Chi-Fi สุนทรียรสทางเสียงที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง

Chi-Fi คือ อะไร?

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่หลังรักเสียงเพลง มองไปรอบตัว เราก็ไม่รู้จักใครที่ไม่ชอบฟังเพลงนะ จะต่างกันก็แค่แนวเพลงที่ชอบฟังเท่านั้นเอง ในทางวิทยาศาสตร์เคยมีผลการวิจัยพบว่าเวลาที่เราฟังเพลง สมองจะหลั่ง Dopamine ออกมา มันเป็นสารเคมีที่ส่งผลต่อความรู้สึกช่วยให้เราผ่อนคลาย และมีสมาธิมากขึ้น 

ในการฟังเพลง เราก็ต้องมีอุปกรณ์ด้วย ทั้งเครื่องเสียง, ลำโพง หรือหูฟัง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาตั้งแต่ไม่กี่สิบบาทไปจนถึงหลายสิบล้าน ขึ้นอยู่กับคุณภาพเสียงที่เราต้องการสัมผัส ...และเงินในกระเป๋า

หากเป็นอดีต เครื่องเสียงคุณภาพสูงที่มีชื่อเสียงมักจะมาจากยุโรป, อังกฤษ, อเมริกา, อังกฤษ และญี่ปุ่น แต่ในช่วง 3-4 ปีมานี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนตั้งชื่อเรียกให้มันว่า Chi-Fi

Chi-Fi คืออะไร?

คำนี้เกิดมาจากกาสมาสคำระหว่าง Chinese (ประเทศจีน) และ Hi-Fi (มาจากคำว่า High fidelity หมายถึงเครื่องเสียงคุณภาพสูง) กลายเป็น Chi-Fi คำนี้ถูกใช้เรียกพวกเครื่องเสียงที่มาจากประเทศจีน

ไม่รู้เหมือนกันว่า Chi-Fi คำนี้ ถูกใช้เป็นครั้งแรกเมื่อไหร่ มันปรากฏบนเว็บบอร์ด Reddit ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2015 แต่รูปแบบสินค้าในกลุ่ม Chi-Fi มีมาก่อนหน้านั้นได้สองสามปีแล้ว

เครื่องเสียงจากจีนมีมานานมากแล้ว มีทั้งหูฟัง, ลำโพง, ไปจนถึงพวก DAC และ AMP แต่ในอดีตจะมาในรูปแบบของเครื่องเสียงราคาถูกไร้คุณภาพ, สินค้าไม่มียี่ห้อ หรือไม่ก็ของปลอมที่ทำเลียนแบบของแท้ ของแบบนี้จะไม่ถูกเรียกว่า Chi-Fi 

Chi-Fi จะใช้กับเครื่องเสียงจากจีนที่มียี่ห้อของตัวเอง ตัวอย่างเช่น Tin Audio, KZ, KRK, QDC ฯลฯ สินค้าจากแบรนด์เหล่านี้มักจะมีราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบคุณภาพที่ได้รับ ส่วนใหญ่จะให้เสียงดีเกินความคาดหมายเมื่อเทียบกับเงินที่จ่ายไป

ภาพจาก https://www.linsoul.com/products/moondrop-a8

ทำไม Chi-Fi ถึงให้คุณภาพเสียงดี แต่ราคาไม่แพง

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่บนโลกนี้ นิยมตั้งฐานการผลิตในประเทศจีน แม้แต่ iPhone ยังผลิตที่นั่นเลย จึงไม่ต้องตกใจหากหูฟังยี่ห้อดังจากยุโรป ก็จะถูกผลิตในประเทศจีนด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะที่เมืองเชินเจิ้น (Shenzhen) ที่จีนได้กำหนดให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยพุ่งเป้าการพัฒนาไปที่การเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี และวิทยาการชั้นสูง โรงงานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ก็มารวมตัวกันอยู่ที่เมืองนี้นี่แหละ

หลายโรงงานในเมืองนี้รับ OEM ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ให้กับผู้ว่าจ้างจากทั่วโลก เราสามารถหาซื้อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ได้ทุกชนิดที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นตัวบอดี้ของหูฟัง, สายสัญญาณ, ไดร์เวอร์เสียง ฯลฯ

เหตุผลที่เจ้าของแบรนด์หูฟังอย่าง Beats หรือ Shure มาจ้างโรงงานเหล่านี้ผลิตสินค้าให้ เหตุผลก็เป็นเรื่องของต้นทุน เนื่องจากค่าแรงในประเทศจีนนั้นต่ำมาก การมาว่าจ้างให้โรงงานเหล่านี้ผลิตสินค้าให้ ทำให้ต้นทุนสินค้าต่ำกว่าตั้งโรงงานผลิตสินค้าเอง อย่างไรก็ตาม ข้อเสียก็คือ โรงงานที่รับผลิตก็จะได้กรรมวิธีการผลิตไปด้วย โดยที่แทบจะไม่ต้องพัฒนาเองเลย

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หากโรงงาน OEM เหล่านี้จะมีความคิดหันมาสร้างแบรนด์ของตนเองบ้าง ก็ในเมื่อมีทั้งความรู้การผลิต และชิ้นส่วนสำหรับผลิตอยู่ในมืออยู่แล้ว ก็แค่เปลี่ยนดีไซน์นิดหน่อย ตีตราแบรนด์ของตนเองลงไปก็ขายได้แล้ว (บ้างก็ทำของปลอมออกมาขายทื่อๆ เลย) ซึ่งปัจจุบันก็มีออกมาหลากหลายยี่ห้อ จนเริ่มมีคนเรียกเครื่องเสียงเหล่านี้ว่า Chi-Fi นั่นเอง

ภาพจาก https://ancearphone.com/factory-tour/

ความจริงต้นทุนชิ้นส่วนในหูฟังอย่างพวกไดร์เวอร์, Diaphragm ฯลฯ มันมีราคาต่ำมาก อาจจะแค่ 15-20 บาทด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นชิ้นส่วนคุณภาพสูง วงจรชุบทอง ไดร์เวอร์เคลือบเพชร ก็อาจจะอยู่ที่แค่ประมาณ 130 บาท เท่านั้น แต่นั่น คือ ราคาต้นทุนการผลิตนั้นมันยังไม่รวมค่าการวิจัยค้นคว้าที่ต้องจ้างวิศวกรมาออกแบบ และไหนจะการทดสอบโมเดลต้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ได้คุณภาพตามที่ต้องการ 

ผู้ผลิต Chi-Fi ส่วนใหญ่ ไม่มีต้นทุนในส่วนนั้น พวกเขามีชิ้นส่วนคุณภาพดี (ที่ผู้ว่าจ้าง R&D) อยู่ในมืออยู่แล้ว ที่ต้องทำก็แค่นำทุกอย่างมาประกอบรวมกันเท่านั้นเอง แม้สุดท้ายแล้วผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ได้มาจะมีคุณภาพด้อยกว่างานที่ผ่านการ R&D มาแล้ว แต่ด้วยความดีงามของชิ้นส่วนชั้นเลิศ ก็ทำให้สินค้าออกมามีคุณภาพดีในระดับที่ยอมรับได้ (ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนผู้ช่วยกุ๊กทำผัดกะเพราด้วยเนื้อชั้นเลิศ และผักชั้นดี แม้รสชาติอาจจะเทียบกับฝีมือการผัดของกุ๊กตัวจริงไม่ได้ แต่ด้วยความที่เนื้อมันดี คนกินก็ยังรู้สึกรับได้)

อีกส่วนนึ่งที่ทำให้ Chi-Fi มีราคาถูกก็มาจากการที่สินค้าเหล่านี้มักจะมาในแพ็คเกจต้นทุนต่ำ อาจจะแย่ถึงขั้นใส่ซองพลาสติกแปะสติ๊กเกอร์ยี่ห้อมาเฉยๆ หรือดีหน่อยก็ใส่กล่องกระดาษมาให้ รวมถึงการที่ Chi-Fi ไม่มีงบโฆษณา พวกเขาไม่จ้างพรีเซนเตอร์ ไม่มีติดป้ายโฆษณาอะไรทั้งนั้น มีแค่เว็บไซต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ 

ความแพร่หลาย

การฟังเพลงด้วยหูฟัง หรือลำโพงดีๆ นับเป็นเรื่องราวดีๆ ที่ทุกคนต้องการสัมผัส แต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้สุนทรียรสนี้มา มันก็ไม่ใช้เงินน้อยๆ หูฟังคุณภาพสูงจากแบรนด์มีชื่อราคาก็เริ่มที่หลักหมื่นแล้ว หรือนักเล่นลำโพง หากต้องการไปให้สุดทางเงินหลักแสนก็ไม่พอ ปัญหานั้นเองที่ทำให้ Chi-Fi เริ่มเป็นที่รู้จัก

ตัวอย่างเช่น Monk Plus จาก Venture Electronics เป็นหูฟังแบบ Earbud ที่สร้างกระแสในหมู่นักเล่นหูฟังเป็นอย่างมาก มันเป็นหูราคาโคตรถูก มาในแพ็คเกจง่อยๆในประเทศไทยก็มีขายประมาณเส้นละ 200-300 บาทเท่านั้น แต่ได้รับคำชมจากนักเล่นหูว่าเสียงดีอย่างไม่น่าเชื่อ แม้เสียงที่ได้จากมันจะไม่เทพเหมือนหูหลักพันหลักหมื่น แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่า ในราคา 200 บาท ยากที่จะหาใครมาต่อกรได้

ภาพจาก https://sg.carousell.com/p/limited-edition-venture-electronics-ve-monk-plus-earbuds-ready-stock-136790393/

หรือ KZ ZST เป็นหูฟัง In-ear แบบ Hybrid driver ใช้ Dynamic Driver ร่วมกับ Balanced Armature Driver ดีไซน์มาแบบให้ถอดสายได้ อันที่จริงสเปคนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก มีหลายยี่ห้อทำมาก่อนแล้ว แต่ที่พิเศษ คือ ราคามันแค่ประมาณ 500 บาทเท่านั้น! สเปคนี้ถ้าเป็นยี่ห้อมีชื่อก็น่าจะหลายพันบาทอยู่

แม้เสียงของหูฟังเหล่านี้จะไม่เทพเหมือนหูฟังราคาแพง ถ้าจะพูดก็คือ ของมียี่ห้อดีๆ ยังให้คุณภาพเสียงที่ "เหนือกว่าด้วยรายละเอียด" แต่ด้วยราคาหลักร้อยแต่ให้เสียงคล้ายหูฟังหลักพัน หรือหูหลักพันที่ให้เสียงคล้ายหูฟังหลักหมื่น ทำให้ Chi-Fi ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

เราไม่ได้จะบอกว่า Chi-Fi ให้เสียงดีเทียบเท่ากับหูฟังจากแบรนด์ชั้นนำ เพราะสุดท้ายคุณภาพยังไงก็ยังไม่เทียบเท่า แต่ในราคาเท่ากัน Chi-Fi เป็นตัวเลือกที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย

ใน Aliexpress มี Chi-Fi อยู่หลายยี่ห้อให้เลือก

ข้อเสียของ Chi-Fi

โอเค Chi-Fi ไม่แพง และมักจะมีเสียงดีเกินคาด แต่มันก็มีปัญหาของมันอยู่เหมือนกัน

ปัญหาแรกอยู่ที่การควบคุมคุณภาพการผลิต การที่จะลดต้นทุนให้ขายได้ในราคาถูก ผู้ผลิตจะข้ามขั้นตอนไปหลายอย่างที่รวมไปถึงขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพ มันมีโอกาสที่เราจะเจอสินค้าไม่ได้คุณภาพ หรือมีตำหนิ 

ปัญหาที่สอง คือ ไม่มีการสนับสนุนหลังการขาย ส่วนใหญ่ไม่มีประกัน หรือรับซ่อม พังแล้วก็พังเลยซื้อใหม่อย่างเดียว หรือไม่ก็หาทางซ่อมเอาเอง แต่ตัวแทนจำหน่ายบางรายจะยอมเป็นผู้รับผิดชอบให้เอง โดยเสียก็เปลี่ยนสินค้าใหม่ให้ 

ปัญหาสุดท้ายเครื่องเสียง Chi-Fi ส่วนใหญ่ "จำเป็น" จะต้องปรับแต่ง เพื่อรีดเอาคุณภาพเสียงที่ดีที่สุดออกมาเอง บางรุ่นอาจจะแค่เปลี่ยนจุก, บางรุ่นต้องเปลี่ยนสาย หรือหากซับซ้อนหน่อย บางรุ่นต้องแกะออกมาเอาเข็มจิ้มลงไปในไดร์เวอร์ วิธีปรับแต่งเหล่านี้ไม่มีบอกมาในกล่อง ผู้ใช้จะต้องเข้าไปหาข้อมูลเองตามเว็บบอร์ดต่างๆ

ส่วนตัวผู้เขียนเอง ก็เคยเล่น Chi-Fi อยู่บ้างเหมือนกัน เนื่องจากมันถูกมาก จึงสามารถซื้อมาลองฟังเล่นแบบขำๆ ได้ แบบไม่ต้องคิดมาก ในประเทศไทยก็มีวางจำหน่ายอยู่หลายแห่ง หรือร้านค้าออนไลน์ชื่อดังในไทยก็มีนะ ใครสนใจก็ลองหาซื้อมาลองฟังกันดู