Game: The Evil Within 2
Genre: Survival - Horror
Platform: PlayStation 4, Xbox One, PC
Developer: Tango Gameworks
Publisher: Bethesda Softworks
Release Date: 13 October 2017
ข้อดี
| ข้อสังเกต
|
เป็นเรื่องยากยิ่งนัก ที่หนึ่งซีรีย์เกมส์ จะสามารถรักษา "จุดยืน" ในผลงานของตนได้จนตลอดรอดฝั่ง เพราะด้วยกระแสโลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปไม่หยุดนิ่งพร้อมกลุ่มตลาดผู้เล่นที่เป็นวงกว้างมากขึ้น ซึ่งก็ดูจะเป็นการยากนั่นแหละครับ ที่ซีรีย์ทั้งหลายจะดำรงไว้ซึ่งตัวตนดั่งแรกเริ่มไร้การเพิ่มเสริมใดๆ หรือในกรณีเลวร้ายที่สุดคือ "เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม"
ชินจิ มิคามิ ผู้ให้กำเนิดซีรีย์ Resident Evil และ The Evil Within
แต่แล้วในปี 2014 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ชินจิ มิคามิ (Shinji Mikami) อดีตผู้ให้กำเนิดซีรีย์ Resident Evil ได้ปลุกชีพเกมส์แนวสยองขวัญ - เอาตัวรอด (Survival - Horror) นี้ขึ้นมาอีกครั้งในผลงานใหม่ของเขาอย่าง "The Evil Within" ที่ผสมผสานแนวเกมส์ที่ตนถนัดมือนี้เข้ากับดีไซน์ของเกมส์ร่วมสมัยต่างๆ ได้อย่างลงตัว (มุมมกล้อง ระบบอัพเกรด ฯลฯ) พร้อมปมที่น่าขยายและเนื้อเรื่องอันน่าติดตาม
"การจัดฉากการตายเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับพวกเรา"
และตอนนี้ "The Evil Within 2" ก็พร้อมแล้วที่จะสานต่อความสยองขวัญและเรื่องราวที่ยังค้างคา แต่ภาพรวมของเกมส์ทั้งหมดจะเป็นเช่นไร!? เชิญตามมาพิสูจน์ได้ในบทความรีวิวนี้เลยครับผม!
ภาพหลอนในหัวของเซบาสเตียนในวันเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ลูกสาวของเขาได้จากไปในครานั้น
ผู้เล่นจะยังคงได้สวมบทบาทเป็น เซบาสเตียน คาสเตลลานอส (Sebastian Castellanos) ตัวเอกจากเกมส์ในภาคแรก ที่คราวนี้เนื้อเรื่อง จะเป็นการตามติดและใกล้ชิดเรื่องราวส่วนตัวของเขาอันเป็นอดีตที่ฝังอยู่ในใจตลอดมาอย่างเถรตรง พร้อมปมใหม่ๆ ที่พ่วงมาพอประปราย โดยตัวเกมส์จะบอกเล่าเรื่องราว 3 ปีให้หลังของเหตุการณ์ฝันร้ายที่เกิดขึ้นใน โรงพยาบาลจิตเวชบีคอน (Beacon Mental Hospital) ที่เซบาสเตียน ได้ถูกเหตุการณ์ในครานั้น ตามหลอกหลอนจิตใจ ผนวกกับการหายตัวไปของภรรยา และการจากไปของ "ลิลลี่" (Lily Castellanos) ลูกสาวสุดที่รักของเขาจากเหตุการณ์เพลิงไหม้บ้านในอดีต
"ลิลลี่ยังไม่ตาย และเธออยู่กับเรา"
แต่แล้ววันหนึ่ง จูลิ คิดแมน (Juli Kidman) อดีตคู่หูของเซบาสเตียนในภาคแรก (ที่ตัวตนแท้จริงของเธอคือสายลับจากองค์กร Mobius ที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อควบคุมให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลจิตเวชบีคอน เมื่อ 3 ปีก่อน สำเร็จเป็นไปตามแผนให้มากที่สุด) ได้มาแจ้งข่าวอันน่าเหลือเชื่อกับทางเซบาสเตียนว่า "ลิลลี่ยังมีชีวิตอยู่" และมีเพียงเขาเท่านั้น ที่จะช่วยเธอกลับมาได้
ภาพสไลด์ที่หาเก็บได้ในระหว่างการเล่น โดยสามารถนำมาเปิดที่เซฟรูมของเกมส์เพื่อซึมซับเรื่องราวเสริมของเกมส์
ในภาคนี้ ผู้เล่นจะสามารถเข้าถึง รู้สึก และซึมซับไปกับเรื่องราวของเกมส์ได้มากกว่าในภาคแรก (ที่เป็นเหตุการณ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ก่อนที่จะค่อยๆ คลายปมในภายหลัง) ด้วยการนำเสนอเรื่องราวแบบปณิธาณส่วนบุคคล (Personal Goal) ที่ตัวเอกของเกมส์ มีความต้องการดั่งมนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่อยากจะแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาด หาใช่การกวาดล้างองค์กรใหญ่ยักษ์เพื่อทวงคืนความสงบสุขของโลกกลับคืนมา โดยนอกจากนี้ ตลอดการเล่น ตัวเกมส์จะคอยหย่อนสารต่างๆ ที่เป็นข้อมูลเสริมของเนื้อเรื่องให้ผู้เล่นได้ตามอ่านเพื่อเติมเต็มเรื่องราวหลักให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เลือกใช้อาวุธที่เหมาะสมกับศัตรู เพื่อสร้างความได้เปรียบในการต่อสู้สูงที่สุด!
ไม่เพียงแต่เนื้อเรื่อง ที่จับต้องและเข้าถึงได้มากขึ้น แต่ยังรวมไปถึงระบบเกมส์เพลย์ ที่ได้ถูกพัฒนาและปรับปรุง ให้มีความสนุกและเพลิดเพลินมากกว่าภาคแรกเป็นเท่าตัว แต่กระนั้น ความกดดันที่ภาคแรกทำไว้ได้ดีก็ยังคงมีอย่างจัดเต็มเช่นเดิม และต้องขอบคุณที่ตัวเกมส์นำ "กับดัก" อันแสนน่ารำคาญที่เคยมีในภาคแรกออกไปจนหมด และเน้นหนักไปที่ส่วนอื่นของเกมส์แทน ทั้งปัจจัยอันมีค่าอย่าง "กระสุน" ที่รังเพลิงและความจุสูงสุดที่เก็บสะสมไว้ได้ (Max Capacity) จะอยู่ในปริมาณที่พอดิบพอดีต่อการรับมือศัตรูหนึ่งกลุ่ม ไม่ได้มีมากพอให้ใช้แบบมือเติบ ทำให้กระสุนทุกนัด ควรจะหวังผลให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้เหลือนัดต่อไปไว้รับมือต่อ และ "บรรดาศัตรู" ในภาคนี้ พวกมันก็ยังคงอึดถึกทนหากไม่จัดการจุดตาย และซ้ำยังมีการโจมตีที่หนักหน่วงเช่นเดิม เพิ่มเติมคือมีการเข้าถึงและจังหวะการโจมตีต่อเนื่องที่เร็วขึ้น ผู้เล่นจึงต้องรู้จักอาวุธในมือแต่ละชิ้นของตนให้ดี และเรียนรู้ที่จะใช้มันกับศัตรูหรือสถานการณ์ที่เหมาะสม
แต่ตัวเกมส์คงจะไม่นิยามตนเองว่าเป็นเกมส์แนว Survival - Horror หากไร้ซึ่ง "ทางเลือกในการรับมือศัตรู" โดยนอกจากเหล่าอาวุธที่ต้องใช้กระสุนอันมีให้ใช้อย่างพอประมาณแล้วนั้น ผู้เล่นยังเลือกที่จะใช้การลอบเร้นเพื่อหลบหนีหรือลอบสังหาร (Stealth Kill) ได้ ซึ่งในภาคนี้ ระบะบการลอบเร้น ได้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมจนมีภาษีที่น่าใช้งานพอๆ กับการต่อสู้รูปแบบปกติ ทั้งไอคอนที่แสดงผลให้ผู้เล่นได้ทราบวิสัยทัศน์ของศัตรูว่าพบเจอตัวเราหรือไม่, การอัพเกรดตัวละคร (จะขยายต่ออีกทีในย่อหน้าอื่น) ที่มีทักษะส่งเสริมการลอบเร้นโดยตรง และปิดท้ายสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลอบเร้น เป็นต้น
แต่ในส่วนของการลอบเร้นทางฝั่งศัตรูก็ได้ถูกออกแบบพฤติกรรมการลาดตระเวนที่คาดเดาเส้นทางการเดินได้ยากแถมวิสัยทัศน์การมองเห็นนั้น ก็ดีและสมเหตุสมผลกว่าภาคแรกหรือหลายๆ เกมส์ ฉะนั้น ไม่ว่าผู้เล่นจะใช้วิธีการรับมือกับศัตรูรูปแบบไหนก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว "การตัดสินใจอย่างรอบคอบคืออาวุธที่ดีที่สุดในเกมส์"
ลูกซองยาว ปืนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงในการตามหา!
มาถึงส่วนที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดในภาคนี้ นั่นก็คือฉากพื้นที่ภายในเกมส์ ที่กลายเป็นพื้นที่กว้างในรูปแบบ "กึ่งๆ Open World" โดยในหลาย Chapter ของการเล่น ตัวเกมส์จะปล่อยให้ผู้เล่นได้ออกสำรวจอาคารบ้านเรือนและตรอกซอกซอยต่างๆ ในฉากพื้นที่ เพื่อให้เราเสาะหาหลากหลายสรรพสิ่งที่จะทำให้การเอาตัวรอดและรับมือกับอุปสรรคของเกมส์ง่ายขึ้น อาทิ การหาอาวุธรูปแบบใหม่, ค่าปัจจัยในการพัฒนาตัวละครให้เก่งขึ้น เป็นต้น ซึ่งหลายชิ้นนั้นก็ต้องบอกเลยละว่า "คุ้มค่าความเสี่ยงมาก"
แต่การเดินทางไปมาในแต่ละเขตพื้นที่อย่างกว้างขวางนี้ ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยหายห่วง เพราะหลากหลายพื้นที่ของเกมส์ โดยเฉพาะบริเวณที่มีสิ่งของเอื้ออำนวยผู้เล่นนั้น มักจะเต็มไปด้วยกลุ่มกองศัตรูหรือหนึ่งเดียวที่น่าเกรงขาม เฝ้าระวังไม่ให้เราได้สิ่งเหล่านั้นไปได้ง่ายๆ
การอัพเกรดตัวละคร ระบบร่วมสมัยที่น้อยเกมส์จะไม่มี
"การคราฟท์และอัพเกรด" ระบบเกมส์ร่วมสมัยที่ยังคงกลับมาในภาคนี้ได้ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น เห็นผลต่าง และแยกประเภทการส่งเสริมทักษะให้กับตัวผู้เล่นอย่างชัดเจน โดยในภาคนี้ การอัพเกรดทักษะของตัวละครจะยังคงใช้ค่าปัจจัยอย่าง Green Gel อยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมเข้ามาคือ Red Gel อีกหนึ่งค่าปัจจัยในการพัฒนาตัวละคร ที่ไว้ใช้ในการปลดล็อกเพดานความสามารถผู้เล่น ให้เลือกอัพเกรดทักษะขั้นสูงของแต่ละหมวดหมู่ได้ เช่น หมวดหมู่การลอบเร้น (Stealth) จะมีทักษะระดับสูงเป็นท่าพุ่งเข้าไปลอบสังหารได้อย่างรวดเร็ว, หมวดหมู่การฟื้นฟูพลังชีวิต (Recovery) ที่จะมีทักษะระดับสูงเป็นการใช้ไอเทมเพิ่มเลือดอัตโนมัติ หากการโจมตีในครั้งนั้นทำให้ตัวละครเราตาย เป็นต้น ซึ่งผู้เล่นจะต้อง "ชั่งน่้ำหนักและตัดสินใจ" ว่าจะอยากเด่นชัดในทักษะใดเป็นหลัก หรือทักษะรูปแบบไหนที่จะขับส่งกับแนวทางการเล่นของเราได้ดีมากที่สุด
ทางฝั่งของระบบการคราฟท์นั้น ก็ยังคงอยู่ในนิยามของการ เอาตัวรอดได้ดีไม่แพ้ระบบการต่อสู้ของเกมส์ โดยในภาคนี้ กระสุนทุกรูปแบบ (ยกเว้น Harpoon Bolt หรือลูกศรแบบฉมวก) จะสามารถคราฟท์มาใช้งานได้ด้วยการใช้ดินปืน ที่มีให้เก็บตลอดการเล่น แต่กระสุนแต่ละประเภทจะใช้ปริมาณดินปืนในสร้างไม่เท่ากัน และลูกศรหน้าไม้ อาวุธสุดทรงพลังที่สามารถสร้างสถานะผิดปกติให้กับศัตรูหลายหลาย ที่ถึงแม้แต่ละรูปแบบจะใช้วัตถุดิบในการคราฟท์แตกต่างกันออกไป แต่ "ดินปืน" ก็ยังคงเป็นวัตถุดิบหลักในการสร้างอยู่ดี ทำให้ผู้เล่นต้องเลือกว่าจะแปรสภาพกระสุนรูปแบบใดมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม
ประสิทธิภาพด้านการแสดงผลของ The Evil Within 2 เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ทำออกมาได้ดี ทั้งในแง่ของการเป็นผลงานภาคต่อที่พัฒนาขึ้น และแง่ของการเป็นเกมส์ล่าสุดในตลาดที่มีประสิทธิภาพด้านการแสดงผลทั้งหลายที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับเกมส์ฟอร์มยักษ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ได้อยู่บ้าง (Battlefield 1, The Witcher 3 ฯลฯ) โดยตัวเกมส์ได้ใช้ STEM Engine เอนจินกราฟฟิกที่ปรับแต่งมาจาก idTech 6 ขุมพลังที่ก่อร่างสร้างงานภาพให้กับ DOOM ฉบับปี 2016 ที่ทำให้เกมส์ดังกล่าวมีจุดเด่นเป็นแสงเงาแสนคมไล่น้ำหนักได้ดี และเอฟเฟคโมชั่นเบลอ (Motion Blur) ที่นวลตา เป็นต้น
ฉากแรกๆ ของเกมส์ก็ขนลุกแล้ว...
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา ก็ได้มาปรากฎอยู่ใน The Evil Within 2 และได้ถูกพัฒนาเพิ่มเติมอีกทอดหนึ่ง และจุดที่เห็นได้ชันเจนที่สุด คงจะเป็นการแสดงผลของแสงเงาในเกมส์ในส่วนของ Shadow Mapping หรือเอฟเฟคการประมวลผลรูปทรงของเงาให้ออกมาใกล้เคียงวัตถุที่มีอยู่จริงที่สุดนี้ ถูกทำออกมาได้อย่างประณีตและพบเห็นผลลัพธ์ดังกล่าวได้ในทุกวัตถุของเกมส์ และเมื่อผสมเข้ากับบรรยากาศของเกมส์ที่วังเวงและชวนให้อึดอัดแล้วนั้น ก็อาจกล่าวได้ว่าตัวเกมส์เสมือนพาผู้เล่นไปสำรวจประสบการณ์สยองขวัญนี้อย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว
เห็นละอยากจะหนีไปให้พ้นๆ จริงๆ
ไม่เพียงแค่ด้านกราฟฟิกของเกมส์ที่ส่งอารมณ์สะพรึงได้ถึงใจ แต่ "งานออกแบบศิลป์" ก็ถ่ายทอดความขนหัวลุกได้ออกมาอย่างยอดเยี่ยม ด้วยเหล่าศัตรูที่มีร่างกายอิงเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ แต่ได้ถูกบิดเบี้ยวรูปทรงหรือเสริมใส่อวัยวะให้ผิดเพี้ยนจนไม่มีเหลือความเป็นคน
Lament ศัตรูในเกมส์ที่มีเสียงโหยหวนชวนเสียวสันหลัง
ปิดท้ายประสิทธิภาพด้านการแสดงผลกันกับเรื่องของ "ระบบเสียง" ที่เกมส์นี้ ทำออกมาได้ชวนขนลุกขนพองไม่แพ้ส่วนอื่น โดยในส่วนที่เกี่ยวกับการเล่นโดยตรง แม้ตัวเกมส์จะไม่มีไอคอนหรือ UI ให้ผู้เล่นได้รับรู้ว่าศัตรูอยู่ตรงไหนอย่างแน่ชัด แต่ด้วยระบบเสียงที่มีคุณภาพในระดับสูง ก็ทำให้เราสามารถรับรู้ได้โดยปริยายถึงบริเวณที่พวกมันอยู่ และหากนับส่วนที่ส่งเสริมอารมณ์ตอนเล่น "ระบบเสียงของเกมส์ก็จะยิ่งกลายเป็นข้อดีอีกหนึ่งข้อที่เห็นได้ชัด" เพราะศัตรูแต่ละตัว จะมีลักษณะการเปล่งเสียงที่หลอกหลอนโสตประสาทได้ถึงเบื้องลึกของประสาทการฟังเลยทีเดียว ทั้งเสียงหายใจและเสียงลมที่ติดขัดในลำคอ ที่เราจะได้ยินมันออกมาจากคนที่กำลังจะตายเท่านั้น, เสียงกรีดร้องที่สลับกับเสียงสะอื้นที่ไม่มีท่าทีจะหยุด และเสียงฮัมเพลงในลำคอที่เย็นยะเยือกของสิ่งมีชีวิตลี้ลับคลับคล้ายมนุษย์เพศหญิง เป็นต้น (เขียนไปขุนลุกไป...)
โดยรวม The Evil Within 2 คือเกมส์ภาคต่อที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ทั้งระบบการเล่นที่คมชัดส่งเสริมความเป็นแนวสยองขวัญ - เอาตัวรอดได้อย่างสุดทางด้วยความช่วยหลือของระบบการเล่นในยุคสมัยใหม่ (Open World, ระบบอัพเกรด ฯลฯ) ทั้งหลายที่ผสมเข้ากันได้อย่างลงตัว เนื้อเรื่องที่นำเสนอได้เป็นมิตรกับผู้เล่นมากยิ่งขึ่้นแต่ยังคงอยู่ของปมเล็กๆ ที่น่าติดตามสานต่อ และปิดท้ายด้วยประสิทธิภาพด้านการแสดงผลที่ยกระดับจากภาคแรกแบบก้าวกระโดด
หากใครที่รักและคิดถึงเกมส์แนวสยอง - เอาตัวรอดในอดีตที่ทำออกมาได้ลงตัวกับยุคสมัยของเกมส์ในปัจจุบัน ก็ไม่มีเหตุใดที่จะไม่มี The Evil Within 2 ไว้ในครอบครองครับ
|
ทำไมไม่เรียกแมว! รักหนัง รักเกม ร๊ากกทุกคนนน ~ <3 |