ส่อง 5 เทรนด์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ปี 2020

เป็นประจำที่ทุกปีเทรนด์ต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไป บางเทรนด์เกิดมาใหม่ บางเทรนด์ยังคงอยู่ บางเทรนด์ก็หายไป แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเทรนด์ในปีนี้จะมีอะไรบ้าง วันนี้ไทยแวร์เลยอาสามาสรุปเทรนด์ของ สินค้าไอที หรือ อุปกรณ์ไอที ของปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ให้ มาดูกันเลย

1. CPU + AI ยุคใหม่ของแกนประมวลผลบน PC

ไม่ใช่แค่วงการมือถือที่มี AI อยู่ในชิปเซ็ตประมวลผล แต่ในวงการคอมพิวเตอร์ก็เริ่มมีการนำเทคโนโลยี AI ลงมาใส่ไว้ในซีพียูเหมือนกัน โดยผู้นำเทรนด์นี้คือ Intel แบรนด์ชื่อดังผู้ผลิตซีพียูแถวหน้าของโลก (ที่เพิ่งโดน AMD แซงหน้าในเรื่องสถาปัตยกรรมและยอดขายในเกาหลี) ที่ออกมาเปิดตัวซีพียู Intel Core i5-i7 Gen-10th (สำหรับโน้ตบุ๊ค) ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมระดับ 10 nm. พร้อมหน่วยประมวลผล NPU (Neural Processing Unit) หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI นั่นแหละ (อ่านเพิ่มเติม)

โดยเทรนด์ที่เห็นได้ชัดเลยในปีนี้คือ “ซีพียูรุ่นใหม่ใน Gen-10th จะมาพร้อมกับขุมพลัง AI” ที่ช่วยเพิ่มพลังการประมวลผลนั้นดีขึ้น และช่วยปลดล็อกความสามารถอื่นๆ ที่ไม่เคยทำได้ เช่น ระบบตัดเสียงรบกวน, เพิ่มความชัดให้กับภาพที่เบลอ หรือขยายสเกลภาพจาก 720p เป็น 4K แบบ Real-time ด้วยการเติมเม็ดพิกเซลเข้าไป เป็นต้น นี่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มของความสามารถ AI เท่านั้น ในอนาคตจะมีซอฟต์แวร์ออกมารองรับความสามารถของ AI ที่อยู่ในซีพียูมากขึ้น ไม่เพียงแค่นั้นแบรนด์คู่แข่งอย่าง AMD ก็เริ่มส่งสัญญาณแล้วว่าจะโดดเข้ามาพัฒนา AI บนซีพียูและจีพียู

“We’ll absolutely see AMD be a large player in AI.” — Lisa Su ซีอีโอของ AMD ให้สัมภาษณ์ marketrealist.com

และความสามารถของ AI จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ซีพียูเท่านั้นมันจะเข้าไปอยู่ในชิปเซ็ตที่ต้องการพลังการประมวลผลเยอะๆ อย่างจีพียู (GPU) อีกด้วย อันที่จริงเราน่าจะเคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วบนการ์ดจอซีรีส์ RTX 20XX อย่าง NVIDIA Turing พลัง AI ที่ใช้ขับเคลื่อนฟีเจอร์ Ray Tracing ที่ทำให้ภาพสมจริงมากยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าความเร็วในการประมวลผลของการ์ดจอในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะรัน Ray Tracing ได้แบบเรียลไทม์ จึงทำให้ต้องมีหน่วยประมวลผล AI หรือที่เรียกว่า Tensor Core เข้ามาช่วยในการ และในปีนี้เราน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของ AI ที่อยู่ในหน่วยประมวลผลบนคอมพิวเตอร์มากยิ่งขึ้นแน่นอน

2. อุปกรณ์ไม่มีสายอย่างสมบูรณ์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ไร้สายนั้นกำลังมาแรงมากๆ อุปกรณ์รอบตัวของเราหลายชิ้นก็พัฒนาจนกลายเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ต้องพึ่งสายไฟหรือสายส่งสัญญาณอย่างสมบูรณ์ เช่น สมาร์ทวอทช์ หูฟังทรูลี่ไวเลส เป็นต้น ความสะดวกสบายคือไม่ต้องต่อสายอะไรเลย เพราะมีเทคโนโลยีไร้สายรองรับ ทั้ง Bluetooth / Wi-Fi รวมกับ Wireless Charge ที่กล่าวมานี้เป็นเทรนด์ในวงการแกดเจ็ตที่เราได้เห็นกันไปแล้ว แต่สำหรับวงการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ก็เริ่มมีบ้างแล้วเหมือนกัน เช่น Razer HyperFlux หรือ Logitech Powerplay เมาส์ไร้สายที่ใช้การรับ-ส่งไฟผ่านแผ่นรองเมาส์ เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นตัวแผ่นรองก็ยังต้องมีสายอยู่ดี

Credit:  https://www.energous.com/technology/transmitters/

และเทรนด์ในปีหน้าที่จะถึงนี้ก็มีแววว่า อุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าไม่มากจะมีการเอาเทคโนโลยีรับการจ่ายกระแสไฟแบบไร้สายมาให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสกันมากขึ้น เช่น WattUp Mid Field อุปกรณ์ส่งกระแสไฟฟ้าไร้สาย (Wireless Transmitter Power) ที่สามารถชาร์จไฟได้ไกลถึง 3 เมตร ให้กับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ทุกชนิดที่รองรับ คาดว่าเทรนด์นี้กำลังจะมาในอุปกรณ์คอมชิ้นเล็กๆ ที่ใช้ไฟไม่มาก ก็จะไม่ต้องมีสายไฟหรือสายสัญญาณอย่างสมบูรณ์

ไม่เพียงแค่นั้นการมาของ Wi-Fi 6 (802.11ax) ที่รับส่งข้อมูลได้เร็วกว่า Wi-Fi 5 ถึง 3-4 เท่า อาจจะทำให้หน้าจอมอนิเตอร์ไม่ต้องพึ่งสายสัญญาณ VGA / DVI / HDMI ในการส่งภาพอีกด้วย นั่นก็เพราะว่าความเร็วของการส่งข้อมูลผ่าน Wi-Fi 6 เดินทางมาแตะที่ระดับ 4.8 Gbps ซึ่งเพียงพอต่อการส่งสัญญาณภาพแบบ Full HD ที่ 60fps แล้ว ในปีนี้เราอาจจะได้เห็นเทรนด์หน้าจอไร้สายก็เป็นได้

3. อุปกรณ์เล่นเกม (Gaming Gear) จะฉลาดขึ้น รู้ใจมากกว่าตัวเราเอง

อย่างที่ได้กล่าวไปด้านบน AI สามารถนำไปใส่ในอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ได้เกือบแทบจะทุกชนิด พอใส่เข้าไปมันก็จะกลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่รู้ว่าเราต้องการอะไร ชอบอะไร และมีลักษณะการใช้งานยังไง 

credit: www.unbabel.com/blog/ai-changing-gaming-industry/

ซึ่งในปีนี้มีแนวโน้มว่าเกมมิ่งเกียร์จะมีการหยิบจับเทคโนโลยี AI มาใส่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เมาส์ คีย์บอร์ด หูฟัง หรือจอยคอนโทรล แน่นอนว่ามันจะเก็บพฤติกรรมต่างๆ จากการใช้ แล้วเอามาช่วยปรับใช้ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมแบบรายบุคคล จุดนี้เองจะช่วยเพิ่มความเข้ากันได้ของตัวผู้ใช้ และความได้เปรียบในการเล่น

นอกจากนี้แล้วมีแนวโน้มว่า Gaming Gear ไร้สายจะมีความหน่วงต่ำจนเกือบจะเท่าแบบที่มีสายเลย จากการนำเทคโนโลยี Wi-Fi 6 ใช้ร่วมกัน รวมถึงการตัดสายไฟออกไปด้วยเทคโนโลยีส่งกระแสไฟฟ้าไร้สาย (Wireless Transmitter Power) อีกด้วย

4. โปรเจคเตอร์แบบเลเซอร์ (Laser Projector) จะเป็นที่นิยมมากขึ้น

เทคโนโลยีแหล่งกำเนิดแสงของเครื่องโปรเจคเตอร์ที่ใช้ในห้องประชุม โรงเรียน และสถานที่ต่างๆ ในปัจจุบันเป็นแบบหลอด LED ที่ให้ความสว่างอยู่ระหว่าง 2,000 - 3,000 Lux โดยตัวหลอดจะมีอายุการใช้งานสูงสุดที่ 6,000 ชั่วโมง

Credit: www.gizmochina.com/2019/11/17/buy-xiaomi-ecosystem-wemax-l1668fcf-4k-ultra-short-throw-laser-projector-for-just-2399-from-gearbest-coupon/

แต่ในปีนี้เทคโนโลยีจะมีการขยับปรับเปลี่ยนเรื่องแหล่งกำเนิดแสงสว่างที่แต่เดิมจะเป็นหลอด LED ซะส่วนใหญ่ มาใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์ที่ดีกว่าในเรื่อง การให้ความสว่างมากกว่า สีสันสมจริงกว่า และอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า (ประมาณ 20,000 ชั่วโมง) แน่นอนว่ามันคุ้มค่าประหยัดต้นทุนได้มากกว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทางเว็บไซต์ LEDinside ออกมาทำนายไว้ว่าในปีนี้ 2020 สัดส่วนของโปรเจคเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Laser จะมีส่วนแบ่งในตลาดสูงขึ้นเป็น 30% 

5. เครื่องพิมพ์ (Printer) อัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี AI

วงการปริ้นเตอร์ตลอดปี 2019 ที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นสัญญาณแล้วว่าหลายแบรนด์ปริ้นเตอร์ระดับโลกเริ่มจะขยับจับเอาเทคโนโลยี AI ไปพัฒนาเพื่อใช้กับเครื่องปริ้นเตอร์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น HP หรือ Xerox ที่เริ่มใช้กับเรื่องของ Software บ้างแล้ว แต่ AI อาจจะไม่ได้อยู่ในเครื่องพิมพ์รุ่นทั่วไป

Credit: www.i.ytimg.com/vi/y_1L_Hk8_Sk/maxresdefault.jpg

แต่เทคโนโลยี AI จะถูกนำไปใช้กับเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3D แทนเพื่อช่วยให้การประมวลผลดีขึ้น กับงานที่ไม่ได้มีความซับซ้อนมากนัก เพื่อลดเวลาในการประมวลผล และในปีนี้เราอาจจะได้เห็นการเปิดตัวปริ้นเตอร์ที่มาพร้อมกับ AI บ้างไม่มากก็น้อย 

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสรุปของเทรนด์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่จะมาในปีนี้ 2020 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น AI กับเทคโนโลยีไร้สายซะมากกว่า แล้วเพื่อนๆ มีความคิดเห็นกับเทรนด์ในปีนี้อย่างไรบ้าง มาแชร์ให้ฟังกันได้