ส่วนกล้องหน้าสามารถเปิดใช้งานได้เร็วมากๆ ไม่เกิน 1 วินาที มีแฟลชในตัวทั้งกล้องหน้าและหลังไม่มีอะไรขาดหรือเกินจัดเต็มมาในแบบพอดีๆ
สมาร์ทโฟน Vivo NEX 3 เป็นเรือธงที่สเปคและราคาสมกับเทคโนโลยีที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจอ 6.89 นิ้วแบบ Waterfall Screen ไร้ขอบ เซ็นเซอร์สแกนนิ้วใต้จอ และ กล้องหน้าแบบ Pop-Up ที่เข้ากันกับจอภาพแบบไร้ขอบได้ดี แต่ปุ่มกดแบบเซ็นเซอร์ Touch Sense เผลอไปกดได้ง่ายอยู่ อาจจะต้องปรับตัวใช้สักพัก
ส่วนกล้องหลัง 3 เลนส์ทำออกมาได้ดี เพราะสามารถถ่ายภาพละเอียดสูงถึง 64 ล้านพิกเซล เลือกถ่ายได้หลายมุม มีเลนส์ 52 มม. สำหรับถ่าย Portrait แล Marco แบตฯ ก็ให้มาเต็มความจุ 4,500 mAh ชาร์จไฟเต็มภายใน 1 ชั่วโมง เท่านี้ก็เหลือๆ แล้วสำหรับการใช้งานในหลายๆ ด้านในชีวิตประจำวัน
|
It was just an ordinary day. |