วันนี้ทางไทยแวร์จะมารีวิว POMO Kids Watch นาฬิกาโทรศัพท์ อุปกรณ์เสริมที่จะมาช่วยดูแลและป้องกันเด็กหายได้เป็นอย่างดี มีรูปทรงน่ารักสีสันสดใส เหมาะสำหรับเด็กๆ มาพร้อมฟังก์ชั่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการโทรออกและรับสาย หรือรับส่งข้อความแจ้งเตือนฉุกเฉินต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนผ่านทางแอปพลิเคชันได้ นับเป็นอุปกรณ์ที่น่าสนใจ ไม่เพียงเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็กๆ แต่ยังเพิ่มความสบายใจให้กับผู้ปกครองได้อีกด้วย เรามาลองดูคุณสมบัติและวิธีการใช้งานของตัวอุปกรณ์กันได้เลย
คุณสมบัติของอุปกรณ์ POMO Kids Watch
คลิปวิดีโอ
รีวิว POMO Kids Watch
ตัวกล่องออกแบบได้น่ารัก ด้วยลายการ์ตูนที่มีสีสันสดใส ดึงดูดใจเด็กได้เป็นอย่างดี ใช้วัสดุที่ทำจากกระดาษแข็ง น้ำหนักเบา มีฝาพับที่สามารถเปิดปิดได้ง่าย
อุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่อง
ลักษณะและฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ
หน้าจอแสดงผลแบบ OLED ด้วยขนาดหน้าจอ 0.64 นิ้ว ให้แสงสีที่คมชัด และประหยัดพลังงาน กรอบหน้าจอฉาบปรอทสะท้อนแสงดูสวยงาม
ตัวอุปกรณ์ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เด็กสามารถสวมใส่ได้อย่างปลอดภัย ตัวสายเป็นยางซิลิโคนที่มีความนุ่ม และยืดหยุ่น น้ำหนักเบาสวมใส่ได้สบาย สามารถปรับขนาดของสายรัดนาฬิกาได้หลายระดับให้รับกับข้อมือของเด็ก
มีลำโพงที่ใช้ฟังเสียงสนทนาโทรศัพท์ และแจ้งเตือนต่างๆ อยู่บริเวณด้านบนของตัวเรือนนาฬิกา
มีรูไมโครโฟน ที่ใช้พูดคุยโทรศัพท์และบันทึกเสียงในการส่ง Voice Message อยู่บริเวณด้านล่างใต้สัญลักษณ์ GPS
มีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์ แบบไมโครซิม ที่บริเวณแถบด้านขวา ทำให้ใช้ฟังก์ชั่นของการระบุตำแหน่ง GPS รวมถึงการโทรออกและรับสายได้
ส่วนที่แถบด้านซ้าย มีช่องเสียบสาย micro USB สำหรับชาร์จพลังงาน ด้วยแบตเตอรี่ที่มีความจุ 400 mAh ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 24 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับการใช้งาน)
บริเวณใต้ตัวเรือนนาฬิกาจะมีเซนเซอร์ตรวจจับ เพื่อใช้แจ้งเตือนทันทีเมื่อนาฬิกาหล่นหรือถูกดึงออก ทำให้มั่นใจได้ว่านาฬิกายังคงสวมอยู่บนข้อมือของเด็กอยู่ตลอดเวลา ถัดลงมาจากตัวเซนเซอร์จะเป็นรหัส 15 หลักของตัวเครื่อง (IMEI) เพื่อใช้ลงทะเบียนเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน ในมือถือของผู้ปกครอง
คราวนี้มาดูในเรื่องของฟังก์ชั่นปุ่มกดกันบ้าง บนตัวอุปกรณ์นาฬิกาจะมีปุ่มฟังก์ชั่นหลักๆ อยู่ 5 ปุ่มด้วยกัน คือ ปุ่ม Power, ปุ่ม SOS, ปุ่มหมายเลข 1, 2 และ 3
ทางแถบด้านขวามือของหน้าปัดนาฬิกา จะมีปุ่มกดอยู่ 2 ปุ่ม คือ ปุ่ม Power และ ปุ่มหมายเลข 3
ทางแถบด้านข้างซ้ายมือของหน้าปัดนาฬิกา จะมีอยู่ 3 ปุ่มกด คือ
หากกด ปุ่มหมายเลข 1 สองครั้งติดกัน จะเป็นการเปิด/ปิด โหมดฟังก์ชั่นการไล่ยุง โดยปล่อยคลื่นความถี่ในระดับ 16 kHz ถึง 20 kHz เพื่อขับไล่ยุงไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเด็กๆ ส่วนปุ่มหมายเลข 2 เมื่อกดค้างระหว่างเปิดโหมด Voice Message จะเป็นการบันทึกและส่งข้อความแบบเสียง
การลงทะเบียนของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
การใช้งานของ POMO Watch Kids นั้นจะต้องใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน จึงจะสามารถใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ของนาฬิกาได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจะต้องทำการติดตั้ง แอปฯ POMO Kids ลงบนสมาร์ทโฟนให้เรียบร้อยซะก่อน
ในการเข้าใช้งานครั้งแรกจะต้องทำการลงทะเบียนเพื่อสร้างชื่อบัญชีและรหัสผ่านของผู้ใช้งาน เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยให้กดปุ่ม Login เพื่อไปยังขั้นตอนถัดไป
หลังจาก Login เข้ามาแล้ว จะพบกับหน้ากรอกข้อมูลของเด็ก โดยจะต้องกรอกข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วนทั้ง ชื่อ, น้ำหนัก, ส่วนสูง, เพศ, วันเดือนปีเกิด, เบอร์โทรศัพท์ และยังสามารถใส่รูปภาพประกอบได้อีกด้วย
เมื่อใส่ข้อมูลของเด็กเรียบร้อยแล้ว ก็มากรอกข้อมูลของตัวอุปกรณ์กันบ้าง โดยที่ช่อง Watch Number: ให้ใส่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของซิมการ์ดที่ใช้กับตัวนาฬิกา ส่วนช่อง My number: ให้ใส่เบอร์โทรศัพท์ของเครื่องมือถือที่ลงแอปพลิเคชัน ถัดมาในส่วนของ IMEI: คือการกรอกรหัส 15 หลัก ของตัวเครื่องนาฬิกา (สามารถดูได้จากบริเวณใต้ตัวเรือนนาฬิกา) เมื่อกรอกเรียบร้อยแล้ว ให้กด Get Captcha เพื่อนำรหัส 4 ตัว ที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอนาฬิกา มาใส่ลงไป
ในช่อง Guardian สามารถตั้งสถานะของผู้ปกครอง พร้อมตั้งรูปไอคอนประกอบ เพื่อให้เด็กๆ สามารถจดจำได้ง่าย ซึ่งไอคอนนี้่จะใช้เป็นตัวเลือกในการส่ง Voice Message ของนาฬิกาได้ เมื่อใส่รายละเอียดครบถ้วนแล้ว ให้กดปุ่ม Save จากนั้นทั้งสมาร์ทโฟนและนาฬิกา POMO Watch Kids ก็จะเริ่มทำการเชื่อมต่อกันทันที
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนลงทะเบียนแล้ว จะมีหน้าที่สามารถใส่เบอร์โทรศัพท์ของคนในครอบครัว สามารถใส่ได้สูงสุด 8 เบอร์ โดยเบอร์ที่อยู่ใน 3 ลำดับแรก จะเป็นเบอร์ที่สำคัญ ควรเป็นเบอร์ของพ่อ,แม่ และบุคคลที่ใกล้ชิด เพราะนาฬิกาจะสามารถกดโทรออกและแจ้งเตือนฉุกเฉินได้เฉพาะกับเบอร์ที่อยู่ใน 3 ลำดับแรกเท่านั้น ส่วนเบอร์โทรศัพท์ลำดับที่ 4-8 นาฬิกาจะสามารถใช้รับสายได้เพียงอย่างเดียว
เมื่อกรอกเบอร์โทรศัพท์ของคนในครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ให้กดปุ่ม Save จากนั้นก็เริ่มใช้งานของแอปพลิเคชันกันได้เลย
การใช้งานของแอปพลิเคชัน
หลังจากที่ลงทะเบียนฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ให้นาฬิกาเชื่อมกันกับแอปฯ ในมือถือแล้ว ลองมาดูการใช้งานของแต่ละฟังก์ชั่นกันดีกว่า
เมื่อเข้าแอปพลิเคชันมา จะพบกับหน้าแผนที่ที่ระบุตำแหน่งที่อยู่ของนาฬิกา บริเวณด้านซ้ายบนจะแสดงแถบพลังงานที่เหลือพร้อมกับรายละเอียดที่อยู่ ส่วนแถบด้านขวาจะมีแถบ Option และโหมดต่างๆ ให้เลือกเปิด/ปิด การใช้งานได้
เมื่อกดแถบ Option ที่มุมขวาบน จะเข้าสู่หน้า General Setting ที่ใช้ตั้งค่าการทำงานทั่วไป เช่น เพิ่มเบอร์โทรของคนในครอบครัว, ดูประวัติของตำแหน่งพื้นที่, ตั้งโหมดประหยัดพลังงาน และการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย
การกำหนดพื้นที่ปลอดภัย (Safety area) ถือเป็นฟีเจอร์เด็ดเลยทีเดียว เราสามารถตั้งขอบเขตของพื้นที่ปลอดภัยที่เด็กของเราควรจะอยู่ โดยใช้มือลากขอบเขตของพื้นที่ได้อย่างอิสระ ตัวอย่างเช่นในรูปลองวาดเป็นวงกลมในเขตบางรัก
เมื่อลากกำหนดพื้นที่เรียบร้อยแล้วกดปุ่ม Ok ในหน้าแผนที่ก็จะมีพื้นที่วงกลมกำหนดตามแบบที่เราวาดเอาไว้ และเมื่อเด็กหลุดออกไปจากนอกพื้นที่ที่กำหนด นาฬิกาจะส่งข้อความเตือนเข้ามาหาเราทันที
ฟีเจอร์ที่น่าสนอีกตัวก็คือ การส่งข้อความเสียง หรือ Voice Message เข้าไปที่ตัวนาฬิกานั่นเอง ใช้งานโดยกดที่ไอคอน รูปไมโครโฟน จากนั้น กด ปุ่ม Press and speak ที่ด้านล่างค้างไว้ ให้ปรากฏสัญลักษณ์ไมโครโฟนขึ้นมาแล้วสามารถพูดได้เลยทันที และเมื่อปล่อยมือ ข้อความก็จะถูกส่งไปถึงนาฬิกาทันที
สรุปการใช้งาน POMO Kids Watch
หลังจากได้ทดลองใช้งานแล้ว POMO Kids Watch นับว่าเป็นนาฬิกาข้อมือสำหรับเด็กที่มีความสามารถเกินตัวเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะใช้เป็นโทรศัพท์ที่สื่อสารกันได้แล้ว ยังมีระบบติดตามพิกัดที่อยู่และการแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินต่างๆ ไปยังผู้ปกครองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ มีฟังก์ชั่นมากมายที่ช่วยดูแลและเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็กได้จริง ทำให้ผู้ปกครองทุกคนสบายใจได้เลยว่า เด็กๆ จะปลอดภัยและไม่หายไปไหนอย่างแน่นอน
ข้อดี
ข้อสังเกต
|
ความคิดเห็นที่ 1
12 มกราคม 2559 16:10:13
|
||
มีรีวิวดีดีแล้วต้องมี ราคาเด็ดๆ เชิญชม http://www.topvalue.com/
|
||