ข้อดี
| ข้อสังเกต
|
เป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นในตลาดที่น่าสนใจมากๆ ในตอนนี้ สำหรับ Vivo V15 Pro ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงของทางวีโว่ แต่ก็มีราคาน่ารักๆ ที่จับต้องได้ง่ายเพียง 14,990 บาทเท่านั้น ซึ่งในราคานี้ ก็มาพร้อมความพรีเมี่ยมมากมาย ทั้งหน้าจอแบบเต็มพื้นที่ไม่มีรอยบาก กล้องเทคโนโลยีป๊อปอัพ เซ็นเซอร์สแกนนิ้วบนหน้าจอ ดีไซน์บอดี้เครื่องสวยๆ กล้องหลัง 3 เลนส์ความละเอียดสูงที่มาพร้อมกับเลนส์มุมกว้าง รวมทั้งชิปเซ็ต Snapdragon ที่เหมาะมากกับการเล่นเกมส์อีกด้วย
อุปกรณ์ต่างๆ ภายในกล่องของ Vivo V15 Pro ก็จะประกอบไปด้วย สายชาร์จ microUSB, อะแดปเตอร์, หูฟังแบบเอียร์บัดพร้อมไมค์, เข็มจิ้มถาดซิม, คู่มือ และเคสใส่มือถือ
สำหรับตัวเคส เป็นเคสพลาสติกแข็งและหนา ถอด-ใส่ต้องใช้แรงสักหน่อย แต่แน่นหนาแน่นอน ปุ่มกดมีความแข็งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถือว่ากดยาก ด้านบนมีรูสำหรับกล้องป๊อปอัพ ส่วนด้านล่างมีจุกปิดพอร์ตสำหรับกันฝุ่นด้วย
หน้าจอแสดงผลเป็นจอแบบ Ultra FullView Display ที่แสดงผลเป็นจอสี่เหลี่ยมได้เต็มพื้นที่ ไม่มีรอยบากอยู่ด้านบน แต่ขอบจอด้านข้าง ก็ยังมีความหนาอยู่เล็กน้อย ไม่ได้ไร้รอยต่อเลยทีเดียว ส่วนขอบบน-ล่างก็มีความหนากว่าด้านข้างเล็กน้อย (มือถือบางแบรนด์ขอบล่างจะหนากว่านี้)
สีสันของหน้าจอแสดงผลได้เต็มอิ่ม แต่ก็เกิดแสงสะท้อนได้ง่าย ปุ่มเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือจะโชว์ออกมาเมื่อต้องใช้งานการสแกนนิ้ว และจะหายไปเมื่อไม่ได้ใช้งาน ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้
ด้านบนเป็นกล้องป๊อปอัพ ที่จะเลื่อนขึ้นมา เมื่อใช้งานกล้องหน้า สำหรับการถ่ายเซลฟี่หรือการสแกนใบหน้า รูปแบบการเลื่อนจะไม่ได้ป๊อปขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่จะค่อยๆ เลื่อนขึ้นมา ซึ่งก็ไม่ได้ช้ามาก งานประกอบของกล้องป๊อปอัพค่อนข้างแน่นหนาแข็งแรง กดไม่ลง โยกไม่ได้ เลื่อนเปิดปิดอัตโนมัติอย่างเดียว
ส่วนด้านบนอีกฝั่งหนึ่ง เป็นช่องเสียบหูฟัง 3.5 mm ให้ใช้งานกัน
ด้านหลังเป็นวัสดุผิวมันเงา สีบอดี้เล่นกับแสงรอบๆ สวยจนไม่อยากใส่เคสปิด
ถ้าสังเกตดีๆ พื้นผิวตรงฝาหลังของ Vivo V15 Pro จะมีลวดลายซ่อนอยู่ เพิ่มความหรูให้กับตัวมือถือ ไม่ได้เรียบไปเสียทีเดียว
กล้องหลังจะเรียงกันในแนวตั้งด้านซ้ายของตัวเครื่อง รวมทั้งกล้องป๊อปอัพ ก็อยู่ในแนวเดียวกันด้วย ดูเป็นระเบียบดี
ด้านข้างของเครื่องเป็นปุ่มซอฟต์คีย์ ทั้งปุ่ม Power, ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง บริเวณด้านขวา และปุ่มเรียกผู้ช่วยอัจฉริยะ (Google Assistant หรือ Jovi) ที่ข้างซ้าย
ด้านล่างเป็นช่องถาดใส่ซิม พอร์ต microUSB และลำโพง ซึ่งก็ตามที่เห็น Vivo V15 Pro ยังคงใช้ microUSB อยู่ แต่ก็ได้ใส่ Dual Engine ให้สามารถชาร์จแบตฯ ได้เร็วขึ้น
ถาดใส่ซิมและการ์ดความจำของ Vivo V15 Pro จะแยกออกจากกัน โดยถาดใส่ microSD จะอยู่ด้านข้างของตัวเครื่อง ส่วนถาดใส่ nanoSIM แบบคู่ จะอยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง
Vivo V15 Pro ใช้ Funtouch OS 9 บนพื้นฐาน Android 9.0 Pie ลักษณะของ UI หน้าจอจะเป็นแบบ Homescreen ที่แบ่งได้หลายหน้า สามารถสร้างโฟลเดอร์แยกแอปฯ ประเภทต่างๆ ได้ ไม่มี App Drawer ไว้สำหรับเก็บแอปฯ ต่างๆ
ปุ่ม Navigation Keys เป็นไอคอนของ Funtouch ที่ประกอบไปด้วย Recent, Home และ Back ตามลำดับ การลากนิ้วลงจากด้านบนจะเป็นการเรียกดูแจ้งเตือนต่างๆ ส่วนลากนิ้วขึ้นจะเป็นการเข้าเมนูด่วนต่างๆ และปรับเพิ่ม/ลดแสงได้
Vivo V15 Pro มาพร้อมกับระบบสแกนนิ้วบนหน้าจอรุ่นที่ 5 ซึ่งจากที่ลองใช้งาน ก็ทำงานได้ค่อนข้างเร็ว แต่ก็ยังไม่เร็วเท่ากับเซ็นเซอร์สแกนนิ้วแบบเก่า แต่ก็มีหลายครั้งที่เราโดนแจ้งเตือนว่า 'โปรดกดให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย' ต้องสแกนใหม่และวางนิ้วให้ตรงขึ้น
ลูกเล่นเล็กๆ ที่เราสามารถเปลี่ยนรูปแบบของเอฟเฟ็กต์การสแกนนิ้วได้
แต่ระบบปลดล็อกหน้าจอที่ประทับใจเลยก็คือ ระบบปลดล็อกหน้าจอด้วยใบหน้าผ่านกล้องป๊อปอัพ (แต่ไม่ได้ประทับใจที่ใช้กล้องป๊อปอัพนะ เพราะว่ากว่าจะปลดล็อกได้ ต้องรอให้กล้องเลื่อนออกมาอีก) ที่การสแกนใบหน้าในที่แสงน้อย ก็สามารถทำได้ไวพอๆ กับการสแกนใบหน้าในแสงปกติ อีกอย่างที่ประหลาดใจก็คือ เราใส่ผ้าปิดปากก็ยังสามารถสแกนหน้าได้อีก
Vivo V15 Pro มีโหมด Game Cube ไว้สำหรับจัดการทรัพยากรเครื่อง ให้สามารถเล่นเกมส์ได้ไหลลื่นขึ้น ทั้งการจัดการ RAM และ CPU รวมทั้งยังสามารถตั้งค่าปิดการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ของมือถือที่จะมารบกวนการเล่นเกมส์ได้ ทั้งการโทรเข้า ปิดการแจ้งเตือน ปฏิเสธสายเข้า ปิดปุ่ม AI และปิดการแคปหน้าจอด้วยการลาก 3 นิ้วลง (เผื่อเราเผลอไปกดโดน)
ส่วนการทดสอบเล่นเกมส์บนเครื่อง เราใช้ RoV ในการทดสอบ ซึ่งการตั้งค่า สามารถปรับเป็น 'ภาพ HD' และเปิดโหมด 'เฟรมเรทสูง' ได้
สำหรับการรันเกมส์เพลย์ก็ทำได้ดีครับ โหลดเกมส์ไว อาการค้างหรือกระตุกระหว่างการเล่น ไม่ค่อยมีให้พบเห็น
กล้องของ Vivo V15 Pro นอกจากกล้องหน้าป๊อปอัพความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ก็มีกล้องหลัง 3 เลนส์ ที่มีความโดดเด่นที่ความละเอียดภาพสูงสุด 48 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ และถ่ายเป็นเลนส์มุมกว้างได้
สำหรับการถ่ายความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เราต้องไปเปิดโหมดนี้ในเมนูตั้งค่ากล้องเสียก่อน ไม่งั้นจะเป็นการถ่ายที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลแทน และไม่สามารถถ่ายความละเอียดสูงที่โหมดเลนส์กว้างได้
นอกจากการเปิด 48 ล้านพิกเซลแล้ว ในนี้ก็เปิดโหมดจัดองค์ประกอบภาพถ่ายบุคคลเหมือน Vivo V11 ได้ด้วย
การถ่ายภาพด้วยความละเอียด 48 ล้านพิกเซล
สำหรับการถ่ายภาพที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล จะช่วยให้เราได้รายละเอียดภาพได้มากกว่า หากนำภาพถ่ายไปพิมพ์ออกมา ก็จะได้ขนาดของภาพที่ใหญ่กว่าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล หรือความละเอียดของภาพที่มากกว่า จะทำให้เรามีโอกาสที่จะครอบตัดภาพไปใช้ได้มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ...
เราได้ถ่ายภาพนี้เอาไว้ 2 ความละเอียด ได้แก่ 48 ล้านพิกเซลและ 12 ล้านพิกเซล หากเรานำไปครอบตัดด้วยความละเอียดที่เท่ากันคือ 1000x1000 พิกเซล ภาพที่ได้ออกมาจะเป็นดังนี้
เลนส์มุมกว้าง
อีกฟีเจอร์กล้องที่น่าเล่นของ Vivo V15 Pro ก็คือเลนส์มุมกว้าง ที่ได้ระยะที่กว้างกว่าปกติถึงเกือบเท่าตัว เอาไปใช้ถ่ายรูปในสถานการณ์ต่างๆ ที่เลนส์ปกติไม่สามารถเก็บได้หมด ไม่ว่าจะเป็นถ่ายวิว ถ่ายสถาปัตย์ ถ่ายตึกสูง ถ่ายห้องแคบๆ ถ่ายเพื่อนเป็นกลุ่มก็ได้ แต่เสียดายที่เลนส์มุมกว้างมีความละเอียดสูงสุดเพียง 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น ถือว่าค่อนข้างเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับความละเอียดสูงสุดที่กล้องทำได้ แต่ความละเอียดเท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการโพสต์โซเชียลแล้ว
ภาพเปรียบเทียบระหว่างโหมดถ่ายภาพทั่วไปกับโหมดกลางคืน
ในโหมดถ่ายภาพกลางคืนของกล้อง Vivo V15 Pro จะช่วยให้สามารถเก็บภาพกลางคืน หรือภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น โดยแอปฯ กล้องจะใช้เวลาถ่ายรูปที่นานกว่าปกติสักหน่อย เพื่อเปิดรายละเอียดในส่วนที่มืด และลดจุดรบกวนของภาพ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
*จากที่ลองทดสอบโหมดกลางคืนก่อนที่จะมีการอัพเดท เราพบปัญหา กับการถ่ายภาพที่มีทั้งจุดที่มืดและสว่างมากๆ (เช่น ป้ายไฟ) อยู่ในภาพเดียวกัน โดยบริเวณที่สว่างมากๆ จะถูกเพิ่มแสงจนรายละเอียดหายไป ซึ่งหลังจากอัพเดทแล้ว การทำงานของโหมดกลางคืนก็สามารถทำงานได้ดีขึ้น (หากใครเจอปัญหา ต้องลองอัพเดทดู)
ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ
Vivo V15 Pro สามารถเปิดโหมดเพื่อถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ โดยตัวกล้องแนะนำให้ถ่ายที่ระยะห่างระหว่างกล้องกับตัวแบบที่ 2 เมตร ซึ่งก็จะได้ระยะถ่ายเกือบเต็มตัว (ตามภาพด้านล่าง) และในโหมดนี้ไม่สามารถที่จะซูมภาพได้ จึงมีรูปแบบการใช้งานที่จำกัดไว้สำหรับการถ่ายบุคคลเท่านั้น
สำหรับการเบลอพื้นหลังด้วยซอฟต์แวร์กล้องนี้ เราสามารถปรับค่าความเบลอได้ระหว่างการถ่ายหรือหลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้วก็ได้ โดยปรับได้ตั้งแต่ F0.95 ไปจนถึง F16
ซึ่งการเบลอของซอฟต์แวร์ยังทำได้ไม่ค่อยละเอียด อย่างเช่นบริเวณลอนผม หรือผ้าผูกเสื้อ หากซูมเข้าไปจะเห็นว่ามีพื้นที่ถูกเบลออยู่บ้าง ซึ่งถ้าไม่ได้ซูมเข้าไป ก็มองดูเนียนๆ อยู่
ในส่วนของพื้นที่ในตัวแบบ ถ้ามีพื้นที่เว้นชัดๆ ซอฟต์แวร์กล้องก็จะเบลอได้อย่างแม่นยำ อย่างเช่นช่องว่างบริเวณแขนของภาพด้านบน แต่บางกรณี ตัวแบบก็โดนเบลอไปเลย เช่นภาพด้านขวา ที่นางแบบโดนเบลอทั้งมือไปเลย ทั้งๆ ที่อยู่ในระยะเดียวกัน
แต่ที่เด็ดของกล้องรุ่นนี้ ก็คือนอกจาก AI Beauty ปรับหน้าสวยแล้ว ยังมี AI Shaping ให้ปรับหุ่นของแบบได้ระหว่างการถ่ายเลย แต่ต้องปรับกันพอดีๆ นะครับ ไม่งั้นโลกเบี้ยวแน่นอน
กล้องหน้าป๊อปอัพ สามารถถ่ายที่ความละเอียดสูงถึง 32 ล้านพิกเซลและปรับความละเอียดไม่ได้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว สำหรับการใช้งานกล้องมือถือ เราไม่ค่อยจะปรับความละเอียดลงกันอยู่แล้ว มาเท่าไหน ก็ถ่ายเท่านั้นเลย สามารถเพิ่มเมมเก็บรูปได้อยู่แล้ว
ส่วน AI Beauty ของกล้องหน้า เราสามารถเปิดโหมดแยกเพศได้ ซึ่งจากที่ลองๆ ดู ถ้าเป็นผู้ชาย ก็โดนหน้าเนียนเหมือนกัน แต่ว่าจะเหลือริ้วรอยใหญ่ๆ เช่น สิว ลักยิ้ม แผลเป็นต่างๆ เอาไว้ให้
อย่างในรูปตัวอย่าง จะสังเกตได้ว่าในรูปด้านซ้าย จะมองเห็นหนวดเคราชัดเจนกว่าด้านขวา ภาพซ้ายจะยังมีรอยสิวอยู่ทางด้านขวาของแว่น รวมทั้งเส้นขอบบริเวณจมูกจะมีความคมชัดมากกว่าด้านขวา (ต้องสังเกตเยอะหน่อย 555)
แม้ว่า Vivo V15 Pro จะใช้พอร์ต microUSB ซึ่งไม่ได้เป็นพอร์ตใหม่แบบ USB-C แต่กับการชาร์จแบต ก็มีใส่ Dual Engine สำหรับการชาร์จมาให้ประจุไฟได้เร็วขึ้น โดยจากที่ลองกับอะแดปเตอร์ 9V ที่มากับในกล่อง เวลาสำหรับการชาร์จจาก 0-100% อยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที
ที่แอบน่าเสียดายคือ สินค้าใหม่ๆ ในตลาด เริ่มใช้ USB-C กันหมดแล้ว จะนำ Vivo V15 Pro ไปยืมชาร์จด้วยสายของอุปกรณ์อื่นๆ ก็ค่อนข้างจะหายากซักหน่อย
เป็นสมาร์ทโฟนสเปคดีๆ ราคาไม่แรงอีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจ สำหรับใครที่อยากจะลองเปลี่ยนบรรยากาศมาใช้สมาร์ทโฟนจอ FullView ที่ไม่มีรอยบากดูบ้าง ส่วนกล้องป๊อปอัพ ก็เป็นลูกเล่นที่น่าสนใจ งานประกอบดูแน่นหนา ไม่น่าจะพังง่าย (แบรนด์เขาเคลมมาว่า ใช้งานได้กว่า 300,000 ครั้ง) ฟีเจอร์กล้องก็มีให้เล่นเยอะแยะ เสียดายนิดๆ ที่ไม่ได้ทำเลนส์ซูมมา ซึ่งเป็นเทรนด์ของตลาดอยู่ตอนนี้ ส่วนการเล่นเกมส์ ด้วยชิปเซ็ต Snapdragon 660 AIE ที่ถึงแม้จะเก่าหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าห่วงเลย
|
... |