เราจะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบัน นิยมตัดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ออกไปกันหมดแล้ว เหลือมาแค่พอร์ตเดียว คือ USB-C (เรายังไม่เห็นสมาร์ทโฟนรุ่นไหนที่ตัดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ออก แล้วให้พอร์ต Micro USB มานะ) เนื่องจากพอร์ต USB-C สามารถใช้ส่งสัญญาณเสียงได้ และในทางทฤษฏีแล้วมันสามารถให้เสียงที่ดีกว่าช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม แบบเก่าด้วย แต่เราจะเห็นได้ว่าในตลาดหูฟังปัจจุบัน หูฟังที่ใช้หัวเชื่อมต่อแบบ USB-C นั้นมีให้เลือกน้อยมาก สาเหตุ คือ อะไร? ทำไมมันไม่เป็นที่นิยม มาหาเหตุผลกันในบทความนี้
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหูฟังแบบ USB-C นั้น ทำขึ้นมาเพื่อใช้ในสมาร์ทโฟนเป็นหลัก แต่ถ้าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ไม่สนใจ ก็คงไม่มีผู้ผลิตหูฟังอยากผลิตออกมันมาทำตลาด
Apple และ Samsung เป็นสองแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในวงการมือถือ ซึ่ง Apple ไม่ได้ใช้ USB-C อยู่แล้ว ส่วน Samsung ก็ยังคงใส่ช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มม. ไว้ในสมาร์ทโฟนอยู่ ไม่ว่าจะเป็น iPhone X หรือ Galaxy S9 ทั้งคู่ไม่มีใครต้องการใช้หูฟังแบบ 3.5 มม. หากในอนาคต Samsung ตัดช่องนี้ออกไป ตลาดอาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่มันยังไม่ใช่ในตอนนี้
เราขออ้างอิงจากข้อมูลของหูฟังไร้สายที่ทุกวันนี้กำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก หูฟังไร้สายในตลาดตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็ยังคงชาร์จด้วยพอร์ตไมโครยูเอสบี น้อยรุ่นนักที่จะใช้ USB-C ในการชาร์จ โดยสาเหตุนั้นก็มาจากเรื่องต้นทุนครับ
Jabra เคยพูดในงาน CES ที่มีขึ้นในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังจากถูกถามว่าทำไมหูฟังไร้สาย Elite 65t ไม่เลือกหัวชาร์จเป็น USB-C ทาง Jabra ได้ตอบว่าเพราะไม่ต้องการให้ราคาสินค้าแพงขึ้นไปกว่านี้
หรือในงาน Computex ที่เพิ่งจะมีขึ้นเมื่อต้นเดือนนี้ Synaptics ได้โชว์อุปกรณ์สแกนนิ้วแบบ USB ที่ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับ Windows 10 ได้ ซึ่งทาง Synaptics ก็ได้รับคำถามว่าจะมีเวอร์ชัน USB-C ออกมาด้วยไหม Godfrey Cheng รองผู้อำนวยการบริษัทของ Synaptics ได้บอกว่า ถ้าทำเป็นเวอร์ชัน USB-C ออกมา ตัวสินค้าอาจจะมีราคาแพงขึ้นถึง 25% เช่น จาก $100 เป็น $125 มันก็น่าทำออกมาหากตอนนี้ USB-C แพร่หลายจนกลายเป็นมาตรฐานโลก แต่สำหรับวันนี้ผมว่ามันเป็นการลงทุนที่ยังไม่จำเป็นสักเท่าไหร่
พอร์ต USB-C แม้จะมีหน้าตาเหมือนๆ กัน แต่ที่จริงแล้วมีมาตรฐานที่หลากหลายมาก USB-C บางรุ่น รองรับ Thunderbolt 3 แต่บางรุ่นก็ไม่ บางรุ่นทำออกมาเพื่อชาร์จไฟได้ด้วยความเร็วสูง แต่ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ จะเห็นได้ว่า USB-C นั้นมีความหลากหลายมาก แตกต่างจาก Micro USB แบบเดิมที่มีความ Universal (รองรับอย่างกว้างขวาง) กว่ามาก
ยกตัวอย่างหูฟัง Libratone ที่เป็นหูฟังแบบ USB-C มันทำงานได้เป็นอย่างดีในสมาร์ทโฟนที่มีแค่พอร์ต USB-C แต่มันกลับไม่สามารถใช้งานได้กับสมาร์ทโฟนบางรุ่นที่มีทั้งช่อง 3.5 มม. และ USB-C ด้วย หรือเมื่อนำไปใช้บน MacBook Pro มันฟังได้ แต่กลับปรับความดังเสียงผ่านฮาร์ดแวร์ไม่ได้ ต้องหรี่เสียงผ่านโปรแกรมฟังเพลงเท่านั้น
หนึ่งในความท้าทายของ USB-C ในการมาแทนที่ช่อง 3.5 มม. นั่นก็คือ การมีอยู่ของ Bluetooth audio แม้ว่า Bluetooth จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง อย่างด้านคุณภาพเสียงที่ดรอปลง และความแลค แต่ปัญหาที่ว่าก็มีการพัฒนาแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน USB-C audio แทบจะไม่มีใครสนใจแก้ปัญหาเลย เพราะทุกคนมุ่งไปที่การพัฒนาคุณภาพเสียงของหูฟังไร้สายมากกว่า
คำถามนี้สามารถตอบได้ว่า "ใช่" แต่ก็ตอบว่า "ไม่" ได้เช่นเดียวกัน ถ้าเทคโนโลยีในการสร้างเสียง และรับเสียงยังเหมือนเดิม แค่การเปลี่ยนรูปแบบการเชื่อมต่อไม่ได้ทำให้เสียงดีขึ้นแต่อย่างใด มันต้องมีระบบฮาร์ดแวร์ที่สัมพันธ์กันด้วย
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |