รีวิว TicWatch Pro สมาร์ทวอทช์ Wear OS ระดับพรีเมี่ยม แบตฯ อึด 5 วัน มี GPS ในตัว

TicWatch Pro สมาร์ทวอทช์สำหรับการออกกำลังกายระดับท็อป จากแบรนด์ Mobvoi จากประเทศจีน  มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ วัดการเผาผลาญแคลอรี่ จำนวนก้าวเดิน มี GPS ในตัวเสร็จสรรพ วัดระยะทาง ทำแผนที่การวิ่ง การเดินออกกำลังกายกลางแจ้งได้อย่างแม่นยำ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพกมือถือติดตัวไปด้วย เดินวิ่งออกกำลังกายกันแบบสบายตัวไปเลย

หรูหราด้วยตัวเรือนที่ผลิตจากสแตนเลสสตีลที่ทนทาน มีตัวเรือนให้เลือกซื้อ 2 สีคือ สีแบบขอบหน้าปัดสีเงิน หรืออีกแบบก็ขอบหน้าปัดสีดำ ที่ดูหล่อเข้ม อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ TicWatch Pro เหนือกว่าสมาร์ทวอทช์อื่นๆ คือเทคโนโลยีหน้าปัด 2 ชั้นที่ช่วยประหยัดงานให้ใช้งานได้หลายวันขึ้น ไม่ต้องเสียบชาร์จกับแบบวันต่อวัน หรือสองวันชาร์จที่เหมือนอย่างสมาร์ทวอทช์อื่นๆ คือถ้าใช้งานเฉพาะหน้าจอขาวดำอย่างเดียว ทางแบรนด์ TicWatch เขาเคลมว่าใช้งานได้นานถึง 30 วันกันเลย และรันด้วยระบบปฏิบัติการ Wear OS ของ Google ยืดหยุ่นกับการทำงานและการแสดงแจ้งเตือนจากแอปฯ ต่างๆ บนสมาร์ทโฟน และยังใช้ควบคุมการเล่นเพลงบนสมาร์ทโฟนได้ด้วย และที่สำคัญคือรองรับการใช้งานกับทั้งสมาร์ทโฟนระบบ Android และ iOS ในอนาคตถ้าอยากย้ายสมาร์ทโฟนข้ามระบบปฏิบัติการ ก็ไม่ใช่ปัญหา

สามารถคลิกเพื่อดูภาพใหญ่

เราจำเป็นต้องติดตั้งแอป Wear OS ลงบน iPhone หรือสมาร์ทโฟน Android ของเรา เพื่อเชื่อมต่อ TicWatch Pro เข้าสมาร์ทโฟน โดยที่แอปฯ นี้ใช้ในการเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาสวยๆ ที่มีให้เลือกเกิน 20 แบบ และยังใช้ในการตั้งค่าเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือน และใช้ตั้งค่าการซิงค์ ข้อมูลผู้ติดต่อ ปฏิทิน และตารางการนัดหมายด้วย

 อีกหนึ่งแอปฯ สำคัญที่ควรติดตั้งลงบนสมาร์ทโฟนคือ Google Fit ที่เป็นศูนย์รวมสรุปข้อมูลข้อมูลการออกกำลังกายของเรา

อีกหนึ่งแอปฯ ที่ต้องติดตั้งลงในสมาร์ทโฟน หากเราต้องการใช้ระบบติดตามการออกกำลังกายบนสมาร์ทวอทช์ที่มีชื่อว่า TicHealth ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับสมาร์ทวอทช์จากแบรนด์ Mobvoi ก็คือแอปฯ ที่มีชื่อตรงตัวว่า Mobvoi (รองรับทั้ง iPhone และ Android) คือถ้าเราไม่ต้องการใช้ระบบ TicHealth ก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอป Mobvoi และโดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบใช้ระบบติดตามการออกกำลังกายของ Google Fit มากกว่า

ข้อดี และข้อสังเกตของ TicWatch Pro

รายละเอียดสินค้า (Specification)

• ขนาดตัวเรือน : 45 x 12.6 มม.
• วัสดุที่ใช้ทำตัวเรือน : สแตนเลส + โพลีอาไมต์ + ไฟเบอร์กลาส
• วัสดุที่ใช้ทำสายนาฬิกา : หนังแท้เกรดพรีเมี่ยมจากอิตาลี + ซิลิโคน
• ระบบปฏิบัติการ : Wear OS by Google
• หน่วยความจำ RAM/ROM : 512M/4GB
• รองรับการใช้งานกับสมาร์ทโฟน : ทั้ง Android , iOS
• แพลตฟอร์ม : Qualcomm Snapdragon Wear 2100
• หน้าจอ : ทรงกลม ขนาด 1.39 นิ้ว OLED (จอสี) ความละเอียด 400x400 จุด + FSTN (จอขาวดำ)
• การเชื่อมต่อ : บลูทูธ 4.2 , WiFi 802.11 b/g/n
• ระบบพิกัดตำแหน่ง : GPS + GLONASS + Beidou + Galileo
• เซ็นเซอร์ต่างๆ : Accelerometer, Gyro, Magnetic Sensor, PPG Heart Rate sensor, Ambient Light Sensor, Low Latency Off-Body Sensor
• จ่ายเงินผ่าน NFC : ทำได้ผ่านระบบ Google Pay
• ความจุแบตเตอรี่ : 
  • การใช้งานใน Smart mode (หน้าจอสี): 2-5 วัน
  • การใช้งานใน Essential mode (หน้าจอขาวดำ): 30 วัน
  • การใช้งานระหว่าง 2 โหมดผสมกัน: 2-30 วัน
• ประสิทธิภาพการกันน้ำ กันฝุ่น : มาตรฐาน IP68 สามารถอยู่ในระดับน้ำลึกได้ถึง 1.5 เมตรเป็นระยะเวลาสูงสุด 30 นาที (ไม่แนะนำให้ใส่ว่ายน้ำ)
• รับประกัน : 1 ปี

หรูหราใส่สบาย

ด้วยความที่เป็นสมาร์ทวอทช์ระดับท็อป ทำให้ TicWatch Pro มีความหรูหรา ดูดีหล่อเท่แบบจัดเต็ม สำหรับสมาร์ทวอทช์รุ่นที่ราคาย่อมเยากว่าจากแบรนด์เดียวกัน ตัวเรือนก็ทำจากวัสดุพลาสติก Polycarbonate สายยางซิลิโคน แต่กับรุ่น Pro นั้นขอบข้างตัวเรือนสแตนเลสสตีล ในส่วนอื่นๆ ของตัวเรือนทำจากโพลีอาไมต์ (Polyamide) เสริมความแข็งแกร่งด้วยวัสดุไฟเบอร์กลาส

ในส่วนของสายนั้นก็ความพิเศษ เพราะผิวด้านนอกของสาย โชว์หนังแท้สีดำเกรดพรีเมี่ยมจากอิตาลี (หมายเลข 1) เย็บเข้ากับส่วนของสายด้านในที่ต้องสัมผัสกับผิวของเราที่ทำจากวัสดุซิลิโคน (หมายเลข 2) ให้ความรู้สึกในการสวมใส่ที่สบาย และทางแบรนด์เขาเคลมว่าสายจะไม่ทำให้เกิดความระคายเคืองกับผิวหนัง และด้วยความที่สายทีผิวสัมผัสเป็นยางซิลิโคนทำให้ใส่นาฬิกาล้างมือได้โดยไม่รู้สึกอับที่ข้อมือมากมายเหมือนอย่างนาฬิกาที่เป็นสายหนัง

เราสามารถถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาของ TicWatch Pro ไปใช้สายที่มีขายตามร้านนาฬิกาทั่วๆ ไปได้ (สายขนาด 22 มม.) ง่ายๆ ด้วยการใช้ปลายเล็บดันปลดสลักล็อกแล้วแกะสายออก โดยถ้าเราเปลี่ยนไปใช้สายนาฬิกาเส้นอื่นอาจจะต้องเปลี่ยนตัวสลักล็อกสาย (ถ้าไม่อยากยุ่งยากก็จ้างร้านนาฬิกาทำให้ก็ได้นะ)

รู้สึกว่าตัวเรือน TicWatch Pro มีขนาดใหญ่เกินไปนิด สำหรับผู้ชายที่ข้อเล็กอย่างผม

ความรู้สึกในการสวมใส่ เนื่องจากตัวผมเองเป็นผู้ชายที่มีขนาดข้อมือค่อนข้างเล็ก พบว่าหน้าปัดนาฬิกานั้นใหญ่ล้นข้อมือไปเล็กน้อย คุณผู้หญิงที่ข้อมือเล็กถ้ามาสวมใส่สมาร์ทวอทช์เรือนนี้ก็น่าจะเกิดอาการล้นข้อมือไม่ต่างกัน ดูแล้วน่าจะเหมาะกับผู้ชายที่ขนาดข้อมือค่อนข้างใหญ่

ส่วนประกอบของ TicWatch Pro

ทางด้านหน้าตัวเรือนนาฬิกา มีส่วนประกอบดังนี้

1. หน้าปัดทรงกลมแบบขนาด 1.39 นิ้ว ที่เป็นการซ้อนกันของหน้าจอ ขาว-ดำ (ซ้อนอยู่ด้านบน) และหน้าจอสี (ซ้อนอยู่ด้านล่าง)
2. ปุ่ม Power เปิดหน้าปัดนาฬิกาเข้าสู่ Smart Mode และกดอีกครั้ง เป็นการเรียกแสดงแอปฯ ที่มีติดตั้งอยู่บนนาฬิกา
3. ปุ่มฟังก์ชั่น Function กดเพื่อเรียกใช้งานแอปฯ ที่เรากำหนดไว้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเราอาจจะตั้งให้ใช้ปุ่มนี้ในการเรียกแอป Google Fit หรือแอป TicHealth เพื่อเริ่มต้นการออกกำลังกายได้อย่างรวดเร็ว (เลือกแอปฯ ที่จะเรียกใช้งานอย่างรวดเร็ว โดยการกดปุ่มนี้ค้างไว้)

ทางด้านหลังตัวเรือนนาฬิกา มีส่วนประกอบดังนี้

1. เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
2. ขั้วไฟที่สัมผัสกับแท่นชาร์จ
3. รูรับเสียงไมค์ สำหรับการรับคำสั่งเสียงของระบบ Google Assistant และใช้ในการรับเสียงสนทนาโทรศัพท์เรา
4. ช่องเสียงลำโพง ใช้เป็น Speaker phone สำหรับการสนทนาโทรศัพท์ผ่านสมาร์ทวอทช์

แบตอึด สบายใจคนที่ไม่ชอบชาร์จบ่อยๆ

ปัญหาที่น่าอึดอัดใจอย่างหนึ่งสำหรับคนที่ใช้สมาร์ทวอทช์หน้าปัดใหญ่ๆ (ที่ไม่ใช่สมาร์ทแบนด์) คือ อาจต้องเสียบชาร์จแบตฯ กันแบบวันต่อวัน หรือเสียบชาร์จแบตฯ กับแบบวันเว้นวันไม่ต่างอะไรจากสมาร์ทโฟน

แสดงผลแบบหน้าจอขาวดำ ประหยัดพลังงาน

แต่กับ TicWatch Pro โดดเด่นด้วยหน้าจอแสดงผลแบบ 2 ชั้น สามารถสลับการแสดงผลไปมาระหว่างหน้าจอ LCD ขาวดำแบบ FSTN (Film compensated Super Twisted Nematic) และหน้าจอสี AMOLED ที่อยู่ด้านล่าง โดยหน้าจอ LCD ที่อยู่ทางด้านบนมีความโปร่งแสง และใช้พลังงานน้อย การแสดงผลเห็นได้ชัดเจนในสภาพแสงแบบกลางแจ้ง ซึ่งการใช้งานในแบบหน้าจอขาวดำ นั้นมีการแสดงเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น เวลา วันที่ เดือน จำนวนก้าวเดินในวันนี้ และระดับขีดแบตฯ (5 ขีดตรงขอบล่างหน้าจอ) และหน้าจอขาวดำจะเป็นการแสดงผลแบบเปิดค้างตลอดเวลา ไม่ต้องแตะหน้าจอ หรือกดปุ่มเพื่อที่จะดูเวลาเหมือนอย่างสมาร์ทวอทช์ทั่วๆ ไป (อารมณ์ไม่ต่างอะไรกับการใส่นาฬิกาข้อมือแบบหน้าปัดดิจิทัล)

แสดงผลแบบหน้าจอสีใน Smart Mode

และเมื่อเราต้องการออกกำลังกาย อ่านข้อความจากแอปฯ แชท หรือควบคุมการเล่นเพลงของสมาร์ทโฟน ให้เราให้กดปุ่ม Power ที่ตัวเรือนเพื่อเปิดเข้าสู่ Smart Mode ที่เป็นการแสดงผลแบบสีด้วยหน้าจอ AMOLED เต็มรูปแบบ ซึ่งจากการลองใช้งานผสมๆ กันระหว่าง 2 โหมดคือ ทั้งการแสดงผลผ่านหน้าจอขาวดำ และ Smart Mode พบว่าแบตฯ ในตัวนาฬิการองรับการ ใช้งานได้ในช่วง 2-5 วันต่อรอบการชาร์จ ขึ้นอยู่กับว่าออกกำลังกาย หรือเปิดหน้าจอเข้า Smart Mode บ่อยแค่ไหน

เมื่อเข้าสู่ Essential Mode จะเป็นการแสดงผลเฉพาะหน้าจอขาวดำตลอดเวลา

และสำหรับคนที่ต้องการประหยัดแบตฯ แบบสุดๆ หรือต้องไปพักค้างอ้างแรมไกลๆ จะไม่ได้เสียบชาร์จแบตฯ เป็นระยะเวลายาวนานหลายวัน เจ้า TicWatch Pro ก็มีสิ่งที่เรียกว่า Essential Mode (เข้าโหมดนี้ได้โดยกดปุ่ม Function ค้างไว้ แล้วเลือกเข้า Essential Mode) เป็นโหมดการใช้งานแบบประหยัดแบตฯ สุดๆ แสดงผลเฉพาะหน้าจอขาวดำตลอดเวลา บนหน้าจอมีการแสดง เวลา วันที่ เดือน จำนวนก้าวเดินในวันนี้ ระดับขีดแบตฯ และแสดงอัตราการเต้นหัวใจ (เมื่อเรากดปุ่ม Function) โดยใน Essential Mode จะไม่มีส่งการแจ้งเตือนใดๆ จากสมาร์ทโฟนมายังนาฬิกา ทำให้ TicWatch Pro เกือบจะกลายเป็นนาฬิกาหน้าปัดดิจิทัลธรรมดาๆ เรือนหนึ่งเมื่ออยู่ใน Essential Mode แต่ข้อดีมากๆ คือ สเปคเคลมว่า หากใช้งานเพียงเฉพาะใน Essential Mode แบตฯ จะสามารถใช้งานได้นานถึง 30 วันเลยทีเดียว

แท่นชาร์จแปะเข้ากับด้านหลังของตัวเรือนนาฬิกาด้วยแรงแม่เหล็กดูด

แท่นชาร์จของ TicWatch Pro ออกมาได้ดี แรงดูดแม่เหล็ก สามารถดูดติดตัวเรือนเข้ากับแท่นชาร์จได้อย่างแน่นหนา และนาฬิกาไม่ขยับหลุดออกจากแท่นได้ง่ายๆ ในกรณีที่มีอะไรมาสะกิดโดน และใช้เวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อชาร์จจากระดับแบตฯ 5% - 100% โดยที่ตัวสายนั้นสามารถเสียบชาร์จผ่านพอร์ต USB ของเครื่องคอมฯ หรือเสียบชาร์จกับอะแดปเตอร์ที่จ่ายไฟในแบบพอร์ต USB ได้เหมือนกับการเสียบชาร์จสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไป

ออกกำลังกายด้วย TicWatch Pro

ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนชอบออกกำลังกายด้วยการเดินตอนเช้า และตอนเย็นเป็นระยะทางเที่ยวละประมาณ 5 กม. และการออกกำลังกายด้วยเครื่อง อีลิปติคอล ครั้งละประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วแต่ว่ามีเวลามากน้อยขนาดไหนในแต่ละวัน

*****หน้าตาของเครื่องออกกำลังกายแบบ อีลิปติคอล หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ เครื่องเดินวงรี  เป็นการออกกำลังกายด้วยการขึ้นไปยืนบนเครื่องแล้วก้าวเดิน หรือเดินเร็ว ข้อดีคือมีแรงกระแทกน้อยกว่าการเดิน หรือวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า*****

เราสามารถสั่งเริ่มต้นการออกกำลังกายจากตัวนาฬิกาได้เลย โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเปิดเข้าแอพฯ ออกกำลังบนสมาร์ทโฟน โดยที่ตัวนาฬิกา TicWatch Pro ที่มาจากโรงงานจะรองรับการออกกำลังกายในรูปแบบของ TicWatch Health (ต้องติดตั้งแอปฯ Mobvoi บนสมาร์ทโฟน เพื่อรับการซิงค์ข้อมูลการออกกำลังกายจากนาฬิกา) และในอีกรูปแบบคือ การออกกำลังกายผ่านระบบ Google Fit (ซึ่งต้องติดตั้งแอปฯ Google Fit บนสมาร์ทโฟน เพื่อรับการซิงค์ข้อมูลการออกกำลังกายจากนาฬิกา)

ส่วนตัวแล้วผมชอบที่จะออกกำลังกายด้วยระบบของ Google Fit เพราะรองรับการใช้งานกับสมาร์ทวอชท์เพื่อการออกกำลังกายได้หลากหลายกว่าแบรนด์กว่า เพื่อในอนาคตเราอยากเปลี่ยนไปใช้สมาร์ทวอทช์ยี่ห้ออื่น ก็ใช้ระบบ Google Fit ต่อไปได้ และประวัติการออกกำลังกายที่เราสั่งสมมาอย่างยาวนาน ก็ยังเก็บไว้ได้ แต่ถ้าใช้ระบบของ Mobvoi เหมือนว่าเราถูกผูกมัดอยู่เฉพาะกับสมาร์ทวอทช์แบรนด์นี้ เมื่อเราต้องการเปลี่ยนสมาร์ทวอทช์ใหม่

กับการออกกำลังกายเดินกลางแจ้งด้วย TicWatch Pro บวกกับ Google Fit พบว่าถ้าสมาร์ทโฟนเราเปิดบลูทูธเชื่อมต่อกับนาฬิกาอยู่ นาฬิกาจะดึงข้อมูล GPS จากสมาร์ทโฟน เพื่อประหยัดแบตฯ ในตัวนาฬิกา แต่ถ้าเราเริ่มเดินออกกำลังกายโดยที่ไม่ได้เอามือถือติดตัวไปด้วย (หรือปิดสัญญาณบลูทูธของสมาร์ทโฟน) นาฬิกาก็จะใช้ GPS ในตัวเพื่อ จับพิกัดตำแหน่งและพล็อตแผนที่เส้นทางการเดิน หรือวิ่งของเรา โดยไม่ว่าจะเป็น การรับข้อมูล GPS จากสมาร์ทโฟน หรือการใช้เซ็นเซอร์ GPS ในตัวนาฬิกาเอง ก็สามารถจับตำพิกัดตำแหน่งของเราได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่วินาที เริ่มออกเดิน หรือวิ่งได้ทันทีเมื่อพร้อม ไม่ต้องเสียเวลารอ GPS ให้หงุดหงิด

ฟังก์ชั่นติดตามการเดินออกกำลังกายของ Google Fit สามารถพล็อตเส้นทางการเดินบนแผนที่ , แสดงระยะเวลาเดิน , ระยะทางเดิน , จำนวนก้าว , อัตราการเผาผลาญแคลอรี่ , อัตราการเต้นหัวใจเฉลี่ย , กราฟอัตราการเต้นหัวใจ , กราฟแสดงอัตราความเร็วการเดิน (นาที/ชม.) , กราฟแสดงการไต่ระดับระดับความสูง (Elevation)

เรื่องที่น่าสนใจคือ TicWatch Pro สามารถตรวจจับและเก็บข้อมูลการเดินระยะไกล อย่างเช่นการเดินไปกินข้าวกลางวัน หรือเดินชอปตลาดนัด ได้โดยที่เราไม่ต้องกดเริ่มเพื่อบันทึกการเดินออกกำลังกายด้วยตัวเอง ซึ่งสามารถบันทึกระยะทาง พล็อตเส้นทางบนแผนที่ และคำนวณอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ในการเดินครั้งนั้นได้ด้วย แต่ข้อสังเกตคือ การที่ปล่อยให้นาฬิกาจับการเดินของเราเองนั้น เซ็นเซอร์วัดชีพจรจะไม่ทำงาน ทำให้การคำนวณอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ อาจไม่แม่นยำ และการพล็อตเส้นทางการเดินบนแผนที่จะเกิดอาการรวนๆ พอสมควร ทำให้ระยะทางคลาดเคลื่อน เทียบกับการเดินออกกำลังกายที่เรากดเพื่อสั่งให้เริ่มต้นการเดินด้วยตัวเอง เซ็นเซอร์วัดชีพจรจะทำงานตลอดเวลา ทำให้คำนวณอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ได้แม่นยำกว่า และการพล็อตเส้นทางบนแผนที่ก็ยังแม่นยำกว่าด้วย เพราะฉะนั้นถ้าตั้งใจที่จะเดินหรือวิ่งออกกำลังกาย ให้กดที่นาฬิกาเพื่อเริ่มต้นการออกกำลังกายด้วยตัวเองไปเลยครับ

มาลองออกกำลังกายด้วยเครื่อง อีลิปติคอล กันบ้าง ด้วยความที่ระบบของ Google Fit มีประเภทของการออกกำลังกายให้เลือกใช้มากมาย เรียกว่ามีเยอะมากจนน่าเหลือเชื่อ รวมถึงมีการออกกำลังกายแบบ อีลิปติคอล ให้เลือกด้วย ทำให้กำหนดประเภทการออกกำลังกายได้ตรงแบบเป๊ะๆ เทียบกับนาฬิกาออกกำลังกายบางรุ่นที่มีรูปแบบการออกกำลังกายให้เลือกไม่มากนัก ก็ต้องเลือกประเภทเป็นแบบ Free training (การออกกำลังกายทั่วไป) กันไปแบบจำยอม

ในระหว่างที่ออกกำลังกาย เซ็นเซอร์วัดชีพจรทำงานตลอดเวลา บนหน้าจอนาฬิกา มีการแสดงค่า ระยะเวลาการออกกำลังกาย , อัตราการเต้นหัวใจ (HR) และ ค่าอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ แต่ไม่มีการแสดงให้เห็นว่าอัตราการเต้นหัวใจของเราขณะนั้นอยู่ในโซนใด (โซน 1-5) และเราสามารถกดหยุดพักการออกกำลังกายชั่วคราว เพื่อไปทำอย่างอื่น แล้วกดออกกำลังกายต่อได้เมื่อพร้อม

เมื่อออกกำลังกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว หน้าจอนาฬิกาจะแสดงการสรุปผลการออกกำลังกาย ซึ่งมีข้อมูลที่สำคัญคือ ระยะเวลาการออกกำลังกาย , อัตราการเผาผลาญแคลอรี่ , แสดงกราฟอัตราการเต้นหัวใจตลอดช่วงการออกกำลังกาย (มีแสดงอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด และต่ำสุดบนเส้นกราฟ) รวมถึงแสดง อัตราการเต้นหัวใจเฉลี่ยของการออกกำลังกายครั้งนั้น

หน้าจอสรุปผลการออกกำลังกายด้วยเครื่อง อีลิปติคอล ของแอป Google Fit บนสมาร์ทโฟน

หน้าจอสรุปผลการออกกำลังกายในแอป Google Fit บนสมาร์ทโฟน แสดงค่าพื้นฐานในลักษณะเดียวกับที่แสดงบนหน้าจอสรุปของนาฬิกา อาทิค่า ระยะทาง , จำนวนก้าว , อัตราการเผาผลาญแคลอรี่ , อัตราการเต้นหัวใจเฉลี่ย และกราฟอัตราการเต้นหัวใจตลอดช่วงการออกกำลังกาย แต่ไม่มีการแสดงค่าอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด/ต่ำสุด

แจ้งเตือน อ่านข้อความแชท

เปิดอ่านอีเมลบนแอคเคาน์ Gmail ผ่านหน้าจอ TicWatch Pro

เมื่อมีอีเมล หรือมีข้อความจากแอปแชท (อาทิ Line, Skype, Discord) เข้าที่สมาร์ทโฟน นาฬิกาก็จะสั่นเตือนเพื่อแจ้งให้เรารู้ว่ามีข้อความเข้า เราสามารถแตะหน้าจอเพื่อเข้าการแสดงผลแบบ Smart Mode เพื่ออ่านข้อความ โดยข้อสังเกตคือสามารถแสดงเนื้อหาข้อความจาก Gmail ได้ค่อนข้างยาว (แต่ถ้าข้อความยาวเกินไปก็แสดงได้ไม่หมดนะ)

ในส่วนการเปิดดูข้อความแชทฯ ผ่านหหน้าจอ TicWatch Pro นั้น สิ่งที่ชอบคือสามารถแสดงข้อความที่เพื่อนในกลุ่มแชทโต้ตอบกันได้ด้วย และด้วยความที่หน้าจอของสมาร์ทวอทช์เรื่อนนี้ สามารถแสดงข้อความยาวๆ ได้ ทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายว่าต้องหยิบมือถือขึ้นมา เพื่อพิมพ์ข้อความตอบกลับไปหรือไม่

ควบคุมการเล่นเพลงบนสมาร์ทโฟน ผ่านหน้าจอ TicWatch Pro

อีกหนึ่งความสะดวกสบายที่เราจะได้รับจาก TicWatch Pro สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงจากสมาร์ทโฟนคือ เราสามารถสั่ง เล่น/หยุดเล่นเพลง หรือกระโดดข้ามไปเล่นเพลงถัดไป (Skip next) หรือย้อนกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้าผ่านการแตะบนหน้าจอได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาควานหาสมาร์ทโฟนเพื่อควบคุมการเล่นเพลง โดยจากการทดลองใช้งานของเราพบว่าสมาร์ทวอทช์เรือนนี้ครอบคลุมการควบคุมเพลงกับแอปฯ ที่หลากหลาย อาทิ

• Google Play Music : รองรับการสั่ง เล่น/หยุดเล่นเพลง | การกระโดดกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้า/ข้ามไปเล่นเพลงถัดไป | ควบคุมระดับเสียง
• SoundCloud : รองรับการสั่ง เล่น/หยุดเล่นเพลง | การกระโดดกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้า/ข้ามไปเล่นเพลงถัดไป | ควบคุมระดับเสียง
• JOOX : รองรับการสั่ง เล่น/หยุดเล่นเพลง | ควบคุมระดับเสียง

สนทนาโทรศัพท์ผ่านสมาร์ทวอทช์เลย

สำหรับการเชื่อมต่อ TicWatch Pro ใช้งานกับสมาร์ทโฟน Android จะรองรับการสนทนาพูดคุยโทรศัพท์ผ่านตัวสมาร์ทวอทช์เลย เพราะที่ตัวสมาร์ทวอทช์มีทั้ง ไมค์ และ ลำโพง สำหรับการสนทนาพร้อมสรรพ นึกเล่นๆ ก็คล้ายนาฬิกาในหนังสายลับที่เราสามารถยกสมาร์ทวอทช์ขึ้นมาใกล้ๆ ปากเพื่อพูดคุยกับใครสักคนได้ แต่สำหรับคนที่ใช้งานกับ iPhone จะไม่สามารถสนทนาโทรศัพท์ผ่านตัวสมาร์ทวอทช์ได้นะ เพราะมีข้อจำกัดเรื่องการใช้งานกับระบบ iOS ของ iPhone

กับการลองใช้งานกับสมาร์ทโฟน Android เมื่อมีสายโทรเรียกเข้ามา ก็สามารถกดรับที่ตัวสมาร์ทวอทช์ได้เลย (รองรับเฉพาะการรับสายโทรเข้าปกติ ไม่รองรับการรับสายโทรเข้าจากแอปฯ แชทอย่าง Line) การโทรออกก็สามารถทำได้ที่ตัวสมาร์ทวอทช์ได้เลย ซึ่งจะเลือกโทรออกจากชื่อใน Contact หรือกดหมายเลขโทรออกด้วยตัวเองก็ได้

กับการลองใช้งานสนทนาโทรศัพท์ผ่านตัวสมาร์ทวอทช์ เสียงจากลำโพงในตัวนาฬิกาก็มีความดังในระดับที่จับใจความได้ แต่เสียงก็เบากว่าการเปิด Speaker phone ที่ตัวสมาร์ทโฟนอยู่พอสมควร คุณภาพของไมค์ก็ทำได้ดี คู่สนทนาได้ยินเสียงพูดของเราชัดเจน

บทสรุป TicWatch Pro

สมาร์ทวอทช์บนระบบ Wear OS ของ Google ที่ยืดหยุ่นรองรับการใช้งานกับแอปฯ บนสมาร์ทโฟนได้หลากหลาย และใช้งานได้กับทั้ง iPhone และสมาร์ทโฟนบนระบบ Android ที่ไม่ได้มีดีแค่ความฉลาด แต่ยังหรูหราด้วยวัสดุโลหะ และสายหนังแท้จากอิตาลี มี GPS ในตัวไม่ต้องพกมือถือไปวิ่ง/เดินออกกำลังกาย จับสัญญาณระบุตำแหน่งได้เร็ว มีเซ็นเซอร์วัดชีพจรที่แม่นยำ และที่เจ๋งสุดคือหน้าจอ 2 ชั้น รองรับการใช้งานได้นานหลายวันใน Essential Mode