รีวิว POMO Kids moji นาฬิกาป้องกันเด็กหาย แถมยังโทรศัพท์ได้ คุ้มกว่าซื้อสมาร์ทโฟนให้เด็ก

ความกังวลใจอย่างหนึ่งของผู้ปกครองในยุคสมัยนี้คือเป็นห่วง หรือกลัวว่าลูกหลานจะถูกล่อลวง หรือถูกลักพาตัว ทำให้ผู้ปกครองจำเป็นต้องซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูกหลานไว้ใช้งาน เพื่อใช้โทรสอบถามความเป็นไปผ่อนคลายความกังวล ซึ่งก็เสี่ยงกับการที่เด็กจะทำโทรศัพท์หาย โดนลักขโมย หรือเด็กอาจเอาโทรศัพท์ไปเล่นเกมส์จนไม่สนใจเรียน 

วันนี้เรามีอุปกรณ์ดีๆ มาแนะนำกันครับ POMO Kids moji เป็นนาฬิกาสำหรับเด็ก ที่มีความอัจฉริยะ ทำให้คุณสามารถตรวจสอบตำแหน่งของบุตรหลานได้ทุกเมื่อด้วยระบบ GPS แถมยังสามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ ที่เด็กๆ จะโทรออกรับสาย หรือส่งข้อความเสียงหากันก็ยังได้ และเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็มีปุ่ม SOS เพื่อให้เด็กๆ ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือตรงมายังสมาร์ทโฟนของผู้ปกครอง ซื้อนาฬิกาตัวนี้ให้ลูกหลานใช้แล้วอุ่นใจแน่นอนครับ และราคาขายเพียง 3,990 บาท คุ้มค่ากว่าการซื้อโทรศัพท์มือถือให้บุตรหลาน เหมาะสำหรับเด็กอายุ 4-12 ปี

คุณสมบัติของ POMO Kids moji

• หน้าจอสี LCD 0.64 นิ้ว
• CPU  MT6261A single Core
• รองรับการใช้งานกับทั้งซิมของ AIS, dtac และ TrueMove H
• เทคโนโลยีการระบุตำแหน่ง GPS, A-GPS และ Wi-Fi
• กันน้ำได้ตามมาตรฐาน IP54 แต่ไม่ควรใส่นาฬิกาอาบน้ำ หรือลงเล่นน้ำ
• น้ำหนัก 40g​
• สมาร์ทโฟนของผู้ปกครองที่จะใช้งานร่วมกับ POMO Kids moji จะต้องเป็น iPhone, iPad ที่รันระบบปฏิบัติการ iOS 7.0 ขึ้นไป หรือสมาร์ทโฟนที่รันแอนดรอยด์ 4.0 ขึ้นไป

แกะกล่อง POMO Kids moji

นาฬิกา POMO Kids moji บรรจุมาในกล่องกระดาษที่วาดลวดลายสวยงามน่ารักเหมาะกับเด็กๆ เลยทีเดียว

มีให้เลือกซื้อ 3 สี เหลือง, ชมพู และฟ้า

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็มี

1. นาฬิกา POMO Kids moji
2. สายเสียบชาร์จนาฬิกาผ่านพอร์ต USB หรืออะแดปเตอร์ (แต่ไม่มีอะแดปเตอร์แถมมาให้)
3. ตัวตุ๊กตา Emoticon สำหรับติดเข้ากับช่องห่วงที่สายนาฬิกา หรือเอาไว้ติดกับรูกระดุมบนเสื้อนักเรียนของเด็กๆ ก็ได้ ^^
4. หนังสือแผ่นพับคู่มือภาษาไทย อธิบายขั้นตอนการติดตั้ง และวิธีการใช้งานแบบกระชับ เข้าใจง่าย

ดีไซน์ของ POMO Kids moji

หมายเลข 1 ช่องใส่ซิมการ์ดขนาด micro รองรับการใช้งานกับทั้งซิมการ์ดของระบบ AIS, dtac และ TrueMove H และเนื่องจาก POMO Kids moji นอกจากจะใช้โทรออกรับสายได้แล้ว ยังใช้รับส่งข้อความเสียง และส่งพิกัด GPS ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือด้วย ดังนั้นซิมที่จะนำมาใช้งาน ต้องมีการเปิดใช้งานแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต 3G/4G แบบรายเดือนด้วย แต่ให้เลือกใช้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตแบบที่เสียค่าบริการรายเดือนต่ำสุดก็พอแล้ว เนื่องจากข้อมูลที่รับ/ส่งกับ POMO Kids moji ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตครับ

หมายเลข 2 เป็นช่องไมค์สำหรับการสนทนาโทรศัพท์ และ หมายเลย 3 เป็นช่องลำโพงสำหรับการสนทนาโทรศัพท์ โดยที่การสนทนาโทรศัพท์ผ่าน POMO Kids moji ต้องทำเหมือนท่าเหมือนกับที่เราเคยเห็นในหนังสายลับ หรือการ์ตูนยอดมนุษย์ 5 สีเลยครับ คือให้ยกนาฬิกาใกล้ๆ ปากแล้วคุยได้เลย เสียงการพูดคุยก็ชัดเจนดีมากๆ ทั้ง 2 ฝั่ง ด้วยรูปแบบการใช้งานที่ดูสนุกๆ เด็กๆ น่าจะชอบครับ

หมายเลข 1 ปุ่ม SOS กดค้างไว้ 2 วินาทีเพื่อการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังสมาร์ทโฟนของผู้ปกครอง และยังใช้เป็นปุ่ม Back เพื่อย้อนกลับไปเมนูก่อนหน้า หมายเลข 2 ปุ่มขนาดเล็กสีเงิน ต้องใช้ปลายปากกาหรือปลายเข็ม กดค้างไว้เพื่อเปิด/ปิดการทำงานของนาฬิกา และ หมายเลข 3 ปุ่ม W เป็นปุ่มยืนยัน กดเพื่อเลือกเลขหมายที่ต้องการโทรออก และกดเพื่อเลือกเมนูการทำงานต่างๆ

หมายเลข 1 ช่องเสียบสายชาร์จแบบยึดติดด้วยแรงแม่เหล็กดึงดูด ที่ต้องเสียบชาร์จผ่านสายชาร์จแบบเฉพาะที่มีแถมมาให้ในกล่อง สายนาฬิกาเป็นแบบยางอ่อนนุ่ม ขนาดความยาวสายออกแบบมาให้พอดีสำหรับข้อมือเด็ก แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่ข้อมือเล็กๆ ก็ยังใส่นาฬิกาเรือนนี้ได้สบายๆ ครับ

สเปกระบุว่าติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 600mAh ต่อรอบการชาร์จ จากการลองใช้งานจริง ก็ต้องบอกว่าใช้งานได้นานจริงครับ ไม่ต้องเสียบชาร์จกันทุกวันเหมือนสมาร์ทโฟน

POMO Kids moji ออกแบบเมนูต่างๆ ให้เด็กๆ ใช้งานได้ง่ายและไม่ซับซ้อน โดยปุ่มคีย์ขวา หมายเลข 1 ใช้เลือกเลขหมายในสมุดโทรศัพท์ที่ต้องการโทรออก (สามารถกำหนดเลขหมายให้โทรออกได้ 10 รายชื่อ) และคีย์ซ้าย หมายเลข 2 กดเพื่อเลือกเมนูต่างๆ อาทิ สมุดโทรศัพท์, ข้อความเสียง, เพิ่มเพื่อน และเปลี่ยนธีม (มีสีพื้นหลังหน้าจอให้เลือก 4 สี คือ ฟ้า, เขียว, ส้ม, ชมพู)

โดยที่ในขณะปกติ หน้าจอจะปิดเพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน และเมื่อต้องการดูเวลาก็ให้กดที่ปุ่ม W หรือปุ่ม SOS หน้าจอก็จะติดสว่างขึ้น

เริ่มต้นใช้งาน POMO Kids moji

ก่อนที่นาฬิกา POMO Kids moji จะใช้งานได้ ก็ต้องทำการติดตั้งแอป POMO moji ลงใน iPhone หรือแอนดรอยด์สมาร์ทโฟนของผู้ปกครองเสียก่อน แล้วทำการลงทะเบียนเข้าระบบ นาฬิกาถึงจะใช้งานได้ครับ โดยดาวน์โหลดแอปได้ที่นี่เลย
 

เมื่อติดตั้งแอปเรียบร้อยแล้ว เปิดแอปขึ้นมาครั้งแรก ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการลงทะเบียน

ให้แตะที่ ลงทะเบียน และในหน้าจอถัดมาให้ใส่อีเมลที่ต้องการใช้ในการลงทะเบียน แล้วคลิกที่ปุ่มสีฟ้า ระบบของ POMO ก็จะทำการส่ง รหัสยืนยันการลงทะเบียน ไปที่อีเมลของเรา

ให้เช็คอีเมลที่ทาง POMO ส่งมาให้เรา จะเห็นว่ามีการส่งรหัสยืนยันการลงทะเบียนมาให้ (เป็นเลข 6 หลัก)

เมื่อได้รับรหัสจากอีเมลมาแล้ว ให้เอารหัสมาใส่ในแอป (ภาพซ้าย) ลำดับต่อมาให้ใส่รหัสผ่านที่เราต้องการใช้กับระบบของ POMO (ใส่ 2 ครั้งเพื่อเป็นการยืนยันรหัสผ่าน) จากนั้นติ๊กเลือกเครื่องหมายถูกสีเขียว แล้วแตะที่ปุ่ม ลงทะเบียน ลำดับต่อมา (ภาพขวา) จะเป็นการเชื่อมต่อนาฬิกาเข้ากับแอป ให้แตะที่ปุ่ม สแกน QR Code แล้วนำเครื่องสมาร์ทโฟนไปสแกน รหัส QR Code สำหรับเชื่อมต่อนาฬิกา ที่อยู่ในหนังสือแผ่นพับคู่มือ

เมื่อสแกน QR Code เรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนใน ภาพซ้าย ให้ใส่รายละเอียดต่างๆ ของเด็กที่เป็นเจ้าของนาฬิกา โดยต้องใส่เบอร์โทรศัพท์ของซิมอยู่ในตัวนาฬิกาให้ถูกต้อง เมื่อใส่รายละเอียดเรียบร้อยแล้ว ให้แตะที่ปุ่ม สำเร็จ เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการลงทะเบียน และใน ภาพขวา หากนาฬิกาสามารถเชื่อมต่อกับระบบได้เรียบร้อย ก็จะมีการแสดงตำแหน่งแบบเรียลไทม์ของนาฬิกาบนแผนที่ทันที

ตรวจสอบตำแหน่ง แจ้งเตือนเมื่อเด็กออกนอกพื้นที่

ฟังก์ชั่นหลักของ POMO Kids moji คือการตรวจสอบตำแหน่งที่อยู่ของเด็กได้แบบเรียลไทม์ (ภาพซ้าย) อยากรู้ว่าเด็กอยู่ที่บ้าน หรืออยู่ที่โรงเรียนหรือไม่ ก็ให้แตะที่ปุ่มสีฟ้ารูปเข็มหมุด ตำแหน่งที่อยู่ของเด็กก็จะแสดงบนแผนที่ให้เราดูทันที (เลือกดูแผนที่ได้ 2 แบบ คือแบบภาพถ่ายดาวเทียม และแบบแผนผัง) และเราสามารถกำหนดพื้นที่ปลอดภัย (ภาพกลาง) ซึ่งอาจจะเป็นโรงเรียนหรือบ้าน โดยกำหนดจุดลงบนแผนที่ แล้วเลือกรัศมีขอบเขตของพื้นที่ปลอดภัย (เลือกได้อยู่ในช่วงรัศมี 200 เมตร - 2 กม.) และเมื่อเด็กออกเขตโรงเรียน หรือเขตละแวกบ้าน ก็จะมีการส่งข้อความเตือนมายังสมาร์ทโฟนของผู้ปกครอง (ภาพซ้าย) ทำให้ผู้ปกครองรับรู้ได้ทันทีในกรณีที่เด็กอาจถูกลักพาตัว ถูกล่อลวงให้ออกนอกพื้นที่ หรือเด็กหนีเรียนเป็นต้น ทำให้ผู้ปกครองสามารถโทรหาเด็ก หรือเดินทางไปหาเด็กตามสัญญาณ GPS เพื่อแก้ไขสถาณการณ์ได้ทันท่วงที

การระบุตำแหน่งของ POMO Kids moji ทำได้แม่นยำดีด้วยการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีการระบุตำแหน่งแบบ GPS, A-GPS และ Wi-Fi ทำให้บอกตำแหน่งได้แม้ในขณะที่เด็กอยู่ในบ้าน หรืออาคารเรียน

ฟังก์ชั่นทางด้านการติดต่อสื่อสาร (โทรศัพท์, ข้อความเสียง, SOS)

เด็กๆ สามารถใช้ POMO Kids moji ได้เหมือนโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง สามารถโทรออกรับสายได้ โดยที่ผู้ปกครองสามารถกำหนดหมายเลขที่เด็กสามารถโทรออกได้สูงสุด 10 เลขหมาย (ภาพซ้าย) และถ้าเด็กๆ ต้องการเพิ่มเลขหมายของเพื่อนๆ ก็ต้องให้ปกครองทำให้ผ่านขั้นตอนการเพิ่มเลขหมายตามปกติ หรือถ้าเพื่อนๆ มีนาฬิกา POMO Kids moji เหมือนกัน ก็สามารถเพิ่มเพื่อนได้โดยการเขย่านาฬิกาของทั้งคู่ในระยะ 10 เมตร

POMO Kids moji มีระบบการรับส่งข้อความเสียงระหว่างเด็กกับผู้ปกครอง (ภาพกลาง) เหมาะสำหรับในกรณีที่ต้องการติดต่อกัน แต่โทรไปแล้วอีกฝ่ายไม่รับสายเพราะอาจจะติดงาน หรือติดเรียนอยู่ ก็ส่งข้อความเสียงหากันได้ และเปิดฟังข้อความเสียงได้ทุกเมื่อ เป็นฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวกได้ดี

และเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ เด็กก็สามารถส่งข้อความ SOS มาหาผู้ปกครอง ด้วยการกดปุ่ม SOS ค้างไว้ 2 วินาที ก็จะมีการแจ้งเตือนบนหน้าจอสมาร์ทโฟนของผู้ปกครองในทันทีตาม ภาพซ้าย ทำให้ผู้ปกครองทราบเหตุ และโทรติดต่อกลับไปหาเด็ก หรือตรวจสอบตำแหน่ง GPS ของเด็กได้ทันท่วงที

ตั้งค่าการทำงาน โหมดไม่เตือนขณะเรียน และการตั้งปลุก

จุดเด่นของ POMO Kids moji คือ ผู้ปกครองสามารถกำหนดรูปแบบการทำงานของตัวนาฬิกาได้โดยสมบูรณ์แบบผ่านแอป เด็กๆ จะไม่สามารถกำหนดค่าการทำงานใดๆ ของนาฬิกาได้เลย โดยในหน้าจอการตั้งค่านาฬิกา (ภาพซ้าย) มีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจ คือ ไม่รับสายเบอร์ที่ไม่ได้ตั้งค่า ทำให้เบอร์โทรศัพท์ของคนแปลกหน้า ไม่สามารถโทรเข้ามาหาเด็กได้ ช่วยป้องกันการที่เด็กอาจจะถูกล่อลวงได้ดี และฟังก์ชั่นการ "ไม่เตือนขณะเรียน" เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงริงโทนจากสายเรียกเข้า ดังรบกวนชั่วโมงเรียนของเด็กๆ โดยเราสามารถกำหนดเวลาคาบเรียนช่วงเช้า และช่วงบ่ายของเด็กได้ (ภาพกลาง)

และส่วน ภาพขวา เป็นฟังก์ชั่นการตั้งปลุกให้เด็กๆ ตื่นตอนเช้าไปโรงเรียน ซึ่งสามารถตั้งปลุกซ้ำตามวันในสัปดาห์ได้เหมือนการตั้งปลุกในสมาร์ทโฟน ผู้ปกครองคนไหนที่ขี้เกียจปลุกเด็กๆ ด้วยตัวเอง ต้องใช้ฟังก์ขั่นนี้เลย

สรุปผลการรีวิว POMO Kids moji

ข้อดี

• อุ่นใจ รู้ตลอดเวลาว่าเด็กๆ อยู่ที่ไหน
• ดีไซน์น่ารัก เหมาะกับเด็กๆ
• ตัวนาฬิกาใช้งานง่าย
• ใช้งานได้เหมือนโทรศัพท์มือถือ
• สามารถรับส่งข้อความเสียง สะดวกกว่าการใช้งาน SMS
• มีการแจ้งเตือนเมื่อเด็กออกนอกพื้นที่
• เด็กๆ สามารถส่งสัญญาณ SOS เพื่อขอความช่วยเหลือ

ข้อสังเกต

• ต้องใช้สายชาร์จแบบเฉพาะ

POMO Kids moji นาฬิกาป้องกันเด็กหายที่เหมาะมากสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด และคุ้มค่ากว่าการซื้อโทรศัพท์มือถือให้เด็กๆ เพราะมือถือเสี่ยงต่อการสูญหาย ลักขโมย แถมยังมีโอกาสที่เด็กอาจใช้มือถือแอบเล่นเกมส์ แต่กับ POMO Kids moji ผู้ปกครองสามารถควบคุมการใช้งานของเด็กๆ ได้สมบูรณ์แบบ และมีราคาขายเพียง 3,990 บาท ใครสนใจก็สั่งซื้อได้ที่ Thaiware Shop เลยครับ