เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานสำหรับ GoPro Hero 8 Black ที่เราได้พรีวิวกันไปก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่าทาง GoPro จะยังไม่พอใจกับเพียงแค่ซีรีส์ Hero เพียงเท่านั้น เพราะในตอนนี้ทาง GoPro ก็ได้เปิดตัว GoPro MAX กล้องแอคชันแคม 360 องศาตัวใหม่ ออกมาให้ได้จับจองกันแล้วหลังจากที่หยุดพักโปรเจคไปเป็นเวลาเกือบ 2 ปี (แอคชันแคม 360 องศารุ่นแรกก็คือ GoPro Fusion ที่เปิดขายไปในปี 2017 ที่ผ่านมา) ซึ่งความพิเศษของ GoPro MAX ตัวนี้นั้นทาง GoPro ออกมาเคลมว่า มันคล้ายกับการรวมร่างของกล้อง 3 ตัว ทั้งกล้อง 360 องศาที่คุณจะได้ภาพนิ่งและวิดีโอที่มีมุมมองใหม่ๆ รอบทิศทาง, กล้อง GoPro ที่ตอบโจทย์หลายๆ คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Extreme และกล้อง Vlog มารวมอยู่ใน GoPro MAX แค่ตัวเดียว จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น วันนี้เดี๋ยวเราจะมารีวิวให้ดูกัน
จุดเด่น
| จุดสังเกต
|
เริ่มดูกันที่สเปคของ GoPro MAX กันก่อน GoPro MAX จะประกอบไปด้วยเลนส์ดูโอ และมีโหมดต่างๆ ให้เลือกใช้ ได้แก่ โหมดการถ่ายรูปและวิดีโอแบบ 360 องศา, โหมด Hero (การถ่ายภาพและวิดีโอแบบปกติ) และโหมดการถ่าย Vlog ผ่านทางกล้องหน้า
ซึ่งดูโอเลนส์ของ GoPro MAX ตัวนี้เป็นเลนส์ 180 องศาแบบคู่ หน้า-หลังของตัวเครื่อง ทำให้สามารถเก็บภาพได้รอบทิศทางแบบ 360 องศา ที่ความละเอียด 16.6MP และการถ่ายแบบธรรมดาจะอยู่ที่ 5.5MP โดยเลนส์จะเป็นแบบ 4-in-1 ที่สามารถเลือกใช้ได้ทั้ง
ความละเอียดของการบันทึกภาพและวิดีโอในโหมดต่างๆ ได้แก่
ต่อกันที่เรื่องของดีไซน์กัน ตัว GoPro MAX มีดีไซน์คล้ายๆ GoPro Hero8 Black อยู่พอสมควร ทั้งรูปร่าง ตำแหน่งปุ่มกดชัตเตอร์ ปุ่มเปิดเครื่อง-ปิดเครื่อง หรือช่องใส่ แบตเตอรี่, เมมโมรี่การ์ด, พอร์ต USB ส่วนที่ต่างกันเป็นเรื่องของขนาดที่ใหญ่กว่า ตำแหน่งไมโครโฟน และกล้องอีกตัวที่เพิ่มมาทางด้านหลัง ส่วนเมาท์ใส่อุปกรณ์เสริมในตัว (Build-in Mount) ก็อยู่ทางด้านล่าง ดึงออกมาและก็ใส่อุปกรณ์เสริมได้เลย วัสดุที่ใช้ทำเป็นโลหะดูแข็งแรงพอสมควร
ตัวเลนส์กล้องของ GoPro MAX เป็นแบบเลนส์ Wide คู่ที่อยู่ทั้งด้านหน้าและหลัง ตำแหน่งอยู่ที่มุมขวาบน ลักษณะเป็นเลนส์นูนออกจากตัวเครื่อง เวลาจะวางหรือจะเก็บต้องระมัดระวังไม่งั้นกระจกเลนส์อาจเกิดรอยขีดข่วนได้ ทางที่ดีควรปิดฝาเลนส์ทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้ หรือก็ใส่เคสครอบเลนส์ทุกครั้งเวลาใช้งาน
วัสดุตัวเครื่องทำจากยางแบบแข็ง ที่ไม่ค่อยเกิดรอยขีดข่วน และยังมีความหนืดอยู่ในตัว ทำให้เวลาจับถือไม่ลื่นหลุด หรือถ้าเครื่องตกตัวยางก็จะรับแรงกระแทกไว้เพื่อป้องกันตัวเครื่องแตก (แต่ก็มีโอกาสแตกอยู่ดี โดยเฉพาะเลนส์)
ด้านหน้าจอ GoPro MAX ใช้หน้าจอขนาด 1.8 นิ้วที่รองรับการทัชสกรีน ส่วนไมโครโฟนก็มีมาให้ทั้งหมด 6 ตัว โดยกระจายอยู่รอบๆ ตัวเครื่อง และมีการรับเสียงแบบ 360 องศา
สำหรับแบตเตอรี่ เมมโมรี่การ์ด และพอร์ต USB จะอยู่รวมกันทางฝั่งขวา จุดนี้มีฝาปิดมาให้ วิธีเปิดก็แค่ดันปุ่มลง จากนั้นฝาก็จะถูกปลดล็อกทันที และตรงช่องนี้มียางกันน้ำเข้าด้วยนะ โดยมันสามารถเอาลงน้ำได้ที่ความลึก 5 เมตร และต้องใส่ที่ครอบเลนส์ด้วย แต่ถ้าจะเอาลงน้ำจริงๆ แนะนำให้หา Housing Case มาใส่น่าจะอุ่นใจกว่า
GoPro MAX มีวิธีการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน และยังเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวกสบาย เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาอาจต้องอัปเดตเวอร์ชันให้เป็นปัจจุบันก่อน โดยการอัปเดตต้องทำผ่านมือถือสมาร์ทโฟน ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้ได้เลย
อัปเดตเสร็จปุ๊บ ก็เริ่มใช้งานได้ปั๊บ วิธีถ่ายด้วย GoPro ก็ไม่ยากเลย แค่กดปุ่มชัตเตอร์ด้านบนเพื่อกดถ่ายวิดีโอหรือถ่ายรูป และถ้าจะหยุดก็แค่กดซ้ำไปอีกรอบ โดยการถ่ายทำได้ทั้งตอนเปิดเครื่องและปิดเครื่อง ถ้าเครื่องปิดอยู่มันจะเปิดขึ้นมาอัดให้อัตโนมัติ (แต่ต้องรอนิดหน่อย) และเมื่อกดซ้ำจะเป็นการหยุดพร้อมกับปิดเครื่องไปในตัว ฟีเจอร์นี้เขาเรียกว่า Quick Capture ข้อดีคือช่วยประหยัดแบตฯ เวลาไม่ได้ใช้
วิธีการเปิด-ปิดเครื่องก็ให้กดปุ่ม Power ที่ด้านข้าง กดค้างไว้ซัก 2 วินาที เครื่องก็จะเปิดให้ทันที วิธีปิดก็เหมือนกัน แต่ถ้ากด 1 ครั้งสั้นๆ เวลาเครื่องเปิดอยู่จะเป็นการเปลี่ยนโหมด (Mode) ในการถ่าย หรือจะใช้การปัดหน้าจอไปทางซ้าย-ขวาก็ได้ โดยโหมดในการถ่ายมีอยู่ 3 รูปแบบคือ Time-lapse, Video และ รูปภาพ
และสำหรับการเข้าไปตั้งค่าก็ทำได้ด้วยการรูดหน้าจอลง ขณะอยู่ในหน้าหลักและยังไม่ได้ถ่ายวิดีโอ (เหมือนการเรียกแถบ Notification บนมือถือ) ส่วนการดูคลังวิดีโอ/ภาพ ก็ให้รูดหน้าจอขึ้น
นอกจากนี้แล้วการใช้งานยังเลือกพรีเซ็ตการถ่ายได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย โดยกดปุ่ม Preset ที่อยู่ทางด้านล่างของจอ จากนั้นก็เลือกหรือแก้ไขการตั้งค่าได้เลย
คร่าวๆ ของการใช้งานก็มีประมาณนี้ ใช้ไม่ยากเลย ที่ชอบคือหน้า UI ที่เข้าใจง่ายมาก ไม่ต้องกดเยอะก็ตั้งค่าได้ และยังมี Preset ให้เลือกถ่ายอีกด้วยนะ
จุดเด่นของ GoPro MAX ก็คือการถ่ายแบบ 360 องศา แถมยังสลับไปใช้โหมด Hero (ถ่ายกล้องเดียว) ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นกล้อง 2-in-1 เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้แล้วยังมีฟีเจอร์ Horizon Leveling (วัดเส้นขอบฟ้า) ที่ช่วยเรื่ององศาในการถ่าย ไม่ว่าจะถ่ายเอียงแค่ไหน ตัวกล้องก็จะปรับให้ภาพตรงอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้เราจะมาทำการทดสอบกัน โดยจะไล่ทีละส่วนให้ฟังกัน
การถ่ายแบบ 360 องศาบน GoPro MAX นั้น รองรับหมดทั้งวิดีโอปกติ
(Video), วิดีโอไ ทม์วาร์ป (TimeWarp) และรูปนิ่ง (Photo) มันตอบโจทย์การถ่ายวิดีโอสายท่องเที่ยว หรือกีฬาเอ็กซ์ตรีมเพราะว่ามันจะได้มุมมองภาพที่กว้าง และไฟล์ก็เอามาแพนมุมกล้องผ่านแอปฯ ได้ ด้วย ดังตัวอย่างที่เห็นทางด้านบนข้อจำกัดของการถ่ายแบบ 360 องศาบน GoPro MAX ก็คือถ่ายได้อย่างเดียวไม่มีฟีเจอร์หรือลูกเล่นอะไรให้ใช้เลย ยกตัวอย่างเช่น ในโหมด Hero การถ่ายแบบ TimeWarp จะปรับความเร็วให้เป็นปกติ (1x) ได้ แต่กับโหมด 360 เมื่อกดปุ่มอัดไปแล้วก็ถือถ่ายอย่างเดียวเลย
ข้อดีของการถ่ายแบบ 360 องศาก็คือ เรามีมุมมองกว้างขึ้น และสามารถเก็
ส่วนนี้น่าจะถูกในสาย Vlog พอสมควรเพราะว่ามันสลับจากการถ่ายแบบ 360 องศา ให้กลายเป็นการถ่ายด้วยกล้องเดียวในโหมด Hero ได้คล้ายกับ GoPro Hero8 Black โดยรองรับทั้ง 3 โหมดเลยก็คือ Video, Time-lapse และ Photo
การปรับจาก 360 องศา มาใช้เป็นโหมด Hero มีข้อดีคือมีฟีเจอร์ให้ใช้เยอะขึ้น เช่นการถ่ายวิดีโอธรรมดา มีโหมด Horizon leveling ให้ใช้ โหมดนี้ถือว่าแจ่มมากๆ เพราะทำให้องศาการถ่ายวิดีโออยู่กับที่ไม่เอียงซ้ายหรือขวาแม้ว่าเราจะถือกล้องเอียงก็ตาม และในการถ่าย TimeWarp ยังมีฟีเจอร์ลดความเร็วให้ใช้อีกด้วย เรียกได้ว่าแจ่มเลยทีเดียว
จุดเด่นของโหมด Hero คือเลือกใช้กล้องหลังหรือกล้องหน้าได้ ถ้าใช้กล้องหน้าก็จะเป็นการถ่ายเก็บบรรยากาศทั่วไป แต่พอสลับกลับมาเป็นกล้องหลังก็กลายเป็นกล้อง Vlog ทันทีเลย
ส่วนจุดสังเกตก็คือ
GoPro MAX มาพร้อมกับเทคโนโลยี Horizon Leveling ร่วมกับ Hyper Smooth 2.0 ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอนั้นนิ่งและสมูทมากๆ เวลาเดิน / วิ่งถ่ายไม่มีอาการสั่นให้เห็นเลย โดย Horizon Leveling จะทำการจับเส้นขอบฟ้าไว้ ช่วยป้องกันกล้องเอียง ส่วน Hyper Smooth 2.0 จะเป็นเทคโนโลยีที่ป้องกันการสั่นไหว
ดังที่เห็นในภาพด้านบน แม้จะวิ่งลงบันไดที่ปกติจะต้องสั่นหนักๆ แต่นี่กลับไม่สั่นและไม่มีอาการกล้องเอียงเลยแม้แต่น้อย (สังเกตได้จากฉากหลัง)
แม้กล้องจะหมุนแค่ไหน วิดีโอที่ได้ก็นิ่งมาก
นี่เป็นตัวอย่างความสามารถของ Horizon Leveling แม้จะหมุนกล้องสักแค่ไหน ภาพก็ยังอยู่กับที่ไม่หมุนตาม
ด้านการถ่ายรูปก็ดีไม่แพ้กัน จากสเปคของ GoPro MAX บอกไว้ว่าการถ่ายรูปทั่วไปจะมีความละเอียดอยู่ที่ 5.5MP ซึ่งถือว่าไม่แย่นัก สามารถปรับมุมกล้องได้ 2 รูปแบบคือ Ultra-wide MAX Superview และ Wide เท่านั้น ปรับ Linear หรือ Narrow ไม่ได้
ส่วนการถ่ายแบบ 360 องศานั้นไม่สามารถปรับมุมกล้องได้ รูปถ่ายที่ได้มาจะมีความละเอียดอยู่ที่ 16.6MP เลย มุมมองก็กว้างมากแปลกตาสุดๆ นอกจากนี้แล้วยังมีโหมดถ่ายรูป Panorama ในช็อตเดียว มันถ่ายสะดวกมากๆ และยังไม่เกิดปัญหาภาพซ้อนจากที่วัตถุหรือบุคคลเคลื่อนที่อีกด้วย ทำให้ภาพที่ได้มาดูสวยงาม
จากที่ลองใช้งานประมาณ 2 อาทิตย์ต้องบอกเลยว่ามีข้อดีเยอะเลย แต่ก็ใช่จะไม่มีปัญหา อย่างแรกก็คือการตัดต่อวิดีโอ 360 องศาบนมือถือมันเปลืองเนื้อที่มากๆ ตัดต่อวิดีโอ 360 ประมาณ 10 นาที ใช้เนื้อที่มือถือไป 4GB เพราะไฟล์ความละเอียด 5.6K และยังต้องโหลดมาเก็บไว้ในเครื่องอีก พอตัดเสร็จก็ต้องเรนเดอร์ (Render) คลิปใหม่ซึ่งกินเนื้อที่อีกส่วนหนึ่งเลย จากนั้นก็เลือกว่าจะอัพโหลดขึ้นโซเชียล หรือจะเซฟลงเครื่อง ถ้าเซฟลงเครื่องก็เปลืองเนื้อที่อีก
นอกจากนี้แล้วไฟล์ 360 องศาจาก GoPro MAX ยังเปิดดูบนคอมพิวเตอร์ หรือแก้ไขบน Premiere Pro / After Effect แบบตรงๆ ไม่ได้ ต้องโหลด GoPro MAX Exporter มาแปลงไฟล์ แล้วค่อยโหลดปลั๊กอิน GoPro Reframe มาใช้เพื่อให้แก้ไขบน Premiere Pro / After Effect ในจุดนี้ยังถือว่าต้องปรับปรุง เพราะมันไม่สะดวกเอาซะเลย และการถ่ายวิดีโอในโหมด Hero ก็อัดความละเอียดได้แค่ 1080p และ 1440p เท่านั้น ยังไม่รองรับการอัด 4K แต่ก็ไม่แน่ ในอนาคต GoPro อาจจะอัปเดตให้มันสามารถถ่าย 4K ก็เป็นได้ ยังไงก็ต้องรอกันต่อไป
สุดท้ายคือปัญหาเรื่องความร้อนและอาการค้าง สำหรับการถ่ายกลางแจ้งนานๆ ตัวเครื่องจะร้อนมาก แต่ไม่ถึงกับถือไม่ได้นะ แค่รู้สึกไม่สบายมือ ทางที่ดีแนะนำให้ใช้อุปกรณ์เสริมอย่างช่วยน่าจะสบายมือมากกว่า และสำหรับอาการค้างอันนี้ยอมรับเลยว่าปรับปรุงให้ดีขึ้นมาก ตั้งแต่ที่ทดลองใช้งานมามีอาการค้างแบบหาสาเหตุไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวตลอดสองอาทิตย์ ถือว่ารับได้ไม่แย่
GoPro MAX เป็นกล้อง 360 องศาแบบ 2-in-1 ที่สลับกลับมาถ่ายเป็นโหมด Hero ได้แถมยังเลือกกล้องที่จะถ่ายได้ ด้วยฟีเจอร์ถ่าย 360 องศาทั้งรูปนิ่ง, วิดีโอ และ TimeWarp ที่เหมาะกับสายท่องเที่ยว โหมด Hero พร้อมกันสั่นขั้นเทพ Horizon Leveling + HyperSmooth 2.0 ที่ถ่ายวิดีโอได้นิ่งมาก เหมาะกับสายถ่าย Vlog แบบสุดๆ หรือจะเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Extreme ชอบเล่นกีฬาผาดโผนแล้วต้องการเก็บฟุตเทจกับทุกโมเม้นที่เกิดขึ้นรอบตัวก็ได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีจุดอ่อนเรื่องฟีเจอร์ที่ค่อนข้างน้อยมาก ทำให้ใช้งานได้ไม่ค่อยยืดหยุ่นสักเท่าไร เช่นในโหมด Hero อัดวิดีโอ 4K ไม่ได้ และไม่มีโหมด Slow Motion ให้ใช้ เป็นต้น แต่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตทาง GoPro อาจจะอัปเดตฟีเจอร์ที่ขาดหายไปเข้ามาให้ใช้ก็เป็นได้
|
How to .... |