ปัจจุบันตลาด หูฟังไร้สาย (Wireless Earbuds) เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ตัดช่องเสียบสายหูฟัง 3.5 มม. ออกไป และหากจะใช้หูฟังแบบมีสายก็ต้องใช้ตัวแปลงอีกสร้างความน่าหงุดหงิดไม่มากก็น้อยให้แก่ใครหลายคน ด้วยเหตุฉะนี้จึงทำให้หูฟังไร้สายเข้ามาตอบโจทย์การการฟังเพลงโดยไม่ต้องพึ่งช่องเสียบสาย 3.5 มม. อีกต่อไป
โดยหูฟังที่ผู้เขียนได้รับมารีวิวในครั้งนี้ก็คือ หูฟังไร้สาย (True Wireless Earbuds) จากแบรนด์ Jabra รุ่น Elite 65t และจากที่ได้ข้อมูลสเปคในงานเปิดตัว ก็เห็นว่ามันมีฟีเจอร์เด็ดๆ หลายอย่าง เช่น ระบบตัดเสียงรบกวน (Noise Isolation), รองรับบลูทูธแบบ 5.0 ที่ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็วกว่าเดิม, ระบบกันน้ำ IP55, มีไมโครโฟน 4 ตัว, แบตเตอรี่อึดทนนาน 5 ชม. บวกกับกล่องชาร์จอีก 10 ชม. รวมแล้วใช้งานได้สูงสุด 15 ชั่วโมง และแอปฯ Jabra Sound + สำหรับปรับแต่งเสียงและตั้งค่าต่างๆ เป็นต้น หากว่าใครที่อยากจะดูสเปคแบบเต็มๆ ก็กดดูที่ด้านล่างนี้ได้เลย
เริ่มที่ตัวกล่องด้านนอกของเจ้า Jabra Elite 65t กันเลย ด้านหน้าและด้านหลังกล่อง เราจะเห็นข้อมูลฟีเจอร์ต่างๆ และรูปภาพประกอบของเจ้ารุ่นนี้กัน
เมื่อแกะกล่องครอบด้านนอกออกมา เราจะเจอกับหูฟังถูกบรรจุอยู่ภายในอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยภายในจะประกอบด้วย หูฟังไร้สาย 2 ข้าง, กล่องชาร์จหูฟัง, จุกเปลี่ยนหูฟัง 3 ขนาด, สาย Micro USB และคู่มือใช้งาน
สำหรับเจ้าหูฟังไร้สาย (True Wireless) Jabra Elite 65t ถูกออกแบบดีไซน์มาให้มีความเรียบหรู สลับด้วยโทนสีดำและเทา รูปร่างโค้งมน ไร้มุมเหลี่ยม ตอบรับเข้ากับรูปทรงของหูอย่างพอดี มีน้ำหนักเบาใส่แล้วไม่ปวดหู และมีเทคโนโลยีกันน้ำกันฝุ่น IP55 ซึ่งช่วยให้ฟังเพลงขณะออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องเป็นกังวล
ด้านการรับเสียงมีไมโครโฟนทั้งหมด 4 ตัว (ข้างละ 2) โดยจะใช้ตัดเสียงรบกวนรอบข้าง 1 ตัว และเป็นไมโครโฟนรับเสียงเวลาพูดคุยอีก 1 ตัว ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ HearThrough และ Sidetone สำหรับฟังเสียงบรรยากาศรอบๆ ตัว เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ในขณะคุยโทรศัพท์ หรือฟังเพลงอีกด้วย
โดยตัวหูฟังทั้งสองข้าง มีปุ่มกดขนาดใหญ่ ข้างละปุ่ม โดยฝั่งขวา (R) ใช้สำหรับ เปิด-ปิด, เล่น-หยุดเล่น, รับสาย-วางสาย และเปิด-ปิดสัญญาณบลูทูธ ส่วนปุ่ม ฝั่งซ้าย (L) จะมีจุดนูนๆ ออกมาสองฝั่งเพื่อปรับเพิ่มเสียง-ลดเสียง หรือเช็คสถานะแบตเตอรี่ สำหรับวิธีใช้แบบละเอียดก็อ่านเพิ่มเติมจากคู่มือได้เลย
ตัวกล่องชาร์จหูฟัง เป็นสีดำ ดีไซน์โค้งมนเวลาจับเข้ากับรูปมือของเรา โดยขนาดและน้ำหนักกำลังพอดี เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงได้ ด้านหน้ามีโลโก้ Jabra ส่วนด้านบนเป็นฝาเปิดกล่อง ด้านล่างมีไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน และช่องเสียบสาย Micro USB เพื่อเสียบสายชาร์จหรือต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ ด้านในเป็นช่องสำหรับเก็บหูฟังพร้อมกับชาร์จแบตเตอรี่ไปในตัว
จากที่ทดลองใช้งานมาพบว่าฝากล่องชาร์จ ต้องใช้แรงสักหน่อยเพื่อเปิด จนบางครั้งก็ทำให้ตัวหูฟังกระเด็นหลุดออกไป แต่อย่างไรก็ตามเมื่อใช้งานจนชินแล้วปัญหานี้จะค่อยๆ ลดน้อยลงไป
ส่วนนี้จะเป็นการบอกเล่าถึงประสิทธิภาพการใช้งานของหูฟัง Jabra Elite 65t กันนะครับ โดยเจ้านี่เนี่ยมีแบตเตอรี่ในตัว ที่ใช้ฟังเพลงได้สูงสุดประมาณ 5 ชั่วโมง และตัวกล่องชาร์จสามารถชาร์จไฟแบตเตอรี่หูฟังได้ถึง 2 รอบ (รอบละ 5 ชม.) ซึ่งรวมๆ แล้วเราจะจะใช้ฟังเพลงได้ถึง 15 ชั่วโมงเลยทีเดียว (ไม่นับเวลาชาร์จ) ด้วยแบตเตอรี่เท่านี้ก็เพียงพอต่อการฟังเพลงทั้งวันแล้ว แต่หากว่าใครใช้ฟังบนรถเวลาเดินทางไปไกลๆ อาจจะต้องแบ่งชั่วโมงการใช้งานให้ดีว่า ช่วงไหนจะฟัง ช่วงไหนจะชาร์จ นะครับ
สำหรับการทดสอบใช้งานของผู้เขียนก็เห็นได้ว่า แบตเตอรี่ของเจ้าหูฟังตัวนี้เนี่ย อึดจริงๆ ขนาดว่าฟังเพลงต่อเนื่องกัน 2 ชั่วโมงกว่าๆ ยังเหลืออยู่ประมาณ 50% เลย และใช้ฟังเพลงต่อเนื่องในตอนเย็นอีกประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ แบตฯ ถึงจะหมด ก็เลยเอาไปใส่กล่องชาร์จซัก 30 นาที - 50 นาที ก็ใช้ต่อได้แล้ว และถ้าอยากรู้ว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่ประมาณกี่ % ก็สามารถเช็คได้จากแอปพลิเคชัน Jabra Sound + ได้ และสำหรับอุปกรณ์ iOS สามารถเช็คแบตฯ ได้โดยไม่ต้องใช้แอปฯ ด้วยการสไลด์หน้าจอไปทางซ้ายดังรูปด้านล่าง
อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้นว่า เจ้าหูฟังไร้สาย Jabra Elite 65t มันรองรับ Bluetooth 5.0 ทำให้รับ-ส่งข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น ผู้เขียนจึงนำไปทดสอบกับ iPhone X ที่รองรับ Bluetooth 5.0 เหมือนกัน ด้วยการดู Youtube และสังเกตภาพและเสียงว่าตรงกันหรือไม่ ผลคือภาพกับเสียงตรงกัน ไม่มีอาการหน่วงแต่อย่างใด
แต่กระนั้นก็เกิดคำถามว่า หากนำไปใช้กับสมาร์ทโฟนที่รองรับ Bluetooth 4.2 แล้วจะมีอาการภาพไม่ตรงกับเสียงหรือไม่ ผู้เขียนจึงได้ทดสอบกับ iPad mini 4 อีกรุ่น ผลสรุปออกมาว่า มีอาการเสียงไม่ตรงกับภาพอยู่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าไม่สังเกตจริงๆ ก็ไม่เห็นความแตกต่างสักเท่าไร ถือว่าทำได้ในระดับดีเลย
และด้วยดีไซน์ที่เข้ากับรูปทรงของหูบวกกับน้ำหนักที่เบา จึงทำให้ใส่ได้เป็นเวลานานๆ โดยที่ไม่รู้สึกว่าหูกำลังแบกน้ำหนักของตัวหูฟังไว้เลย และอีกสิ่งที่ต้องชมคือเจ้าตัวหูฟัง Jabra Elite 65t เวลาใส่แล้วพอดีกับรูปหูของเรามากๆ ใส่แล้วอยู่ตัว แม้ว่าจะสะบัดหัว หรือวิ่งออกกำลังกาย ก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลุดแต่อย่างใด จุดนี้เองทำให้ผู้เขียนรู้สึกประทับใจมาก
แน่นอนว่าการซื้อหูฟังสักตัวหนึ่ง ย่อมต้องคำนึงถึงคุณภาพเสียงหรือเรื่องระบบตัดเสียงรบกวนเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งเจ้าหูฟังไร้สาย Jabra Elite 65t ตัวนี้ก็ทำได้ดีเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกด้วยจุกยางชนิดพิเศษ ส่วนคุณภาพเสียงที่ขับออกมาก็ได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งเสียงสูง เสียงกลาง และเสียงเบส
พอได้ทดลองฟังเพลงมาประมาณ 1 อาทิตย์ ก็เห็นได้ว่า เสียงเบสของเจ้าตัวนี้เนี่ยหนักและแน่นมากๆ เวลาฟังเพลงที่มีเสียงเบสเยอะๆ ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นต่ำที่กระทบเป็นลูกๆ เลย ส่วนเสียงกลางก็ไม่ธรรมดาดึงเสียงเครื่องดนตรีออกมาได้ครบ ตั้งแต่ เสียงร้อง เสียงกีต้าร์ เสียงกลอง ช่วยเพิ่มมิติให้กับการฟัง ส่วนเสียงสูงนั้นทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็อยู่ในระดับที่ฟังเพลินๆ ได้ แต่หากว่าใครที่อยากจะฟังเพลงบรรเลง หรือเสียงเปียโน ที่มีเสียงสูงเยอะๆ อาจจะไม่ถูกใจสักเท่าไร
โดยเพลงที่ผู้เขียนนำมาทดสอบนั้น มีอยู่ 3 เพลง ได้แก่
ผลปรากฏว่าสองเพลง Hotel California และ Low เจ้าหูฟัง Jabra Elite 65t ทำผลงานออกมาได้ดี ในเรื่องเสียงกลาง-เบสที่ ชัด หนัก แน่น ส่วนเพลง River Flows in You ที่เน้นไปที่เสียงเปียโนล้วนๆ นั้นกลับทำผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร เสียงเปียโนที่ควรจะใสและก้องกังวาล กลับค่อนข้างทึบไปสักนิด แต่ก็อยู่ในระดับที่โอเค หากใครชอบหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่เน้นเสียงเบสหนักๆ น่าจะถูกใจเจ้าตัวนี้แน่นอน
ความพิเศษของหูฟังไร้สาย Jabra Elite 65t ตัวนี้ก็คือ สามารถปรับแต่งค่าต่างๆ ได้ด้วยแอปพลิเคชัน Jabra Sound + บน Android และ iOS ซึ่งเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่อยากปรับเสียง Equalizer ให้เหมาะตามสไตล์การฟังได้เลย
ต้องยอมรับเลยว่าผู้เขียนเองเคยเป็นหนึ่งคนที่ชอบใช้หูฟังแบบมีสายมาก่อน แต่พอได้ลองมาจับเจ้าหูฟังไร้สาย Jabra Elite 65t ที่เป็นแบบ True Wireless แล้วก็รู้สึกว่า ไม่อยากจะกลับไปใช้หูฟังแบบสายอีกเลย ด้วยเหตุผลที่ว่ามันพกพาสะดวกมากๆ เวลาหยิบใช้ก็สะดวกสบาย หยิบปุ๊ปเสียบหูปั๊ป ไม่ต้องมานั่งแก้สายที่พันกันให้เสียเวลา แถมเสียงก็ดีอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่เท่ากับหูฟังแบบสายก็เถอะ แต่ได้เรื่องความสะดวกสบายนี่บอกเลยว่าก็คุ้มแล้ว เหมาะสำหรับใช้ฟังเพลงสบายๆ ที่ไม่ต้องการคุณภาพเสียงมากมายนัก โดยทีมงานจึงเขียนจุดเด่นและจุดสังเกตมาให้ทุกคนได้ทราบกันตามด้านล่างนี้ ไปดูกันเลย
จุดเด่น
| จุดสังเกต
|
|
How to .... |
ความคิดเห็นที่ 1
1 พฤษภาคม 2561 22:20:51
|
||||||||||||||||||||
ราคาเท่าไรครับ หาซื้อได้ที่ใหน
|
||||||||||||||||||||