มีฉบับคลิปด้วยนะ! ดูกันได้เพลินๆ
เป็นอีกหนึ่งคู่มวยในวงการเกมส์ที่มีข้อพิพาทมาอย่างยาวนาน อย่าง "PES" (Pro Evolution Soccer) หรือวินนิ่ง ชื่อที่คุ้นชินในหมู่เกมเมอร์แข้งทองชาวไทย และ "FIFA" เกมส์ของ EA ค่ายพัฒนา/จััดจำหน่ายเลื่องชื่อ ที่ไม่ว่าทั้งสองไตเติ้ลจะออกมาแล้วสักกี่ภาคต่อกี่ภาค ก็จะมักจะถูกนำมาเปรียบเทียบและหาคำตอบแบบฟันธงไม่ได้สักครั้งว่าผลงานของใคร “เจ๋งกว่ากัน?”
ด้วยความชุลมุลวุ่นวายจิตใจเกมเมอร์นี้เอง ผู้เขียนอยากที่จะช่วยชี้เป้าให้ตรงจุด ว่าเกมส์ไหน "มีฟีเจอร์ดี ฟังก์ชั่นเด่นที่เหมาะกับใคร" ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!
PES 2018 | FIFA 18 | |
วันวางจำหน่าย | 12 กันยายน 2560 | 29 กันยายน 2560 |
ราคาเริ่มต้น | PC: 1,700.- Console (PlayStation 4, Xbox One) : 1,790.- | PC: 1690.- Console (PlayStation 4, Xbox One) : 1,890.- |
แพลตฟอร์มที่ลง | PC, Xbox 360, Xbox One, PS3, PS4 | PC, Xbox 360, Xbox One, PS3, PS4, Nintendo Switch |
ผู้เขียนค่อนข้างรู้สึกแปลกใจกับเกมส์ FIFA 18 ที่ลงให้กับเครื่องเล่น Nintendo Switch ด้วย เจ๋งไม่เบาเลย! เพราะเครื่องเล่นที่ว่ามา สามารถพกพาไปนอกสถานที่ได้ด้วย ซึ่งก็ไม่แน่ว่าโหมดผู้เล่นสองคนอาจจะเล่นบนเครื่องเดียวกันได้เลย
ภาพจากแชนแนลยูทูบ IGN
PES 2018: จุดเด่นของเกมส์ซีรีย์นี้ ที่ยังคงส่งต่อถึงภาคใหม่ได้เสมอมา คือ ระบบการเล่นที่มีการควบคุมอันแสนกระชับ รวดเร็ว ลื่นไหล โดยในภาค 2018 นี้เอง Konami ก็ได้ปรับปรุงในส่วนที่ดีอยู่แล้ว ให้ดียิ่งขึ้น จังหวะการส่งบอลก็ได้ถูกปรับแต่งให้ควบคุมได้ดียิ่งขึ้นและกระชับมากขึ้น โดยรูปแบบการส่งบอลที่เห็นการพัฒนาได้ชัดเจน คือ การส่งแบบทะลุช่อง (through pass) และการส่งแบบลูกลอย ส่วนทางด้าน A.I ของนักเตะนั้น ก็มีการเลือกพื้นที่เพื่อต่อบอลกับเราได้ดีขึ้น อีกทั้งเหล่าบรรดาลูกสูตรทั้งหลาย ที่ผู้เล่นเก่าๆ คุ้นชินกันก็ยังสามารถมาใช้ได้อยู่เหมือนเดิม หรือโดยสรุปคือ PES 2018 ไม่ได้ปรับเปลี่ยนการเล่นมากมายนัก หากแต่เป็นการปรับปรุงให้สิ่งที่ดีอยู่แล้ว ดียิ่งขึ้นเสียมากกว่าครับ
สรุปเกมส์เพลย์ของ PES 2018 เหมาะกับใคร?: ผู้เล่นหน้าเก่าๆ ของซีรีย์นี้ เพราะในภาคดังกล่าวยังคงมีระบบ/การบังคับที่ไม่ได้แตกต่างจากภาคก่อนหน้านี้มากนักหากแต่เป็นการพัฒนาให้ดีขึ้นมาประมาณหนึ่ง หรือสำหรับผู้เล่นที่ไม่เคยได้สัมผัสเกมส์ฟุตบอลมาก่อน PES จะค่อนข้างเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะการเล่นจะค่อนข้างกระชับ รวดเร็ว
ภาพจากแชนแนลยูทูบ IGN
FIFA18: แม้ในหลายภาคก่อนหน้านี้ FIFA จะอิงคอนเซปต์การเล่นมาจาก PES (สนุก กระชับ รวดเร็ว) แต่ในภายหลังมาที่นับตั้งแต่ภาค 13 เป็นต้นไป ตัวเกมส์ก็ได้มีจุดยืนเป็นของตนเองที่ชัดเจน นั่นคือการเน้นไปที่ความ "สมจริงในการเล่น" ที่มีไดนามิกหรือการไล่น้ำหนักจากน้อยไปมาก เป็นกรอบคอยคลุมทุกอิริยาบถของนักเตะ ซึ่งผู้เล่นเอง จะสามารถรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของบอลอย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ตัวเกมส์จึงไม่มีการเล่นที่ตายตัว สถานการณ์ต่างๆ สามารถพลิกแพลงได้เสมอ ความสนุกของ FIFA จึงอยู่ในรูปแบบที่ "ท้าทาย สมจริง และลื่นไหล" ซึ่งในภาค 18 นี้เอง ตัวเกมส์ยังได้ลดความสมจริงของตนลงมาบ้าง เพื่อเป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งหลาย ทัั้งการเปลี่ยนความเร็วของเกมส์ให้ช้าลง ลูกบอลจะเหมือนถูกดูดเข้าหาตัวผู้เล่นมากขึ้น (คล้ายๆ PES) ฯลฯ
แล้วสรุป FIFA18 เหมาะกับใคร?: ผู้ที่ต้องการความสนุกในรูปแบบที่ท้าทาย หรืออยากได้อรรถรสของกีฬาฟุตบอลที่ใกล้เคียงกีฬาของจริง เพราะตัวเกมส์ค่อนข้างสมจริง ไม่ว่าจะด้านฟิสิกส์ ที่สามารถรู้สึกถึงน้ำหนักของบอลได้จากทุกกิริยา (ส่งบอล เลี้ยงลูก หรือแม้แต่การยิง), แบบแผนที่จัดไว้ ที่สามารถพลิกแพลงได้ตลอดเวลา
ภาพจากแชนแนลยูทูบ Candyland
PES 2018: ในภาคนี้ ตัวเกมส์ได้นำเอนจินกราฟฟิกอย่าง Fox Engine ที่ก่อนหน้านี้ ได้ถูกนำไปสรรค์สร้างงานภาพสุดอลังการในบทสุดท้ายของซีรีย์ลุงงูมาแล้วอย่าง Metal Gear Solid V: The Phantom Pain โดยส่วนของกราฟฟิกในภาคนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าพัฒนาขึ้น คือ สีของตัวเกมส์ที่ดูอิ่มตัวมากขึ้น (เป็นเท่าตัว), เอฟเฟคลบรอยหยัก (Anti-Aliasing) ที่ทำดีขึ้น พื้นผิวของเกมส์ที่ดูมีรายละเอียดมากขึ้น และที่ต้องชื่นชมมากที่สุดในส่วนนี้ คือข้างสนามและเหล่าผู้ชมที่ดูมีชีวิตชีวากว่าที่แล้วๆ มา
แต่กระนั้น ข้อเสียในส่วนนี้ก็มีเช่นเดียวกันครับ ทั้งด้านแสงเงาที่กลับมีการไล่ลำดับแสงที่น้อยลง ทำให้ตัวละครมีผิวเหมือนแก้ว พลาสติก หรือวัตถุอะไรก็ตามแต่ที่มีสามารถสะท้อนแสงได้สูง และที่น่าตกใจคือความต้องการขั้นต่ำของเกมส์นี้ในฉบับ PC นั้น ค่อนข้างโหดร้ายครับ... เพราะตัวเกมส์ต้องการ CPU ขั้นต่ำที่ i5 เจน 3 ขึ้นไป, RAM 8 GB และการ์ดจอที่เรียก NVIDIA GTX 650/AMD Radeon HD 7750
ภาพจากแชนแนลยูทูบ Candyland
FIFA18: Frostbite คือเอนจินกราฟฟิกที่ทาง EA ได้เริ่มพัฒนาและนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2008 โดบนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา งานภาพในเกือบจะทุกผลงานของพวกเขา ก็ดูสวยเกินยุคมาจนถึงปัจจุบัน (Battlefield 3 เป็นตัวอย่าง) ซึ่งซีรีย์ FIFA นี้ ก็ได้ใช้เอนจินกราฟฟิกดังกล่าวในเวอร์ชันใหม่ล่าสุดอย่าง Frostbite 3 มาตั้งแต่ภาคที่ 17 ครับ และในภาคล่าสุดนี้ ตัวเกมส์ได้ถูก "ยกระดับทุกภาคส่วนของกราฟฟิกให้ดียิ่งขึ้นมาประมาณหนึ่ง" ไล่ตั้งแต่ การเคลื่อนไหวของตัวละคร, แสงเงา, พื้นผิว ฯลฯ แถมตัวเกมส์ในฉบับ PC ก็เรียกสเปคหรือความต้องการขั้นต่ำแบบน่ารักๆ เพียง CPU แค่ i3 -2100 ขึ้นไป, RAM 8GB และการ์ดจอเพียง Nvidia GeForce GTX 460 หรือจะ AMD Radeon R7 260 ก็ได้
บทสรุปด้านกราฟฟิกนั้นขอยกให้ FIFA18 ไปเลย!: หากวัดความเป็นเกมส์ภาคใหม่แล้วละก็ กราฟฟิกของผู้เขียนขอใช้มติเป็นเอกฉันท์ว่า FIFA18 ดีกว่าครับ (อย่าโกรธกันละ) ไม่ว่าจะทั้งความสวยงามที่เห็นด้วยตา หรือจะด้านการกินทรัพยากรของเครื่องที่ PES 2018 มีความต้องการขั้นต่ำที่น่ากลัวใช้ได้ (CPU เรียก i5 เจน 3 เป็นขั้นต่ำ! RAM 8 GB แถมการ์ดจออย่างน้อยๆ ต้อง NVIDIA GTX 650/AMD Radeon HD 7750! พระเจ้า!) แต่ถึงจะบอกอย่างนั้น โมเดลและหน้าของตัวละครของทั้งสองเกมส์ก็ดูจะเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคลแล้วละครับ ข้อนี้คงต้องตัดสินกันเองแล้วละ :)
PES 2018: แน่นอนละครับว่า Master League โหมดการเล่นชูโรงตลอดมาของ PES ย่อมต้องได้รับการปรับปรุง พัฒนาให้ดีขึ้นเป็นเรื่องปกติ โดยในโหมดการเล่นดังกล่าวของภาคล่าสุดนี้ ฟีเจอร์ที่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงชัดเจน คือ การจำลองในรูปแบบผู้จัดการทีม ที่จะมีฟังก์ชั่นต่างๆ ให้ผู้เล่นได้ปรับแต่งได้เยอะขึ้น อีกทั้งยังได้เพิ่มสีสันด้วยการใส่คัทซีนต่างๆ มากมายในหลายจังหวะการเล่นครับ ไม่ว่าจะการให้นักเตะของเราปล่อยบทสัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวก่อนขึ้นเตะ, ดูปฎิกิริยาของนักเตะในทีมของเราก่อนการแข่งขันในห้องพัก ฯลฯ
นอกจากนี้ตัวเกมส์ยังได้นำเสนอโหมด Challenge ที่จะออกไปในทางการเล่นรูปแบบแคชชวล (Casual) จบในรอบ เหมาะสำหรับไว้เล่นแข่งกับเพื่อน ฆ่าเวลา ไม่ก็ทดสอบความชำนาญในการเล่นครับ และโหมดออนไลน์ทั้งหลายอย่าง MyClub ก็ดูจะจัดการปัญหาอินเทอร์เน็ตได้ดีขึ้นกว่าภาคก่อนอยู่บ้าง แต่ถ้าอยากจะกันเหนียวจริงๆ ตัวเกมส์ก็มีให้เล่นกันผ่านวง Lan หรือจะเล่นผ่านเครื่องเดียวกันเลยก็ได้อยู่นะ
แล้วสรุปโหมดการเล่นของ PES 2018 เหมาะกับใคร?: ซีรีย์ PES ยังคงทำให้ผู้เล่นขลุกอยู่กับเกมส์ได้เป็นวันในโหมด Master League อยู่เช่นเดิม และเพิ่มเติมคือพลังในการดูดกลืนในโหมดนี้ยิ่งมีมากขึ้นด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ครับ และแม้ตัวเกมส์จะนำเสนอโหมดการเล่นออนไลน์ใหม่ๆ มาให้ แต่ผู้เขียนว่า ยังไงซะ PES ก็เหมาะจะเป็นเกมส์ที่เล่นคนเดียวหรือในวงเพื่อน
FIFA18: The Journey หรือ "โหมดเนื้อเรื่อง" ที่ได้ถูกเปิดตัวในภาค 17 และได้รับกระแสตอบรับพร้อมดึงดูดฐานแฟนหน้าใหม่ๆ ได้ดีเกินคาด ก็ได้กลับมาในภาคล่าสุดนี้ โดยผู้เล่นยังจะได้สวมบทบาทเป็นนักฟุตบอลหน้าใหม่ไฟแรงอย่าง Alex Hunter เช่นเดิม เพิ่มเติมคือต้องพุ่งไปจุดสุดยอดของวงการฟุตบอลให้จงได้ครับ ซึ่งในโหมดการเล่นนี้ ผู้เล่นจะได้พบปะกับนักเตะชื่อดังทักษะเยี่ยมทั้งหลาย พร้อมคัทซีนและตัวเลือกในการดำเนินเนื้อเรื่องตลอดการเล่น อีกทั้งยังสามารถเลือกเข้าเล่นให้กับทีมฟุตบอลที่ตนชื่นชอบได้อีกด้วย
นอกจากนี้ Career Mode หรือโหมดเส้นทางอาชีพ ก็ได้เปลี่ยนแปลงระบบต่อรอง-เจรจาซื้อตัวนักเตะให้มีเชิงลึกของข้อสัญญาแต่สามารถเข้าใจได้ง่าย อีกทั้งยังมีภาพคัทซีนในขณะที่ต่อรองกับนักเตะคนนั้นๆ อีกด้วย และปิดท้ายด้วยโหมดออนไลน์ทั้งหลายอย่าง Ultimate Team ก็ยังคงจัดการความลื่นไหลของสัญญาณอินเทอร์เน็ตในการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดิมครับ
แล้วสรุปโหมดการเล่นของ FIFA18 เหมาะกับใคร?: ในภาคหลังๆ FIFA เริ่มจะสร้างจุดเปลี่ยนด้วยการมีโหมดเนื้อเรื่องในเกมส์ฟุตบอลแบบจริงจังอย่าง The Journey ที่ก็ดึงดูดให้เข้าถึงได้ในระดับหนึ่ง และโหมดออนไลน์เอง ที่เป็นจุดแข็งของซีรีย์นี้มาแต่ไหนแต่ไรก็ดูจะยังไม่ลดคุณภาพของตนเองลง ดังนั้นในภาคนี้ ผู้เขียนว่าเหมาะกับการตามปัจเจกบุคคลครับ
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น ซึ่งแม้บทความนี้จะมีเนื้อหาไปในทางชี้นำหรือชักจูง แต่ผู้เขียนเชื่อว่าทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ผู้ตัดสินมีเพียงผู้เล่นเท่านั้นครับ ว่า "เกมส์ไหนใช่สำหรับคุณ?"
|
ทำไมไม่เรียกแมว! รักหนัง รักเกม ร๊ากกทุกคนนน ~ <3 |