ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
       
   สมัครสมาชิก   เข้าสู่ระบบ
ไทยแวร์รีวิว
 

รีวิว Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?

Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?

เมื่อ :
|  ผู้เข้าชม : 10,593
เขียนโดย :
0 %E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7+Levoit%C2%A0Core+400S+VS+Philips+1000i%C2%A0Series%C2%A0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99+%3F
A- A+
แชร์หน้าเว็บนี้ :

Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series 

สมัยนี้เราต้องเจอสิ่งเลวร้ายในอากาศมากมาย ทั้งโรคติดต่อ สารก่อภูมิแพ้ แบคทีเรีย และฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่นอกบ้านหรือในบ้านก็ตาม โดยอุปกรณ์ที่จะช่วยปกป้องเราได้และสร้างอากาศบริสุทธิ์ให้กลับมาก็คือ เครื่องฟอกอากาศนั่นเอง

ปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศที่พบในตลาด มีราคาตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่น และถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศขนาดกลาง ที่มีราคาไม่เกินหลักหมื่นดี ๆ สักเครื่อง เจ้า 2 รุ่นที่เราจะมารีวิวในวันนี้ อาจจะตอบโจทย์ให้คุณได้

โดย 2 รุ่นที่ว่านั้นคือ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) การันตีด้วยแบรนด์ที่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา *USA) ส่วนอีกตัวนั้น เป็นรุ่นที่มีสเปกใกล้เคียงกัน มาจากแบรนด์ที่หลายคนน่าจะรู้จักกันอย่างดี นั่นก็คือ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series (โมเดลรุ่น AC1715/21) ทั้ง 2 รุ่นถูกดีไซน์มาให้เหมาะกับห้องขนาดกลาง ซึ่งยังเหมาะกับการใช้งานในบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง เพราะไม่เพียงแค่ฟอกอากาศให้ปราศจากมลพิษ ฝุ่น เชื้อโรค และไวรัสต่าง ๆ แต่ยังช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นที่มาจากสัตว์เลี้ยงหรืออาหารได้ด้วย

จากรูป หลายคนอาจจะสังเกตเห็นว่า ดีไซน์มีความคล้ายคลึงกันมากทีเดียว และจริง ๆ สเปกก็ใกล้เคียงกันด้วย แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีจุดเด่นที่ต่างกันหลายอย่าง รีวิวนี้จะมาเปรียบเทียบให้คุณเห็นข้อแตกต่างและพลังของทั้ง 2 รุ่น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อมาใช้กัน

ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคของ Levoit Core 400S และ Philips 1000i Series 
 

เนื้อหาภายในบทความ

แนะนำเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ Philips 1000i Series 

ก่อนเทียบด้านดีไซน์และคุณสมบัติต่าง ๆ เรามาทำความรู้จักเครื่องฟอกอากาศ 2 รุ่นนี้ก่อนว่ามันเป็นมาอย่างไร และมีจุดเด่นด้านไหนบ้าง 

แนะนำเครื่องฟอก Levoit Core 400S และ Philips 1000i Series 
ดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย และมินิมอลใน Levoit Core 400S

ทางด้านเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S ก็เป็นรุ่นที่พัฒนามาจาก เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 300S ซึ่งถ้าย้อนไปดูสเปกก่อนหน้า ก็จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปมาก มีแค่ขนาดที่ใหญ่ขึ้นและศักยภาพที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะด้านความเร็วในการฟอกอากาศ รุ่นนี้ราคาแค่ประมาณ 6,000 บาท เท่านั้น (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้)

โดยที่ดีไซน์ออกมาให้เหมาะกับห้องขนาดกลาง และถึงแม้ว่าหลายคนจะไม่ค่อยรู้จักแบรนด์นี้กันเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์ รุ่นนี้จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา โดยจุดเด่นของรุ่นก็คือดีไซน์ที่ดูมินิมอล และเรียบง่ายเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ได้หลายแนว รวมถึงคุณสมบัติด้านการช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ที่มีการใช้เทคโนโลยี Levoit ARC Formula™ ปรับแต่งพิเศษเฉพาะสำหรับการกรองกลิ่น

แนะนำเครื่องฟอก Levoit Core 400S และ Philips 1000i Series 

ในขณะเดียวกัน เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ก็เป็นแบรนด์ที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับผู้บริโภค รุ่นนี้ราคาอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้) จุดเด่นก็คือเทคโนโลยี NanoProtect HEPA หรือฟิลเตอร์กรองที่มีการใช้ประจุไฟฟ้าสถิตย์เพื่อดึงดูดและดักจับสารก่อภูมิแพ้ ไวรัส แบคทีเรีย และอื่น ๆ ได้มากกว่าการใช้ H13 HEPA หรือ ฟีลเตอร์เกรดสูงทั่วไปในเครื่องฟอก พร้อมยังมีการใช้ VitaShield ที่สามารถดักจับฝุ่นละอองตามอากาศที่มีอนุภาคเล็กมาก ๆ ได้

เปรียบเทียบด้านการออกแบบ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S กับ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series

มาดูด้านดีไซน์กันก่อน อันที่จริงมองผ่าน ๆ คุณอาจจะเห็น เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S สลับเป็น เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ได้ เพราะหน้าตามันเหมือนกันมาก อย่างไรก็ตามจุดแตกต่างที่ชัดเจนก็คือ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S จะออกแบบเป็นทรงกระบอก แต่ Philips 1000i Series ออกแบบเป็นทรงสามเหลี่ยม ถ้าใครชอบแบบไหนก็แล้วแต่สไตล์ของตัวเอง

นอกจากนี้ วัสดุที่ใช้ก็ยังเป็นวัสดุเดียวกันหรือ Polycarbonate มีลักษณะผิวด้านเรียบ ขนาดแตกต่างกันเล็กน้อยโดยเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S จะรูปร่างสูงกว่า

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 
Levoit Core 400S (27.4 x 27.4 x 52 ซม.) / Philips 1000i Series  (27.3 x 27.3 x 48.6 ซม.)

สำหรับช่องปล่อยอากาศของเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S กับเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ตำแหน่งจะอยู่ส่วนบน หน้าตาที่เห็นมีความแตกต่างกันชัดเจน เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S ดีไซน์มาเป็นรูปแบบ Vortex หรือทรงกระแสลมหมุนซึ่งจะมีส่วนช่วยกับเทคโนโลยีฟอกอากาศของ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S ทำให้มันกระจายอากาศบริสุทธิ์ได้เร็วมากขึ้น ส่วนเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series เป็นรูปแบบตะแกรงทิศทางตรง ที่จะปล่อยลมออกมาในทิศทางเดียว

  เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

ช่องปล่อยลม Levoit Core 400S

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

ช่องปล่อยลม Philips 1000i Series

และจากภาพ คุณจะพบหน้าจอมีข้อมูลบอกปริมาณฝุ่น PM 2.5 ด้วย รวมถึงไฟสถานะที่เป็นวงแหวน ที่เอาไว้ใช้บอกระดับความบริสุทธิ์ของอากาศแบบเรียลไทม์ เป็นฟีเจอร์เข้ากับสถานการณ์บ้านเราสุด ๆ นอกจากนี้ บริเวณรอบ ๆ ของหน้าจอก็จะมีปุ่มควบคุมอยู่ ส่วนจะใช้ทำอะไรบ้างก็ตามนี้เลยครับ

การควบคุมบน เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S

  • ปุ่มต่าง ๆ
    • ปุ่มเปิดเครื่อง
    • ปุ่มปรับระดับแรงลม (เบา, ปานกลาง, แรง, แรงมาก)
    • ปุ่มเปิดโหมดอัตโนมัติ
    • ปุ่มปิดไฟสถานะ (ประหยัดพลังงาน)
    • ปุ่ม Display Lock สำหรับป้องกันเด็กมากดเล่น
    • ปุ่มโหมดตั้งเวลา
    • ปุ่มเช็คสถานะฟิลเตอร์
    • ปุ่มโหมดกลางคืน (ลดระดับเสียงลง)
  • ไฟสถานะ
    • บอกสถานะการเชื่อมต่อ Wi-Fi
    • สถานะเปิด Display Lock
    • สถานภาพของฟิลเตอร์ (เวลาต้องเปลี่ยน หรือ ทำความสะอาด)
    • LED Dispaly บอกมวลฝุ่น PM 2.5
    • วงแหวนไฟ (สีน้ำเงิน) ระบุคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ 
      • สีน้ำเงินคือ บริสุทธิ์มาก
      • สีเขียว บริสุทธิ์
      • สีส้ม ปานกลาง
      • สีแดงคือ อันตราย

การควบคุมบน เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

  • ปุ่มต่าง ๆ
    • ปุ่มสลับโหมดเป็นโหมดออโต้, โหมดความแรงระดับ 1 - 3, โหมดกลางคืน
    • ปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง
    • ปุ่มปิดไฟสถานะ (ประหยัดพลังงาน)
  • ไฟสถานะ
    • บอกว่าอยู่ในโหมดใด (โหมดออโต้, โหมดความแรงระดับ 1 - 3, โหมดกลางคืน)
    • สถานะการเชื่อมต่อ Wi-Fi
    • สถานภาพของฟิลเตอร์ (ได้เวลาเปลี่ยน หรือทำความสะอาด)
    • LED Dispaly บอกมวลฝุ่น PM 2.5
    • วงแหวนไฟ (สีน้ำเงิน) ระบุคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ 
      • สีน้ำเงินคือ บริสุทธิ์มาก
      • สีม่วง บริสุทธิ์
      • แดงอมม่วง ปานกลาง
      • สีแดงคือ อันตราย

สิ่งหนึ่งที่เราชอบในตัว เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S ก็คือการใส่ "ปุ่ม Display Lock" มาให้ ซึ่งถือเป็นฟีเจอร์ที่สำคัญสำหรับบ้านที่มีเด็ก ๆ อยู่ เพราะเด็กอาจจะเดินมาเล่นและรบกวนการทำงานของอุปกรณ์ได้ การใส่ Display Lock เข้ามา ผู้ใช้ก็จะไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้ด้วย

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 
สถานะ Display Lock บนจอแสดงผล Levoit Core 400S

เซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่น

สำหรับหน้าที่ของเซ็นเซอร์ ก็อย่างที่บอกไปว่า มันมีไฟสถานะความบริสุทธิ์ของอากาศ และ ข้อมูลของ ฝุ่น PM 2.5 บอกแบบเรียลไทม์ด้วย ซึ่งตัวเซ็นเซอร์นี้ก็จะทำหน้าที่เป็นผู้ประมวลผลให้นั่นเอง

นอกจากนี้ถ้าเปิด "โหมด Auto" ไว้ทั้ง 2 รุ่น ระบบเซ็นเซอร์ก็จะทำงานร่วมกับความเร็วของพัดลมในเครื่องฟอก ถ้าเจอฝุ่นมากก็จะเพิ่มความเร็วให้เหมาะสม เพื่อเร่งกำจัดฝุ่นออกไปและข้อดีสำหรับ Philips 1000i Series คือมันมีระบบการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันมือถือ เมื่อระดับคุณภาพกำลังอันตรายถึงจุดที่เรากำหนดไว้ด้วย

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

AirSight™ Plus Laser Dust Sensor ในเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

AeraSense ในเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

ฟิลเตอร์ของเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S

สำหรับฟิลเตอร์ หรือ ไส้กรองเริ่มที่ของ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S หน้าตาก็จะเป็นทรงกระบอก มีชั้นกรอง 3 ระดับเรียกว่า True HEPA 3-Stage Original Filter ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ

  1. Preliminary Filter
    แผ่นกรองชั้นแรก ใช้ดักจับฝุ่น เส้นผม เส้นใยและขนสัตว์
  2. H13 HEPA Filter With HEPASmartTM Technology
    ใช้ดักจับแบคทีเรีย เชื้อรา ละออง ไวรัส และ สะเก็ดรังแคสัตว์เลี้ยงได้ถึง 99.99% รวมถึงมลกุลที่เล็กขนาด 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97%
  3. Carbon Filter With ARC Formula
    ใช้ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น อาหาร และ กลิ่นสัตว์

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

จุดเด่นของไส้กรองนี้ อย่างที่พูดไว้ตั้งแต่ต้นก็คือ เทคโนโลยี ARC Formula™ เฉพาะสำหรับ เครื่องฟอกอากาศ Levoit ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับแต่งพิเศษให้มีความสามารถในการย่อยสลายโมเลกุลของกลิ่นอาหารและสัตว์ จนถึงกลิ่นควันและมลพิษต่าง ๆ ที่ติดกับตัว Carbon Filter ประโยชน์ก็คือมันจะช่วยยืดอายุของตัวฟิลเตอร์และดูดซับกลิ่นได้ดีขึ้นครับ 

สำหรับวิธีเปิดไส้กรองออกมาเช็คสภาพ จริง ๆ ตำแหน่งของมันจะอยู่บริเวณช่องดูดอากาศที่เป็นแพทเทิร์นลายจุด ๆ และถ้าสังเกตที่ฐานใต้เครื่องจะมีฝาปิดอยู่ เวลาจะเปิดฝาให้เราพลิกเครื่องวางตั้งกลับด้านจะเห็นสัญลักษณ์เล็ก ๆ บอกว่าเราต้องหมุนไปทางไหนเพื่อเปิดฝา เราแค่หมุนแกนกลางของฝาตามทิศที่บอกไว้ก็จะแกะฟิลเตอร์ออกมาได้แล้ว ส่วนเวลาจะปิดก็อย่าลืมหมุนกลับในทิศตรงข้ามเพื่อล็อกฝาฐานไม่ให้ฟิลเตอร์มันหลุดเวลา ยกย้ายไปไหนด้วย

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 
สัญลักษณ์บอกทิศทางในการหมุนเปิดฝา

ฟิลเตอร์ของเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

ส่วนฟิลเตอร์ของเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series หน้าตาก็จะคล้าย ๆ กันแถมยังประกอบด้วยชั้นกรอง 3 ขั้นตอน คล้ายกันด้วยดังนี้

  • แผ่นกรองชั้นแรก ดักจับ ฝุ่น ขนสัตว์ เส้นผม
  • NanoProtect HEPA ดักจับ แบคทีเรีย ไวรัส ละอองเกสรและสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ ได้ถึง 99.9% พร้อมการ ดักจับอนุภาคขนาดเล็กมาก ๆ ได้
  • คาร์บอนกัมมันต์ หรือ Carbon Filter ดูดซับก๊าซและกลิ่นไม่พึงประสงค์

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

จุดเด่น อย่างที่บอกไว้ ก็จะเป็นการใช้เทคโนโลยี NanoProtect HEPA พร้อม VitaShield ที่ใช้ดักจับอนุภาคขนาดเล็กมาก ๆ โดยตำแหน่งของการเปิดฟิลเตอร์ออกมาเช็คสภาพก็จะง่ายกว่าหน่อย เพราะมีฝาเปิดด้านข้างชัดเจน สามารถดึงออกมาได้เลย

เปรียบเทียบด้านดีไซน์ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S และ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 
ภาพจาก https://www.philips.co.th/c-p/AC1715_21/1000i-series-air-purifier-for-medium-rooms

เครื่องฟอกอากาศรุ่นไหนดีกว่ากัน ?

สำหรับเรื่องหน้าตาดีไซน์ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล ไม่เอามาเทียบละกัน เพราะอีกอย่างขนาดและรูปทรงก็ใกล้เคียงกันด้วย ไม่รู้จะให้คะแนนกันในส่วนไหน การควบคุมและหน้าจอแสดงผลทั้ง 2 รุ่นก็มีฟังก์ชันคล้ายกัน ส่วนด้านการออกแบบไส้กรองก็มีดีคนละด้าน

ที่เหลืออยู่ก็คงจะเป็นตัวเสริมที่มีแค่ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S ใส่เข้ามาอย่าง "ปุ่ม Display Lock" ที่เอามาไว้ป้องกันเด็กเล็ก รวมถึงตัวโหมดความแรงเอง Levoit Core 400 ก็มีระดับในการปรับแต่งให้ 4 ระดับ ถือว่าให้ทางเลือกผู้ใช้ได้มากกว่า คะแนนส่วนนี้ก็เลยขอตัดสินใจให้ Levoit Core 400 ดีกว่าไป

คะแนนด้านดีไซน์
 Levoit Core 400S  Philips 1000i Series
X

เปรียบเทียบคุณสมบัติ และฟีเจอร์ของเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S กับ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

รวมฟีเจอร์น่าสนใจ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S

  • ค่า CADR หรืออัตราความเร็วในการสร้างอากาศบริสุทธิ์เท่ากับ 442 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง
  • พื้นที่การทำงานกว้างถึง 92 ตารางเมตร
  • ฟิลเตอร์กรอง 3 ขั้นตอน 
    • แผ่นกรองชั้นแรก ใช้ดักจับฝุ่น เส้นผม เส้นใยและขนสัตว์
    • แผ่นกรอง H13 HEPA ดักจับแบคทีเรีย เชื้อรา ละออง ไวรัส และ สะเก็ดรังแคสัตว์เลี้ยง ดักจับอนุภาคในอากาศขนาด 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97% และอนุภาคไวรัส เชื้อรา เชื้อโรคได้ถึง 99.99%
    • Carbon Filter ใช้ดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น อาหาร และ กลิ่นสัตว์เลี้ยง
  • การควบคุม
    • ควบคุมระดับลม 4 ระดับ (ความเร็ว 1, 2, 3 และ เทอร์โบ)
    • โหมด Sleep Mode
    • ปุ่ม Display Lock ป้องกันเด็กมากดเล่น
    • โหมดอัตโนมัติ
    • ปุ่มโหมดตั้งเวลา
    • ปุ่มปิดไฟแสดงผลเพื่อประหยัดพลังงาน
  • มีไฟแจ้งเตือนให้เปลี่ยนไส้กรอง
  • ระดับเสียงในการทำงานต่ำสุด 24 dB สูงสุด 50 dB
  • เร่งประสิทธิภาพการไหลเวียนอากาศบริสุทธิ์ภายในอาคารได้ดียิ่งขึ้นด้วย เทคโนโลยี VortexAir™ Technology
  • สแกนอากาศรอบ ๆ เพื่อหาอนุภาคมลพิษในอากาศด้วย เซ็นเซอร์ AirSight™ Plus และปรับความเร็วในการฟอกอัตโนมัติ (โหมดอัตโนมัติ)
  • แสดงข้อมูลอนุภาคฝุ่น PM 2.5 แบบเรียลไทม์บนหน้าจอ LED 
  • ไฟระบุคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ (Air Quality Indicator Rings) ว่าไม่ดี ปานกลาง ดี หรือดีมาก
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับกลิ่นและยืดอายุการใช้งานของไส้กรองด้วย Exclusive Levoit ARC Formula™
  • ฟังก์ชันการควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน VeSync 
  • การรองรับสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant™

รวมฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series

  • ค่า CADR หรืออัตราความเร็วในการสร้างอากาศบริสุทธิ์เท่ากับ 300 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง
  • พื้นที่การทำงานกว้างถึง 78 ตารางเมตร
  • ฟิลเตอร์กรอง 3 ขั้นตอน 
    • แผ่นกรองชั้นแรก ดักจับ ฝุ่น ขนสัตว์ เส้นผม
    • NanoProtect HEPA ดักจับ แบคทีเรีย ไวรัส ละอองเกสรและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ดักจับเฉย ๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีพิเศษ ยังใช้ประจุไฟฟ้าสถิตย์เพื่อดึงดูดสารดังกล่าวเข้ามาด้วย ทำให้ฟอกอากาศได้มากกว่าด้วยการกรองของ HEPA H13 แบบดั้งเดิมสามารถ กำจัดไวรัสและฝุ่นละอองตามอากาศออกจากอากาศได้ถึง 99.9% และยังกำจัด อนุภาคขนาดเล็กถึง 0.003 ไมครอน (เล็กกว่าฝุ่น PM 2.5 800 เท่า) ออกไปได้ถึง 99.97%
    • Carbon Filter กำจัด ก๊าซอันตราย และกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • การควบคุม
    • ระดับความเร็วพัดลม 3 ระดับ (1, 2 และ เทอร์โบ)
    • มีโหมดอัตโนมัติ
    • มีโหมดการทำงานตอนกลางคืน
    • ปุ่มปิดไฟแสดงผลเพื่อประหยัดพลังงาน
  • มีไฟเตือนเปลี่ยนฟิลเตอร์
  • ระดับเสียงการทำงานต่ำสุด 15 dB สูงสุด 50 dB
  • มีเซ็นเซอร์ AeraSense ช่วยสแกนสภาพอากาศเพื่อตรวจจับมลพิษ และเลือกระดับการทำงานที่เหมาะสมของเครื่องฟอกอากาศแบบอัตโนมัติ
  • การแสดงระดับสารก่อภูมิแพ้ (Allergens) และ PM 2.5 ในรูปแบบของตัวเลขบนหน้าจอ LED 
  • ไฟระบุคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ (Air Quality Indicator Rings) ว่าไม่ดี ปานกลาง ดี หรือดีมาก
  • ฟังก์ชันการควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน Philips Air+ 

เครื่องฟอกอากาศรุ่นไหนดีกว่ากัน ?

เปรียบเทียบคุณสมบัติ และ ฟีเจอร์ของเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S กับ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

 

หากดูตามคุณสมบัติ ทั้ง 2 รุ่นมีฟังก์ชันที่คล้ายกันหลายอย่างเลยทีเดียว มีจุดแตกต่างอยู่ไม่กี่ส่วน แต่ข้อดีก็คือ 2 รุ่นนี้มีการควบคุมผ่านแอปพลิเคชันได้ด้วย อีกทั้งตัว เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S ยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant™ ใครที่ชอบความล้ำสมัยก็อาจจะถูกใจที่ Levoit Core 400S มากกว่า

และข้อเปรียบเทียบที่สำคัญอีกอย่าง นั่นคือพื้นที่การทำงาน โดยเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S จะรองรับได้มากกว่า หรือ 92 ตารางเมตร แต่สำหรับ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series นั้นอยู่ที่ 78 ตารางเมตร และเครื่องฟอก Levoit Core 400S ยังมีอัตราความเร็วในการสร้างอากาศบริสุทธิ์ (Clean Air Delivery Rate - CADR) มากถึง 442 ลูกบาศก์เมตร /ชั่วโมง จึงสามารถทำความเร็วในการฟอกได้มากกว่าเครื่องฟอก Philips 1000i Series ที่ทำได้ 300 ลูกบาศก์เมตร /ชั่วโมง เท่านั้น 

เปรียบเทียบคุณสมบัติ และ ฟีเจอร์ของเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S กับ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series 

ซึ่งพระเอกในเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเพราะเทคโนโลยี VortexAir™ Technology ที่ได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับเครื่องฟอกอากาศแบรนด์ Levoit ทำให้มันสามารถปล่อยอากาศให้หมุนเวียนผ่านช่องอากาศดีไซน์แบบ Vortex หรือ กระแสลมที่หมุนวนที่คุณได้เห็นก่อนหน้า ซึ่งช่วยให้การกระจายตัวของอากาศบริสุทธิ์เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น 

ในขณะที่ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ก็มีจุดเด่นของตัวเองอย่างการดักจับอนุภาคที่เล็กมาก ๆ ทั้งยังมีการทำงานที่เงียบกว่า ด้วยระดับเสียงการทำงานต่ำสุดที่ 15 เดซิเบล (dB) แถมมีความประหยัดไฟด้วยการใช้กำลังไฟเพียงแค่ 27 วัตต์ (Watts) เทียบเท่ากับหลอดไส้

ถ้าสรุปตามนี้ ในเรื่องของคุณสมบัติแล้ว ผู้เขียนคิดว่า เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S ออกจะเหนือกว่า เพราะการใช้เครื่องฟอกอากาศก็เหมือนกับการใช้เครื่องปรับอากาศ หลายคนก็คงจะต้องการให้มันสร้างอากาศบริสุทธิ์ได้รวดเร็ว เหมือนที่เวลาเราเจออากาศร้อน เราก็อยากจะให้เครื่องปรับอากาศมันทำความเย็นเร็ว ๆ นั่นเอง ดังนั้นคะแนนในส่วนนี้จึงอยากขอให้ Levoit Core 400S

คะแนนด้านคุณสมบัติ และฟีเจอร์
 Levoit Core 400S  Philips 1000i Series
X

การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

สำหรับแอปพลิเคชันที่เราจะใช้ควบคุม เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S ผ่านมือถือชื่อว่าแอปพลิเคชัน VeSync ในขณะที่ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series เราจะใช้ผ่านแอปพลิเคชัน Philips Air+ โดยใช้ Wi-Fi และ Bluetooth ในการเชื่อมต่อ ซึ่งทั้ง 2 แอปฯ นั้นรองรับระบบ iOS และ Android 

การเริ่มต้นนั้นง่ายมาก แอปพลิเคชันของทั้ง 2 รุ่น มีคำแนะนำวิธีบอกเอาไว้ทั้งหมด สามารถทำตามวิธีได้เลย ดังต่อไปนี้

วิธีเชื่อมต่อ VeSync กับเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S

  1. กดที่ "ปุ่ม Add Device"
  2. จะมีหมวดอุปกรณ์ให้เลือกเครื่องฟอกอากาศและ รุ่น Levoit Core 400S
  3. คำแนะนำให้เปิดเครื่องใช้งาน
  4. กดที่ "ปุ่ม Power" บนเครื่องค้าง 5 วิ และสังเกตที่สัญลักษณ์ Wi-Fi กระพริบ
  5. กดต่อไปเรื่อย ๆ จะมีให้เชื่อม Wi-Fi
  6. ต่อไปคำแนะนำจะให้เราเลือกประเภทห้องที่ใช้ติดตั้ง และ ตั้งชื่ออุปกรณ์
  7. กดต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จจะขึ้นภาพสุดท้าย
สไลด์รูปภาพ

 การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?

วิธีเชื่อมต่อ Philips Air+ กับ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series

  1. กดที่ "ปุ่ม Add a Device"
  2. แอปพลิเคชันจะให้เชื่อมต่อ Wi-Fi และเริ่มสแกนหาอุปกรณ์อัตโนมัติ
  3. ให้คุณกด "ปุ่มปรับโหมด" บนเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ค้างไว้จนสัญลักษณ์ Wi-Fi ที่เครื่องกระพริบ
  4. จากนั้นก็จะเริ่มการเชื่อมต่อ
  5. ขั้นตอนต่อมาเครื่องจะให้เราตั้งค่าเบื้องต้น อย่างประเภทห้องและรูปแบบของอนุภาคที่คุณกังวลมากที่สุด
  6. เมื่อตั้งเสร็จแล้วอุปกรณ์จะปรับพฤติกรรมการทำงานอย่างเหมาะสม 
  7. และเป็นอันเสร็จสิ้น
สไลด์รูปภาพ

 การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?Levoit Core 400S VS Philips 1000i Series เครื่องฟอกขนาดกลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?

ฟีเจอร์ใน VeSync (Levoit Core 400S)

อันที่จริงการควบคุมในแอปพลิเคชัน VeSync ก็จะเหมือนกับการใช้ปุ่มบนเครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S เกือบทุกอย่าง แค่สะดวกกว่า เพราะสามารถเปิดเครื่อง หรือ ปรับโหมดต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันได้เลย แถมเรายังสามารถเช็คสถิติของคุณภาพอากาศที่ตัวเครื่องฟอกวัดตลอดการทำงานในแต่ละวัน หน้าตาแอปพลิเคชันก็ดู Minimal เรียบง่าย เมนูหรือไอคอนดูแล้วเข้าใจง่าย

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

 

อีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าจะเปิดใช้ "โหมดอัตโนมัติ (Auto Mode)" ภายในตัวแอปพลิเคชัน VeSync สามารถปรับแต่งได้ละเอียดมากกว่า โดยเราสามารถที่จะกำหนดให้เครื่องฟอกโฟกัสการทำงานให้ครอบคลุมอาณาบริเวณ ตารางฟุตที่เราต้องการได้เลย มันจะเปิดโหมดความแรงสูงสุด และ จะปรับระดับลงเมื่อพื้นที่มีอากาศบริสุทธิ์อยู่ในระดับดีแล้ว

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

กำหนดตารางการทำงาน

เราสามารถกำหนดตารางการทำงานของตัวเครื่องได้ด้วย เราสามารถกำหนดละเอียด ตั้งแต่จะให้มันทำงานเวลาไหน วันไหน และใช้โหมดอะไรบ้าง หรือจะต้องการให้มันปิดไฟสถานะในช่วงเวลานั้น ๆ เพื่อไม่ให้มีแสงรบกวนสายตาในเวลานอน 

การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

มีการมอนิเตอร์ตรวจสอบอายุการใช้งานของแผ่นกรองอากาศ (Filter Life Monitor)

ในแอปพลิเคชัน VeSync มีระบบ Filter Life Monitor ให้เราดูสภาพอายุการใช้งานของฟีลเตอร์ด้วย แถมบอกเป็นเปอร์เซ็นชัดเจน เมื่อใกล้หมดก็เตรียมซื้อเปลี่ยนได้เลยทันที ถ้าเป็นบางรุ่นอาจจะไม่มีบอกแบบนี้ ผู้ใช้ก็จะไม่รู้ว่าไส้กรองควรเปลี่ยนเมื่อไหร่ ต้องสังเกตด้วยสายตาเอาเอง หรือหากมีบอกก็ไม่ได้รายงานเป็นเปอร์เซ็น และแจ้งเตือนให้เปลี่ยนเลย การบอกละเอียดไว้ ก็ถือว่าสะดวกเหมือนกัน

การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

มีระบบควบคุมสั่งงานด้วยเสียง

การสั่งงานด้วยเสียงผ่าน VeSync สามารถทำได้ผ่าน Google Assistant นอกจากนี้ยังมี Alexa แต่ในไทยจะยังใช้ไม่ได้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่จะมีเฉพาะในเครื่องฟอกอากาศบางรุ่น และหนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S โดยประโยคคำสั่งก็จะมีกำหนดไว้ให้พร้อมตั้งแต่การสั่ง เปิดเครื่อง / ปิดเครื่อง, การปรับโหมด และคำสั่งอื่น ๆ 

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

ขอแนะนำในส่วน Google Assistant เพราะเข้าถึงคนไทยมากกว่า ซึ่งก่อนจะเริ่มใช้ได้เราต้องมีบัญชีของ VeSync และเชื่อมตัวแอปกับ Google Assistant วิธีการสั่งก็ให้สั่งผ่าน Google Assistant ได้เลยโดยใช้ประโยคต่าง ๆ 

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)ลาง รุ่นไหนดีกว่ากัน ?

ฟีเจอร์ใน Philips Air+ (Philips 1000i Series) 

ด้านตัวแอปพลิเคชัน Philips Air+ ในส่วนของ หน้าจอผู้ใช้งาน (User Interface) อาจจะดูยากกว่า แต่ฟังก์ชันก็มีให้ครบทั้งการ สั่งเปิดเครื่อง การปรับโหมดต่าง ๆ โดยมีสิ่งที่เพิ่มเข้ามาและไม่มีในตัวเครื่อง ก็คือการมอนิเตอร์สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) และสถิติของคุณภาพอากาศแต่ละวัน 

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

กำหนดตารางการทำงาน

ในตัว เครื่องฟอกอากาศ Philips Air+ ก็สามารถกำหนดตารางการทำงานได้เหมือนกัน มีการแสดงเป็นหน้าปฏิทิน ให้ดูข้อมูลชัดเจนและดูเข้าใจง่ายกว่า ในเรื่องของตารางการทำงานของเครื่องฟอก

การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

แจ้งเตือนเมื่อคุณภาพอากาศแย่

ในการตั้งค่าการทำงานของ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series เราสามารถกำหนดให้มันส่งการแจ้งเตือนมาทางแอปพลิเคชันเมื่อคุณภาพอากาศกำลังแย่ถึงระดับหนึ่งได้ด้วย ซึ่งปกติแล้วจะมี 4 ระดับที่เซ็นเซอร์เครื่องฟอกได้แบ่งเอาไว้ คือ ดี (Good), ปานกลาง (Fair), แย่ (Poor) และ แย่มาก (Very Poor) หากเราตั้งไว้ที่ระดับ แย่ (Poor) พอเซ็นเซอร์ตรวจเจอฝุ่นในห้องเพิ่มขึ้นในระดับที่กำหนด มันก็จะส่งข้อความมาแจ้งเตือน พร้อมกับการเร่งความแรงให้เครื่องทำงาน เป็นฟีเจอร์ที่ดีเหมือนกัน

การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

Filter Life Monitor

ในเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ก็มีเช่นกันและเราสามารถตรวจสอบตัว Pre Filter หรือตัวกรองชั้นแรกเพื่อนำมาปัดฝุ่นทำความสะอาดได้ด้วย ส่วนตัวกรอง NanoProtect HEPA เองก็มีข้อมูลอายุขัยบอกไว้เหมือนกัน

การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

รองรับบริการ IFTTT (IF This Then That)

เป็นอีกตัวเสริมหนึ่งที่น่าสนใจของ เครื่องฟอกอากาศ Philips Air+ ที่สามารถใช้ร่วมกับบริการ บุคคลที่สาม (Third Party) ที่ชื่อว่า IFTTT (IF This Then That) ได้ด้วย

IFTTT มันก็คือแอปพลิเคชันตัวหนึ่งที่นำเอา API ของ Service หลายเจ้ามาใช้เข้าด้วยกันผ่าน Service เดียวเพื่อกำหนดการทำงาน Automations ให้กับบริการที่เราเชื่อมอยู่ เหมือนกับแอป Shortcuts ใน iOS โดยจะยกตัวอย่างเช่น เวลาเชื่อมกับ Google Photos แล้วอัปรูปขึ้น IG ก็จะสั่งให้เซฟรูปลง Google Photos อัตโนมัติ เป็นต้น

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

  การใช้งานในแอปพลิเคชัน VeSync (Levoit Core 400S) และ Philips Air+ (Philips 1000i Series)

โดยถ้าเราเชื่อม Philips Air+ เข้ากับบริการ IFTTT (IF This Then That) และดาวน์โหลดแอป IFTTT มา ก็สามารถกำหนดคำสั่งอัตโนมัติต่าง ๆ กับเครื่องฟอกผ่าน IFTTT ได้ เช่นถ้าเซ็นเซอร์เครื่องฟอกตรวจเจอฝุ่นในอากาศสูงถึงระดับ Fair, Poor และ Very Poor ก็ให้เปิดเครื่องอัตโนมัติ และพอกลับมาที่ระดับปกติก็ตั้งให้ปิดอัตโนมัติ นอกจากนี้ก็ยังมีการกำหนดทำงานแบบอัตโนมัติอื่น ๆ อีกมากมาย ถือเป็นบริการเสริมที่เพิ่มความล้ำในการใช้ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ไปอีกระดับ

รุ่นไหนดีกว่า ?

สำหรับหน้าตาแอปพลิเคชัน ผู้เขียนชอบ UI ของฝั่ง เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S มากกว่า มันทั้งดูมินิมอลและเรียบง่ายเหมือนกับคอนเซ็ปต์ของอุปกรณ์ ทั้งยังมีระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant ให้ใช้งาน แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ค่อยได้ใช้ขนาดนั้น 

และสำหรับ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ต้องบอกว่าฟังก์ชันในแอป Philips Air+ นั้นค่อนข้างหลากหลายโดยเฉพาะผู้เขียนชอบที่การดีไซน์ Calendar มาใช้กับการกำหนดตารางทำงานของอุปกรณ์มันดูง่ายและชัดเจนกว่า อีกเรื่องก็คือระบบการแจ้งเตือนคุณภาพอากาศก็เป็นฟีเจอร์ที่ใช้ได้ ไม่รวมบริการ IFTTT (IF This Then That) ที่เราสามารถนำมาปรับแต่งให้เข้ากับการทำงานของ Philips 1000i Series ให้มีความทันสมัยมากขึ้นไปกว่าเดิม ดังนั้นคะแนนตรงนี้เราให้ เครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series

คะแนนด้านการควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน
 Levoit Core 400S  Philips 1000i Series
X

ทดสอบความเร็ว ในการฟอกอากาศของ Levoit Core 400S และ Philips 1000i Series

การทดสอบนี้ เป็นการทดสอบง่าย ๆ ที่ผู้เขียนจะเอาเครื่องฟอกทั้ง 2 รุ่นมาแข่งกันว่า ใครฟอกเร็วกว่ากัน แน่นอนว่าถึงแม้สเปกจะบอกอยู่แล้วว่า เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S นั้นเร็วกว่า แต่เราไม่เชื่อ ก็เลยอยากลอง

โดยการทดสอบนี้ เราได้เอาแป้งฝุ่นมาโปรยรอบ ๆ ให้มันฟุ้ง ๆ สักพักและก็เปิดเครื่องให้มันทำงาน ให้เซ็นเซอร์ตรวจเจอพร้อมกับฟอกอากาศไปด้วย ซึ่งที่หน้าจอ Display ของทั้งสองรุ่น ก็มีการประมวลอนุภาคของฝุ่นไว้อยู่แล้ว ก็เลยง่ายที่จะโชว์ให้ทุกคนเห็นว่าเครื่องฟอกรุ่นไหน ฟอกอากาศได้เร็วกว่ากัน

ทดลองความเร็วในการฟอกอากาศ
การฟอกของ Levoit Core 400S

ซึ่งผลลัพธ์ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คาด ทันทีที่ เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S เจอฝุ่นโดยรอบและแสดงผลออกมาที่ ค่า 114 μg/m3 จากนั้นในเวลาเพียงแค่ 5 - 6 วินาทีเท่านั้น ระดับของฝุ่นที่เซ็นเซอร์บอกไว้ก็หล่นลงมาเหลือเลขหลักหน่วยแล้ว ถือว่าประสิทธิภาพความเร็วนั้นของจริง

ทดลองความเร็วในการฟอกอากาศ
การฟอกของ Philips 1000i Series

ด้านเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ถึงแม้จะทำความเร็วได้ไม่เท่า แต่ก็ยังถือว่ามีการฟอกที่รวดเร็ว ตอนทดสอบรุ่นนี้เราโรยแป้งฝุ่นไปไม่เยอะ เซ็นเซอร์วัดค่าฝุ่นได้จาก 54 μg/m3 และลดลงมาสู่เลขหลักหน่วยในเวลา 27 วินาที

สรุปว่าประสิทธิภาพในการทำความเร็วฟอกอากาศ ก็เป็นไปตามที่สเปกระบุไว้ว่า เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S สามารถฟอกอากาศได้เร็วกว่าจริง ๆ

บทสรุปจาก Thaiware เทียบเครื่องฟอกอากาศขนาดกลาง Levoit Core 400S และ Philips 1000i Series

ข้อสรุป
 Levoit Core 400S  Philips 1000i Series
  • ราคาถูกกว่า
  • ทำความเร็วในการฟอกได้รวดเร็วและไกลและดี
  • ช่วยกำจัดกลิ่นได้ดีกว่า (Levoit ARC Formula™)
  • มี Display Lock 
  • รองรับการสั่งงานด้วยเสียง
  • ฟอกอากาศในอนุภาคที่เล็กได้ดี
  • มีการทำงานที่เบา และกินไฟน้อยกว่า
  • ฟังก์ชันในแอปมือถือตอบโจทย์กว่า

ทั้งหมดนี้ก็คือข้อสรุปของจุดเด่นที่แตกต่างกันใน 2 รุ่นโดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนมองว่า เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 400S อาจจะคุ้มค่ากว่าทั้งในแง่ของราคาและก็ประสิทธิภาพโดยรวม ส่วนเครื่องฟอกอากาศ Philips 1000i Series ก็ไม่ได้ถือว่าแย่ เพราะประสิทธิภาพในตัวมันเองก็ดีอยู่แล้ว 

อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน เมื่อลองอ่านรีวิวเปรียบเทียบนี้แล้วหวังว่าจะช่วยให้ทุกคนตัดสินใจได้ ถึงแม้ตอนนี้อากาศในข้างนอกจะเร็วร้ายแค่ไหน แต่อากาศบริสุทธิ์ในบ้านของเรา เราสร้างเองได้ถ้ามีเครื่องฟอกดี ๆ สักตัว

ลิงก์สั่งซื้อ Levoit Core 400S ทั้ง 3 ช่องทาง

 ลิงก์สั่งซื้อ Philips 1000i Series


ที่มา : levoit.com , www.philips.co.th

 
0 %E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7+Levoit%C2%A0Core+400S+VS+Philips+1000i%C2%A0Series%C2%A0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87+%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99+%3F
แชร์หน้าเว็บนี้ :
Keyword คำสำคัญ »
เขียนโดย
ระดับผู้ใช้ : Admin    Thaiware
งานเขียนคืออาหาร ปลายปากกา ก็คือปลายตะหลิว
 
 
 

รีวิวที่เกี่ยวข้อง

 


 

แสดงความคิดเห็น