ข้อดี
| ข้อสังเกต
|
กล้องติดรถยนต์ (Car Camera) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ขาดไม่ได้สำหรับการใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกหลักฐานตั้งแต่เรื่องอุบัติเหตุรถยนต์ทั้งของตนเองไปจนถึงเรื่องของชาวบ้าน และอาจจะเป็นอีกหนึ่งกล้องวงจรปิดบนท้องถนนที่คอยช่วยสอดส่องเหตุการณ์บ้านเมืองด้วย และอีกเทรนด์ก็คือรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีกล้องมองท้ายรถสำหรับการถอยจอด ที่สะดวกสบายยิ่งกว่าอะไรดี
ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีกล้องติดรถยนต์คู่หน้า-หลังให้เลือกมากมายในท้องตลาด แต่รุ่นที่เอามาพูดถึงในรีวิวนี้อย่าง VANGO D70 กล้องติดรถยนต์ที่ให้ความละเอียดสูงถึง 4K ในระดับราคา 4,xxx บาท ก็ถือว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
มาเริ่มที่ฟีเจอร์เด่นกันก่อนว่า VANGO D70 มีอะไรที่น่าสนใจและแตกต่างจากกล้องอื่นๆ ในท้องตลาดกันบ้าง?
VANGO D70 มากับความละเอียดวิดีโอที่ไม่ธรรมดา กล้องหน้า 4K ที่ให้ภาพที่มีรายละเอียดคมชัด รวมทั้งกล้องหลังก็ให้ความละเอียดสูงถึง 2K ที่เกินพอกับการใช้งาน
กล้องที่ดีต้องไม่ใช่แค่ภาพสวยตอนกลางวัน ซึ่ง VANGO D70 มีโหมดกลางคืนสำหรับบันทึกวิดีโอในที่มืดได้ ซึ่งมีทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังอีกด้วย
ไม่ต้องถอดเมมไปไหน ไม่ต้องโอนไฟล์ให้เสียเวลา โหลดแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ต่อ Wi-Fi กับกล้องแล้วเลือกดูไฟล์ เซฟไฟล์ได้เลย
ถึงแม้ว่ากล้องไม่มีแบตเตอรี่ในตัวจะทำให้ไม่สะดวกกับการใช้ Parking mode ระหว่างที่ดับเครื่อง แต่ก็อุ่นใจเรื่องความปลอดภัยจากความร้อนในบ้านเรา ที่อาจทำให้แบตเตอรี่กล้องเสียหายได้
VANGO D70 เป็นรุ่นที่ออกมาต่อจาก VANGO D50 ซึ่งมีหลายๆ ฟีเจอร์ถูกอัปเกรดขึ้นมา (และบางอย่างก็ถูกตัดทิ้ง) มาดูกันว่ามีอะไรที่ D70 แตกต่างจากรุ่นเดิมบ้าง ?
กล้องหน้าจาก Full HD ถูกอัปเกรดมาเป็น 4K รวมทั้งกล้องหลังก็มีความละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม แต่ตรงนี้จะมีข้อสังเกตเล็กน้อย ที่เมื่อปรับเป็นความละเอียด 4K แล้ว ค่าเฟรมเรทจะเหลือ 25fps ซึ่งถ้าอยากได้ภาพลื่นๆ แต่ไม่ห่วงเรื่องรายละเอียดมากนัก ก็สามารถตั้งค่าให้ VANGO D70 ปรับความละเอียดวิดีโอเป็น Full HD หรือ 2K เพื่อให้ได้ค่าเฟรมเรทที่สูงขึ้นได้
เพื่อให้สามารถบันทึกไฟล์ 4K ได้ประหยัดพื้นที่มากขึ้น VANGO D70 จึงอัปเกรดไฟล์วิดีโอ .MP4 เป็นมาตรฐานใหม่ .H265 ซึ่งสามารถลดขนาดไฟล์ UHD หรือ 4K จาก .H264 ได้มากถึง 64% (และลดขนาดไฟล์ Full HD ได้มากถึง 57%)
เดิม D50 มีขนาดหน้าเลนส์กว้าง 170 องศา แต่ VANGO D70 ลดลงมาเหลือ 160 องศาซึ่งแคบขึ้นมา แต่ก็มีเหตุผลที่ลดความกว้างลงมาอยู่ ก็เพื่อลดขอบภาพที่บิดเบี้ยว (Distortion) ที่มักจะเกิดขึ้นจากเลนส์มุมกว้าง อย่างไรก็ตาม 160 องศา ก็ยังเป็นมุมกล้องที่มองเห็นเลนถนนครอบคลุมทั้งด้านซ้ายและขวา
VANGO D70 มีขนาดหน้าจอที่เล็กกว่า D50 อยู่ 1 นิ้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ข้อเสียของ D70 แต่อย่างใด เพราะการลดขนาดหน้าจอก็ทำให้ได้ตัวกล้องที่ขนาดกะทัดรัดขึ้น และเราก็คงใช้หน้าจอนี้ในการเล็งมุมกล้องตอนติดตั้งครั้งแรก รวมถึงการตั้งค่าเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถ้าจะดูไฟล์จากกล้อง การดูผ่านสมาร์ทโฟนก็น่าจะเป็นอะไรที่สะดวกกว่า
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ VANGO D70 ได้เปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบ IPS ซึ่งเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งของหน้าจอ LCD ที่ให้สีสันที่แม่นยำและคมชัดกว่าจอ LCD ทั่วๆ ไป
สำหรับอุปกรณ์ในกล่องของ VANGO D70 ประกอบไปด้วย
*สินค้าตัวที่ได้รับเป็นตัวรีวิว จึงไม่ได้มีตัวสายเชื่อมต่อ USB มาด้วย แต่จะมีให้ภายในกล่องครับ
ตัวกล้องมีดีไซน์เป็นทรงสี่เหลี่ยมที่เรียบง่าย ด้วยหน้าจอที่มีขนาดเล็กกว่ารุ่นเก่าจึงมีขนาดเล็กกะทัดรัดลงไปอีก ด้านหน้าเป็นลำโพงตรงสัญลักษณ์ UHD 4K ซึ่งเป็นจุดขายของกล้องตัวนี้ ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบาเพราะไม่มีแบตเตอรี่ในตัว
ด้านข้างทั้งซ้ายและขวาประกอบไปด้วยปุ่มใช้งานต่างๆ สัมผัสปุ่มก็ตามสไตล์ของกล้องติดรถยนต์ในระดับราคานี้ ด้านบนเป็นช่องเสียบกล้องหลัง, mini USB สำหรับจ่ายไฟ และช่องต่อกับตัวติดตั้ง ส่วนด้านล่างเป็นไมโครโฟนและช่องรีเซ็ต
สายอะแดปเตอร์จะมีแถบ GPS ติดมาด้วย สายยาวพอสมควร อ้อมกรอบหน้าต่างรถไม่ให้เกะกะได้สบายๆ
ส่วนกล้องหลังดีไซน์สี่เหลี่ยมลูกบาศก์ไม่มีอะไรโดดเด่น (ก็ไม่จำเป็นต้องโชว์ตัวอยู่แล้ว) ปรับมุมก้มเงยได้ มีช่องสำหรับใช้สกรูฝังกับรถได้ แต่แค่ติดกาว 3M ก็น่าจะพอ ซึ่งกล้องหลังมีมาตรฐานกันน้ำ IP68 ด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องกล้องเปียก ไม่ว่าจะฝนตกหรือขับรถลุยน้ำเลย
สำหรับการติดตั้ง ตัวกล้อง VANGO D70 มาพร้อมกับตัวติดตั้งแบบติดกระจกหน้ารถ ส่วนกล้องหลังมีสายยาวถึง 5 เมตร สามารถใช้กับรถตู้ได้สบายๆ ซึ่งการติดตั้งกล้องหลังนี้จะเป็นการติดด้วยกาว 3M ก็ได้ นอกจากนี้ตัวกล้องจะมีตัวรับสัญญาณ GPS แยกต่างหากจากตัวกล้องด้วย ซึ่งตัวนี้สามารถใช้งานทะลุฟิล์มปรอทได้ จึงไม่จำเป็นต้องตัดฟิล์มออกเหมือนกับการใช้งาน Easy Pass ทางด่วนครับ ติดกับกระจกเพื่อรับสัญญาณได้เลย
ตัวกล้องไม่มีแบตเตอรี่ในตัวจึงสามารถใช้งานได้เมื่อสตาร์ทรถเท่านั้น ซึ่งก็มีข้อดีกับการใช้งานในเมืองร้อนบ้านเราที่ไม่ต้องกังวลว่าความร้อนจะทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายเพราะไม่มีแบตเตอรี่ แต่ก็ต้องแลกกับการที่เครื่องไม่มีโหมดการใช้งานขณะจอดรถ เช่นการตรวจจับความเคลื่อนไหวผิดปกติหรือแรงสั่นสะเทือน
แต่ถ้าจะเปิดกล้องดูระหว่างที่ดับรถ ก็สามารถเปลี่ยนสายชาร์จแบบเสียบที่จุดบุหรี่เป็น สาย USB ที่ให้มาในกล่องเสียบกับแบตเตอรี่สำรอง (Power Bank) ได้นะครับ
สำหรับการ์ดความจำในการใช้งานเป็นขนาด microSD Card ซึ่งเมื่อตัวกล้องรองรับความละเอียดสูงสุดถึง 4K จึงขอแนะนำให้ตัวการ์ดควรเป็นระดับ Extreme Pro Class10 ที่มีความสามารถในการอ่านเขียนข้อมูล 80 MB/s ขึ้นไป และรองรับความจุมากที่สุด 256 GB
MicroSD Card ที่ใช้ต้องคลาสสูงหน่อย เพื่อให้รองรับ 4K
แต่ถ้าไม่รู้ว่าการ์ดไหนจะรองรับการทำงานกับ กล้องติดรถยนต์ VANGO D70 บ้าง ทางแบรนด์ก็มีการ์ด MicroSD ของแบรนด์ให้เลือกซื้ออยู่เช่นกัน ที่มีให้เลือกทั้งความจุ 32 GB และ 128 GB ระดับ Class 10 และมีความเร็วในการเขียนข้อมูลที่ 90 MB/s
เครดิตภาพจาก https://www.robinson.co.th/en/vango-32gb-class-10-micro-sd-memory-card-for-dedicated-cameras-mkp0077156
และ https://www.robinson.co.th/en/vango-128gb-class-10-micro-sd-memory-card-specifically-for-cameras-mkp0077155
พอกล้องติดรถยนต์ไม่มีแบตเตอรี่ ก็เลยไม่มีพวกฟังก์ชั่น Parking มาให้ต้องศึกษากันยุ่งยากมากขึ้น เรียกว่าสำหรับ VANGO D70 ก็คือติดตั้ง เซ็ตค่านิดหน่อย ก็ใช้งานได้เลย ส่วนที่ต้องศึกษาก็คงเป็นแอป RoadCam ที่ไม่ได้เป็นแอปพลิเคชั่นเฉพาะของแบรนด์ แต่ก็สามารถใช้งานร่วมกับกล้องได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนอื่นมาดูคุณภาพของภาพที่ได้จากกล้องกันดีกว่า
กล้องของ VANGO D70 ถูกปรับความกว้างลดลงจากรุ่นที่แล้วมาเป็น 160 องศา ซึ่งดูเผินๆ จากตัวเลขก็อาจจะดูเล็กลงกว่ารุ่นที่แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็ยังถือว่าเป็นมุมกล้องที่กว้างอยู่ สามารถมองเห็นเลนถนนด้านข้างได้อย่างครอบคลุม และขอบภาพโค้งๆ ก็ไม่บิดเบี้ยวมากเท่ากล้องที่องศาเลนส์กว้างๆ (สังเกตได้จากเสาไฟฟ้าด้านซ้ายของรูปด้านล่าง จะโค้งเล็กๆ เท่านั้น)
ส่วนความละเอียด 4K ที่ได้จากกล้อง VANGO D70 ก็ค่อนข้างประทับใจ เปิดวิดีโอที่บันทึกมานั่งดูก็รู้สึกเต็มอิ่มเล็กๆ ที่เห็นรายละเอียดต่างๆ ของภาพชัดเจน ไม่เละเป็นวุ้นเหมือนกล้องความละเอียดน้อยๆ (กดที่ภาพเพื่อดูรายละเอียดขนาดใหญ่ได้) แต่ถ้าจะให้เทียบกับกล้องถ่ายภาพหรือกล้องสมาร์ทโฟนตัวท็อปๆ รายละเอียด 4K ที่ได้จากกล้องติดรถยนต์นี้ก็ไม่ได้เนียบกริบขนาดนั้นนะ แต่ก็ถือว่าประทับใจอยู่ไม่น้อยสำหรับในตลาดกล้องติดรถยนต์
ภาพจากกล้องหน้า VANGO D70 ความละเอียด 4K (คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
บางทีภาพที่ได้ก็สว่างไปนิด แต่ในกล้องสามารถปรับลด EXPOSURE ลง เพื่อให้แสงสว่างลดลงได้
ระยะที่ยังพอมองเห็นทะเบียนของรถคันหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 10 เมตร ซึ่งอาจจะไม่ได้คมชัดเท่ากับคันที่อยู่ใกล้ๆ รถ แต่ก็ยังพอมองเห็นตัวเลขเป็นรูปเป็นร่างอยู่ (เพราะถ้าไกลกว่านี้ เลขทะเบียนก็จะเริ่มไม่เป็นตัวเลขแล้ว) ก็เป็นระยะที่ค่อนข้างไกลพอสมควรกับการใช้งานนะ ถ้าจะเก็บหลักฐานรถคู่กรณี ก็ต้องมีจังหวะที่เข้าใกล้กว่านี้ เห็นทะเบียนชัดกว่านี้แน่นอน
ระยะ 10 เมตร ก็ยังเป็นช่วงที่พอมองเห็นอยู่ (คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
ในช่วงกลางคืนมักจะเป็นข้อจำกัดของกล้องต่างๆ อยู่แล้ว ว่าจะไม่สามารถแสดงศักยภาพได้ดีเท่ากับตอนกลางวัน แต่ VANGO D70 ก็ยังสามารถเก็บแสงและสีสันของภาพได้ดีในระดับหนึ่ง แม้กระทั่งบนถนนที่มืดสนิทก็ยังเห็นภาพได้อย่างชัดเจน แต่ด้านรายละเอียดต่างๆ อย่างป้ายทะเบียนรถ จะเห็นกับรถที่จอดหรือวิ่งช้าๆ อยู่ในระยะใกล้ๆ เท่านั้น แต่ถ้าวิ่งเร็วไปหรือไกลออกไป จะพบว่ากล้องไม่สามารถจับทะเบียนได้ครับ
ระยะภาพตอนกลางคืนที่มองเห็นทะเบียนชัดๆ (คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
ส่วนกล้องหลังพอมีความละเอียดต่างจากกล้องหน้า ก็เห็นความละเอียดที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน แต่ก็ถือว่าได้ความละเอียดสูงอยู่ สำหรับระยะของทะเบียนที่เห็นชัดๆ ก็จะอยู่ช่วงตามที่เห็นในภาพ ส่วนความกว้างของเลนส์อยู่ที่ 140 องศา ซึ่งก็ครอบคลุมถนนทั้ง 3 เลนอยู่ไม่น้อย หรือจะใช้กล้องในการมองหลังถอยรถก็ได้อยู่
อีกข้อสังเกตเล็กๆ ก็คือเลนส์ของกล้องหลังจะสีนัวๆ หน่อย ไม่ได้ใสเหมือนกับกล้องหน้า (ซึ่งแอบรู้สึกว่าเก็บรายละเอียดบริเวณแสงล้นๆ ได้ดีกว่า แบบฟิลเตอร์ ND ของเลนส์กล้องถ่ายรูปที่จะช่วยกรองแสง) และไม่ต้องห่วงเรื่องถ่ายกล้องหลังจะป้ายทะเบียนกลับหลัง เพราะตัวกล้องมีฟังก์ชั่นให้กลับภาพได้ ตัวเลขจะได้ไม่กลับหัวครับ
ระยะไกลสุดที่ยังพอมองเลขออก (คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
เช่นเดียวกันกับกล้องหน้า ในตอนกลางคืนการเก็บรายละเอียดภาพจะค่อนข้างจำกัดซึ่งเป็นธรรมชาติของระบบกล้องในตลาด ในส่วนของป้ายทะเบียน กล้องจะสามารถเก็บได้หากรถเคลื่อนที่ช้าในระดับหนึ่ง ถ้าวิ่งเร็วๆ ก็จะไม่สามารถเก็บรายละเอียดนี้ได้ แต่ด้านความสว่างก็ถือว่าเก็บสีสันได้ดีทีเดียวสำหรับกล้องติดรถยนต์
กล้อง VANGO D70 สามารถปรับความละเอียดได้ 2 ระดับ ได้แก่ กล้องหน้า 4K + กล้องหลัง 1080p และ กล้องหน้า 2K + กล้องหลัง 2K ซึ่งเป็นข้อสังเกตนิดๆ ที่จะเห็นได้ว่าความละเอียดระหว่างกล้องหน้า-หลังจะแปรผันแบบผกผันกัน พอกล้องหน้าความละเอียดสูง กล้องหลังจะได้ความละเอียดต่ำกว่า แต่ถ้าปรับกล้องหน้าลดลง ความละเอียดกล้องหลังจะสูงขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นในส่วนของการปรับความละเอียดกล้องหน้า 4K (กล้องหลัง 1080p) ก็ยังใช้พื้นที่ในการบันทึกมากกว่าความละเอียดกล้องหน้า 2K (กล้องหลัง 2K) อยู่ดี โดยในส่วนของความละเอียด 4K จะสามารถอัดวิดีโอบนการ์ด microSD ความจุ 256GB ได้ประมาณ 12 ชั่วโมง ส่วนความละเอียด 2K จะสามารถอัดวิดีโอบนการ์ดความจุเดียวกันได้ประมาณ 26 ชั่วโมง
*ความจุในการบันทึกวิดีโอบนการ์ดคิดจากการเทียบอัตราส่วนที่ได้จากไฟล์ในการทดสอบกล้อง ซึ่งมีดังนี้
แต่ไม่ต้องห่วงว่าการอัดวิดีโอเรื่อยๆ จะทำให้การ์ดเต็ม เพราะว่าตัวกล้องมีฟังก์ชั่นในการอัดซ้ำอยู่ โดยเราสามารถตั้งได้ว่าจะให้อัดทับทุกๆ 1 - 5 นาทีได้ (ส่วนวิดีโอฉุกเฉินต้องคอยเคลียร์ เพราะไฟล์เหล่านี้จะถูกล็อกเอาไว้ ไม่สามารถให้กล้องลบเองได้)
แน่นอนว่าสำหรับกล้องหน้า การเปลี่ยนมาเป็น 2K ก็เป็นการลดเนื้อไฟล์หรือความละเอียดลง แต่ในด้านการให้รายละเอียดก็จะคล้ายๆ กับ 4K คือตอนกลางวันป้ายทะเบียนอยู่ไกลระดับหนึ่ง ก็ยังพอมอเห็นได้ ส่วนในเวลากลางคืนก็ต้องให้รถคันหน้าเข้ามาใกล้พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าไม่ติดความละเอียด 4K เอาจริงๆ แล้ว 2K ก็ไม่ใช่ความละเอียดที่น่าเกลียดอะไรนะ
การปรับความละเอียด 2K ส่งผลดีต่อกล้องหลังที่มีความละเอียดมากขึ้น ซึ่งก็สัมผัสได้ว่าเนื้อไฟล์ 2K มีความคมชัดมากกว่า 1080p ในความเห็นส่วนตัวคือ ถ้าอยากใช้งานทั้งกล้องหน้าและหลังอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ปรับความละเอียดเป็น 2K จะดีกว่า แต่ถ้าไม่ได้สนใจกล้องหลังอยู่แล้ว เน้นกล้องหน้าเป็นหลัก ก็ปรับเป็น 4K+1080p ได้เลย
ความสะดวกของ VANGO D70 ก็คือการที่มี Wi-Fi Direct ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แล้วเลือกที่จะดูวิดีโอภายในกล้องหรือโหลดออกมาได้ทันที ไม่ต้องถอดกล้องหรือการ์ดไปต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อดึงไฟล์อีกที โดยการเชื่อมต่อจะทำผ่านแอปพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า RoadCam ที่มีให้ดาวน์โหลดทั้ง iOS และ Android
เมื่อเชื่อมต่อกับกล้องเรียบร้อย ก็กดผ่านแอป Roadcam ได้เลย
สำหรับการเชื่อมต่อ เราต้องทำการเชื่อมต่อ Wi-Fi ของสมาร์ทโฟนเข้ากับตัวกล้องก่อน โดยตัว Wi-Fi ของกล้องจะชื่อว่า 'himc_xxxxxxxxxxxx' (x แทนรหัสประจำตัวกล้อง) ส่วนรหัส Wi-Fi สามารถดูในส่วนของการตั้งค่ากล้อง จากนั้นค่อยเข้าไปในแอป RoadCam และกดเชื่อมต่อกับกล้อง
*มีข้อสังเกตเล็กๆ ระหว่างการทดลองใช้ ก็คือเราหา Wi-Fi ของตัวกล้องไม่เจอ ตอนแรกเข้าใจว่าเข้าหน้า Wi-Fi ของตัวกล้อง มือถือก็จะสามารถจับสัญญาณได้เลย แต่จริงๆ แล้วคือ ต้องเปิดสัญญาณ Wi-Fi จากตัวกล้องก่อน โดยการกดที่ปุ่ม 'เลื่อนขึ้น' (^) ค้างไว้ Wi-Fi ก็จะขึ้นให้เชื่อมต่อ
สัญญาณว่าเปิด Wi-Fi ตัวกล้องแล้ว
ส่วนการใช้งานแอป RoadCam เราสามารถทำได้ทั้งการสั่งการตัวกล้องให้อัดวิดีโอถ่ายภาพ เลือกดูภาพแบบเรียลไทม์ เรียกดูไฟล์ที่บันทึกไว้ และตั้งค่าส่วนต่างๆ ของกล้องเพิ่มเติมได้
ตัว GPS จะสามารถแสดงความเร็วแบบเรียลไทม์ระหว่างขับรถบนกล้องได้ รวมทั้งโชว์พิกัดละติจูด/ลองจิจูดบนภาพ/วิดีโอ และตำแหน่งจะถูกฝังไว้ในวิดีโอให้สามารถเปิดดูตำแหน่งของรถในช่วงที่ทำการบันทึกวิดีโอได้ผ่านทางแอป RoadCam หรือจะไปเปิดกับโปรแกรมเล่นวิดีโอสำหรับกล้องติดรถยนต์เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมก็ได้
พิกัดละติจูด ลองจิจูดและความเร็วรถที่แสดงผลบนไฟล์วิดีโอ
VANGO D70 รองรับการบันทึกวิดีโอเป็นไฟล์ .MP4 ด้วยการเข้ารหัสใหม่ .H265 ซึ่งจะทำให้มีขนาดไฟล์เล็กลงกว่าครึ่ง ไม่ว่าจะเป็น 1080p, 2K หรือ 4K แต่ด้วยการที่เป็นของใหม่จึงทำให้หลายๆ โปรแกรมเล่นวิดีโออาจจะยังไม่รองรับ หรือต้องติดส่วนเสริมเพิ่มเข้าไปแทนเพื่อให้สามารถเล่นไฟล์ .MP4 ใหม่ได้ แต่ตัวกล้องก็มีทางเลือกให้เราสามารถบันทึกด้วยไฟล์ .MP4 ด้วยการเข้ารหัสเดิมอย่าง .H264 ได้เช่นกัน
G-Sensor เป็นฟังก์ชั่นในการตรวจจับแรงกระแทกและบันทึกวิดีโอเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่แนะนำให้เปิดในระดับต่ำเอาไว้จะดีกว่า (หรือปิดไปเลยก็ได้ แล้วเปิดเฉพาะเวลาจอดรถ) เพราะถนนบ้านเราก็ไม่ค่อยจะมีช่วงไหนที่แรงกระแทกน้อยๆ ซึ่งก็จะมีวิดีโอฉุกเฉินอัดออกมาเต็มไปหมดแน่ๆ
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่ากล้องไม่มีแบตเตอรี่ในตัว จึงต้องใช้การจ่ายไฟจากรถเพื่อเปิดกล้อง ซึ่งถ้าเป็นรถที่ตัวจ่ายไฟเป็นแบบ Always-on ก็สามารถใช้งานได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่
ซึ่งลักษณะของ Parking Mode ก็จะทำงานคู่กับ Motion Detect และ G-sensor เมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหวหรือแรงกระแทก วิดีโอก็จะถูกบันทึกเอาไว้นั่นเอง
จริงๆ แล้วการเข้า Playback หรือเมนูเล่นไฟล์ที่บันทึกบนตัวกล้องก็ไม่ได้ยากอะไร แต่เป็นเมนูที่เราหาไม่เจอตอนกำลังทดสอบกล้อง จึงขอเขียนเอาไว้เป็นข้อสังเกตไว้สักหน่อย (เผื่อจะมีใครหาไม่เจอเหมือนกัน)
สำหรับการเข้าเมนูเล่นไฟล์ที่บันทึก ทำได้โดยการกดปุ่ม Mode ค้างเอาไว้ 2 รอบ รอบแรกจะเปลี่ยนจากโหมดบันทึกวิดีโอเป็นภาพนิ่ง ส่วนรอบที่สองจะเปลี่ยนเป็นภาพนิ่งเป็นโหมดเล่นไฟล์ที่บันทึก แต่ติดปัญหาที่ว่าเราจะไม่สามารถเปลี่ยนโหมดได้ระหว่างการบันทึกวิดีโอ ซึ่งตัวกล้องจะทำการบันทึกวิดีโออัตโนมัติเมื่อทำการสตาร์ทรถ เราจึงต้องเช็คให้แน่ใจก่อนว่าหยุดบันทึกวิดีโอแล้ว (กดปุ่ม OK เพื่อหยุดบันทึก) จึงจะเปลี่ยนโหมดได้
แต่เอาจริงๆ แล้วถ้ามีสมาร์ทโฟนก็ใช้สมาร์ทโฟนดูวิดีโอจะสะดวกกว่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นขนาดหน้าจอ การควบคุมการเล่นต่างๆ รวมทั้งการจับถือที่ง่ายกว่าอีกด้วย
เช็ควิดีโอผ่านสมาร์ทโฟนสะดวกกว่าเยอะ
กล้องติดรถยนต์ VANGO D70 เป็นกล้องติดรถยนต์อีกรุ่นหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย หลังจากที่ได้ลองเอาไปใช้งานและเอาไฟล์ 4K มาเปิดดูครั้งแรกก็ค่อนข้างประทับใจกับรายละเอียดที่เห็น รวมทั้งมีการเข้ารหัสไฟล์ .H265 ที่ทำให้ไฟล์วิดีโอมีขนาดไม่ใหญ่เกินไป เมื่ออัดด้วยความละเอียดสูง ส่วนการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนด้วยแอป RoadCam ก็ทำได้ง่ายและค่อนข้างสะดวกสบาย การไม่มีแบตเตอรี่ในตัวที่ดูเหมือนจะเป็นข้อด้อยของกล้องติดรถยนต์ กลับให้ความอุ่นใจกับการใช้งานมากกว่าอีกด้วย ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
|
... |