คงจะเป็นเรื่องหนักใจอยู่เหมือนกันสำหรับ ใครที่คิดจะเป็นเจ้าของ Huawei Mate 9 สมาร์ทโฟนจอใหญ่ตัวแรง ที่เปิดตัวไปเมื่อท้ายปีที่ผ่านมา ว่าจะหยุดที่ Mate 9 หรือจะอัพราคาอีก 4,000 บาท เพื่อรับ Mate 9 Pro มาเป็นสมาร์ทโฟนคู่ใจดี ซึ่งเราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชั่งใจอยู่นานเหมือนกัน แต่ตอนนี้ เราได้สัมผัสกับ Huawei Mate 9 Pro แล้ว เลยขอมาแจกแจงให้ฟังกันว่า Huawei Mate 9 เมื่อพ่วงท้ายด้วยคำว่า Pro แล้ว จะแตกต่างกันยังไงบ้าง?
สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดเลยก็คือขนาดของหน้าจอ Huawei Mate 9 Pro ที่เล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยขนาดหน้าจอเพียง 5.5 นิ้ว ซึ่ง Mate 9 มีขนาดถึง 5.9 นิ้ว ทำให้นอกจากขนาดหน้าจอแล้ว ตัวเครื่องของ Mate 9 Pro ก็มีขนาดเล็กกว่าและบางกว่า Mate 9 อีกด้วย
ความแตกต่างของหน้าจอไม่ได้มีแต่เรื่องขนาดเท่านั้น แต่ทางด้านเทคโนโลยีก็แตกต่างเช่นกัน โดยด้านความละเอียดนั้น Mate 9 Pro ได้อัพจากความละเอียด 1080p กลายมาเป็น Quad HD (1440p) อีกด้วย
แต่จริงๆ แล้วเรื่องความละเอียดบนสมาร์ทโฟน สังเกตด้วยตาเปล่าค่อนข้างจะยาก ความประทับใจจึงไปอยู่กับอีกเทคโนโลยีจอแสดงผลมากกว่า ซึ่งก็คือหน้าจอ AMOLED บน Mate 9 Pro ซึ่งรุ่น Mate 9 ปกติจะใช้หน้าจอ LCD เช่นเดียวกับมือถือแบรนด์ผลไม้
สำหรับ Huawei Mate 9 ทั่วๆ ไป จะใช้หน้าจอแบบ LCD แต่ Mate 9 Pro กลับใช้หน้าจอแบบ AMOLED ซึ่งแตกต่างจากรุ่น Mate 9 และสมาร์ทโฟน Huawei รุ่นอื่นๆ แล้วมันส่งผลยังไงบ้าง
จุดเด่นของเทคโนโลยี AMOLED ก็คือการแสดงผลภาพ ที่มีสีสันเข้มข้น สดกว่าการแสดงผลด้วย LCD ที่เน้นเรื่องความสว่าง และเนื่องจาก AMOLED ไม่เน้นเรื่องความสว่าง จึงทำให้การแสดงผลสีดำของ AMOLED ทำได้มืดสมจริงกว่า LCD อีกด้วย ฟีเจอร์นี้จึงเหมาะมากกับการแสดงผลของกล้อง Leica ที่เน้นเรื่องภาพขาวดำที่สวยงาม ภาพ HDR ของกล้องในปัจจุบันที่ทรงพลัง หรือการดูหนังบนสมาร์ทโฟนจอใหญ่ๆ ที่ได้อรรถรสยิ่งกว่านั่นเอง
ถึงจะเป็นรุ่นเดียวกัน ที่ออกมาพร้อมกัน แต่ดีไซน์เครื่องกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Huawei Mate 9 Pro มีปุ่ม Soft keys โผล่ออกมาให้ใช้งานอยู่ด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่ง Mate 9 เป็นปุ่ม Soft keys ตามแบบฉบับของแอนดรอยด์ ที่ฝังอยู่ใน OS ซึ่งปุ่ม Soft keys ปุ่มกลางนี้ สามารถสแกนลายนิ้วมือได้ด้วย กลายเป็นการย้ายปุ่มสแกนลายนิ้วมือจากด้านหลังตัวเครื่อง มาไว้ด้านหน้าแทน
แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าปุ่ม Home จะพังเนื่องจากกดบ่อยๆ นะครับ เพราะว่าปุ่มมันไม่สามารถกดได้ แต่เป็นระบบทัชแทน ซึ่งการทัชก็ทำได้ดีทีเดียว ไวต่อการสัมผัสมาก โดยเฉพาะการสแกนลายนิ้วมือเรียกได้ว่ารวดเร็วและแม่นยำเลยทีเดียว
ด้านการวางตำแหน่งของปุ่มเมนูต่างๆ ก็จะเหมือนกับแอนดรอยด์ทั่วๆ ไป ก็คือ ปุ่มด้านซ้ายจะเป็นปุ่ม Back สำหรับถอยกลับและด้านขวาจะเป็นปุ่ม Recent สำหรับเข้าไปเลือกแอปฯ ที่เปิดค้างเอาไว้
สำหรับ Huawei Mate 9 รุ่นปกติ กับสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในท้องตลาด กระจกจะเป็นแบบ 2.5D คือมีความโค้งนิดๆ บริเวณขอบหน้าจอ ซึ่งทำให้การแสดงผลจะดูมีมิติมากขึ้น แต่กับ Mate 9 Pro ขอบของหน้าจอมีความโค้งลงไปอีก เกือบไปทางกึ่งๆ Edge เลย ซึ่งมันทำให้สมาร์ทโฟนดูเรียวบางลงไปอีก แต่โดยส่วนตัวแล้วเราไม่ค่อยชอบ เพราะจะไม่ค่อยถนัดมือเวลาพิมพ์แชทด้วยคีย์บอร์ดที่ปุ่มอยู่บริเวณขอบโค้ง
ในรุ่น Mate 9 เราสามารถเพิ่ม microSD Card เพื่อเพิ่มหน่วยความจำให้กับตัวเครื่องที่มีความจำตัวเครื่องเพียง 64 GB แต่สำหรับ Mate 9 Pro นี้ ได้ให้หน่วยความจำมาถึง 128 GB แต่ได้ตัดช่องสำหรับใส่ microSD Card ออกไป ซึงเป็นเรื่องน่าเสียดายมากๆ (จริงๆ แล้ว 128 GB ก็เป็นหน่วยความจำที่ค่อนข้างเยอะนะ เราคนนึงละที่ใช้ไม่หมด)
ส่วน SIM นั้น Mate 9 Pro สามารถใส่ซิมขนาด nanoSIM ได้ 2 ซิมด้วยกัน
Huawei Mate 9 Pro ได้อัพแรมขึ้นมาจาก Mate 9 ที่ 6 GB (Mate 9 มีแรม 4 GB) ซึ่งเรียกได้ว่าเหลือเฟือกับการใช้งานมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการโหลดแอปฯ ต่างๆ เปิดเกมส์เล่น ดูวิดีโอไฟล์ใหญ่ๆ และที่ประทับใจสุดๆ ก็คือการเปิดแอปฯ ทีละมากๆ และสลับการใช้งานระหว่างแอปฯ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องมาโหลดใหม่ทุกครั้งที่ปิดแอปฯ
จากการเปิดแอปฯ เป็น 10 กว่าแอปฯ พร้อมกัน ยังใช้ RAM เพียง 3 GB กว่าๆ จากทั้งหมด 6 GB แน่นอน เหมาะมากสำหรับ ใครที่ไม่ค่อยชอบเคลียร์แอปฯ บ่อยๆ
กล้องของ Mate 9 Pro ใช้เลนส์คู่ Leica Gen 2 เช่นเดียวกับ Mate 9 ไม่ได้แตกต่าง แต่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้ ด้านตัวซอฟต์แวร์กล้องยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับ Mate 9 ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ดูมีมิติตามแบบฉบับของ Leica โดยเฉพาะภาพขาวดำ โหมดรูรับแสงกว้างสร้างโบเก้ ที่สามารถ Re-focus ใหม่ได้ รวมทั้งโหมด Pro สำหรับนักถ่ายภาพ ที่ปรับค่าต่างๆ ของกล้องได้ง่ายมาก
การถ่ายรูปด้วยกล้อง Leica ทำได้สนุกมาก ไม่ว่าจะเป็นโหมด Auto หรือ โหมด Pro รวมทั้งซอฟต์แวร์รู้รับแสงกว้างของ Leica Gen 2 นี้ ก็สามารถทำได้ดีกว่ากล้อง Leica Gen 1 โบเก้ที่ได้ค่อนข้างเนียนอยู่
(แอบรู้สึกว่าภาพ ขาว-ดำ มีเสน่ห์กว่าภาพสีอยู่พอสมควร)
อีกจุดหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือ ด้วยความที่ Mate 9 Pro มีขนาดเล็กและเรียวบางกว่า ทำให้เวลาหยิบมาถ่ายรูป จับกล้องมือถือได้ถนัดกว่า Mate 9 ที่มีขนาดใหญ่กว่าอีกด้วย
สิ่งที่ประทับใจ
สิ่งที่รู้สึกเสียดาย
ถ้าถามว่าคุ้มค่ามั้ย? สำหรับการเพิ่มเงินอีก 4,000 บาท เพื่อรับ Mate 9 Pro มาใช้งานแทน Mate 9 สำหรับเราคิดว่า คุ้มค่านะ รู้สึกถูกจริตกับการใช้งานมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอและขนาดตัวเครื่องที่เล็กและบางลง ถือจับได้พอดีมือ ถ่ายรูปถนัดมือมากๆ หน้าจอ AMOLED ที่เหมาะกับการดูหนังที่สีเข้มสด ได้อรรถรสมากกว่าจอ LCD และที่สำคัญก็คือ RAM ที่เพิ่มขึ้นมาถึง 6 GB ใช้งานเครื่องหนักๆ ก็ยังไหลลื่นอยู่ ส่วนด้านที่เพิ่มหน่วยความจำไมไ่ด้ ก็คงต้องบริหารตัวเองหน่อย หรือใช้อุปกรณ์ OTG ช่วยเอา และเรื่องขอบโค้งหน้าจอ คาดว่าใช้ไปอีกซักพักก็คงชิน
แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้งานมือถือหนักๆ ไม่เน้นการดูหนังด้วยจอ AMOLED ชอบจอใหญ่ๆ (ซึ่งใหญ่กว่า Mate 9 Pro นิดเดียว) Huawei Mate 9 ก็เป็นสมาร์ทโฟนที่คุ้มค่า และเพียงพอต่อการใช้งานในระดับเรือธงเช่นกัน
|
... |