จุดที่เราชอบ
| จุดที่เราไม่ชอบ
|
Artifact เป็นเกมส์ใหม่จากค่าย Valve ในรอบหลายปี ซึ่งหากผมจำไม่ผิด เกมส์สุดท้ายน่าจะเป็น Dota 2 ที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 2013 เลยมั้ง ซึ่งเกมส์ Artifact ที่ปล่อยออกมาล่าสุดก็เป็นเกมส์ที่ต่อยอดมาจาก Dota 2 อีกที ด้วยการนำโลก Moba ของ Dota 2 มาแปรธาตุ จนได้เป็นเกมการ์ดที่มีระบบการเล่นที่แปลกใหม่ แตกต่างจากเกมการ์ดอื่นๆ ที่เคยมีมา
ส่วนตัวผมเองเป็นคนที่ชอบเล่นเกมการ์ดมากพอสมควร อย่างเช่น Yugi, Summoner Master, HearthStone และที่ชื่นชอบที่สุดก็คือ Magic: The Gathering เมื่อรู้ว่าเกมส์ Artifact นี้ ทาง Valve ได้ให้ Richard Garfield ผู้คิดค้น Magic: The Gathering มาช่วยออกแบบด้วย ผมจึงมีความ "คาดหวัง" ต่อเกมส์นี้เป็นอย่างมาก
ในความรู้สึกส่วนตัวของผม เกมส์นี้มีรูปแบบการเล่นที่เหมือนกับมัดรวม Dota 2, Hearthstone และ Magic: The Gathering เอาไว้ด้วยกัน ซึ่งสิ่งที่ได้ก็คือ เกมการ์ดที่มีระบบการเล่นแปลกใหม่แตกต่างจากเกมการ์ด Digital อื่นๆ ที่มีอยู่มากมายในขณะนี้ ซึ่งขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้
ผมเป็นหนึ่งในคนที่ตอนดูเทรลเลอร์ ดูตัวอย่างเกมส์ตอนที่เป็นเบต้าแล้วรู้สึกงงกับระบบมันมาก แล้วก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเกมส์ที่เล่นยาก และซับซ้อนมากๆ หลายคนน่าจะยังกังวลตรงจุดนี้อยู่ กลัวซื้อมาแล้วจะเล่นไม่เป็นอะไรแบบนั้น
สำหรับผมแล้วมองว่า Artifact ถ้าเอาแค่เล่นเป็น เข้าใจกฏกติกา วิธีชนะ แค่จบ Tutorial ในเกมส์ก็เล่นเป็นแล้วล่ะ ยิ่งหากใครมีพื้นฐานพวกการ์ดเกมส์มาก่อนยิ่งเข้าใจไม่ยากเลย โดยเฉพาะผู้ที่เล่นเกมการ์ดแนว Hearthstone มาก่อน
แต่หากต้องการเล่นถึงขั้นออกแบบ Deck เก่งๆ ด้วยตนเอง วางแผนการเอาชนะที่เหนือชั้น จุดนี้ผมว่าน่าจะต้องเล่นนานพอสมควรเลยทีเดียว เพราะการ์ดในมือมีอยู่จำกัด แต่เราต้องบริหารมันให้ชนะทั้งสามกระดาน ตรงนี้เป็นอะไรที่ต้องใช้การสั่งสมประสบการณ์เอาครับ อย่างผมเคยเจอแมตช์นึง ที่ผมพยายามบาลานซ์เกมส์ให้ชนะพร้อมกันทั้งสามกระดาน ปรากฏว่า ฝ่ายตรงข้ามเล่นแผนที่ทิ้งไปเลยสองกระดาน แล้วใช้ฝูงครีเจอร์เสริมพลังโจมตี ทำลายกระดานเดียวจนป้อมใหญ่แตกอย่างรวดเร็ว ซึ่งการใช้แผนประเภทนี้ คุณต้องคาดการณ์ให้ได้ว่า ดาเมจที่ทำได้มันพอ และทันเวลาใช่ไหม แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยเล่นพวกการ์ดเกมมาก่อน
ก่อนอื่นเลยเราต้องซื้อเกมส์มาก่อน ตัวเกมส์ไม่แพงราคาแค่ 679 บาท เท่านั้น วางจำหน่ายบน Steam โดยสามารถเล่นได้บน Windows. macOS และ Linux ทั้งนี้ ทาง Valve ระบุว่าในปีหน้าจะพัฒนาลงสมาร์ทโฟนให้เล่นได้บน iOS และ Android ด้วย
เมื่อเราซื้อเกมส์มาปุ๊บ สิ่งที่เราจะได้มาก็จะประกอบไปด้วย ตัวการ์ด 10 ซอง, ตั๋วอีเวนท์ 5 ใบ และชุดการ์ดเริ่มต้น 2 ชุด คือ Red/Green Brawler และ Blue/Black Control (ในภาพ Deck ที่ชื่อ BlueGreen คือ ผมทดลองจัด Deck ขึ้นมาเองครับ)
การ์ดในเกมส์นี้จะมีอยู่ 5 ชนิด คือ การ์ดฮีโร่, การ์ดเวทมนต์ (Spell), การ์ดครีเจอร์ (Creeps), การ์ดพัฒนา (Improvements) และการ์ดไอเทม ซึ่งการ์ดทั้ง 5 ชนิด เวลาเราจัด Deck มันจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
การ์ดฮีโร่ และการ์ดหลัก จะถูกแบ่งออกเป็น 4 สี คือ แดง, เขียว, ฟ้า และดำ ซึ่งแต่ละสีก็จะมีเอกลักษณ์ประจำตัวที่แตกต่างกัน
จะเห็นได้ว่าแต่ละสีก็จะมีจุดอ่อน จุดแข็งที่แตกต่างกัน ซึ่งเราจะสามารถเลือกจัดกี่สีลงมาใน Deck ของเราก็ได้ แต่ส่วนตัวแล้วผมแนะนำว่าไม่ควรเล่นเกิน 2 สี เพื่อไม่ให้การลงการ์ดยากเกินไป เพราะเราเล่นการ์ดได้ตามสีของฮีโร่ในเลนเท่านั้น โดยปกติแล้ว Deck สายแดง-เขียวจะเน้นการจบเกมไว ส่วนฟ้า-ดำ จะหนักไปที่การควบคุมสนาม และปิดเกมในช่วงท้ายๆ จุดนี้ผมคิดว่าเกมส์ออกแบบความสามารถการ์ดมาได้ค่อนข้างสมดุลนะ (ถึงผมจะรู้สึกว่าฮีโร่ Axe และ Drow Ranger ค่อนข้าง OP ไปหน่อยก็ตาม)
ขอพูดถึงวิธีการจัด Deck สักเล็กน้อย เกมส์นี้เราต้องวางแผนการเล่นตั้งแต่ตอนจัด Deck เลย เพราะมันมีเรื่องลำดับการออกของการ์ดฮีโร่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เผื่อบางคนยังงงๆ เลยขออธิบายเสริมจุดนี้สักเล็กน้อย หากเราดูในช่องใส่ HERO จะเห็นว่ามีตัวเลขกำกับด้วย โดย 3 ช่องแรก ที่เขียนว่า Round 1 คือ การ์ดฮีโร่ที่จะออกมา 3 ตัวในรอบแรก ส่วนฮีโร่ใบที่ 4 จะออกมาใน Round 2 และฮีโร่ตัวที่ 5 จะออกมาใน Round 3 ดังนั้น เราต้องคิดให้ดีว่าในเทิร์นแรกเราต้องการใช้ฮีโร่ตัวไหน ไม่ใช่ใส่ไปมั่วๆ นะครับ มันจะมีลำดับการออกด้วย
และทันทีที่เราใส่ HERO เข้าไปใน Deck ตัว Signature Card จะถูกเพิ่มเข้าไปในการ์ดหลักอัตโนมัติทันที 3 ใบ ซึ่งมันจะเป็นการ์ดที่มาพร้อมกับการ์ดฮีโร่ที่เราเลือก พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อเราเลือกการ์ดฮีโร่ครบ 5 ตัวแล้ว เราก็จะมีการ์ดหลักทันที 15 ใบ ซึ่งเราจะต้องใส่การ์ดหลักเพิ่มอีกอย่างน้อย 25 ใบ นั่นเอง ดังนั้นเวลาจัด Deck ก็ต้องพยายามคิดถึงการ์ดที่เรามีอยู่ แล้วเลือกฮีโร่ที่ความสามารถสนับสนุนกันมาใช้ให้ส่งเสริมกันและกัน
ทิปส์
Signature Card จะเป็นการ์ดเวทมนต์ที่มีความสามารถส่งเสริมให้ตัวการ์ดฮีโร่ แต่เราสามารถเล่นมันกับการ์ดใบอื่นก็ได้นะ
จุดสำคัญอีกจุดของเกมส์ Artifact คือ กองการ์ดไม่มีวันหมดนะครับ การ์ดที่ถูกใช้ไปแล้วมันจะถูกหมุนเวียนกลับเข้าไปในกองจั่วอีกครั้ง ใครเป็นชอบเล่นสไตล์ "โม่กอง" รอฝ่ายตรงข้ามแพ้เพราะไม่มีการ์ดจั่ว ขอแสดงความเสียใจด้วย สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นใน Artifact
ดังนั้น เวลาจัด Deck บางคนก็จะเน้นใส่การ์ดให้น้อยๆ เพื่อให้โอกาสในการ "จั่วได้" มีมากขึ้น แต่บางคนก็ใส่เยอะเพื่อเพิ่มหนทางรับมือให้พร้อมในหลากหลายสถานการณ์ เพราะเราก็ไม่รู้ว่า Deck คู่ต่อสู้จะเป็นแบบไหน
โดยรวมแล้วผมมองว่า Artifact ทำระบบตรงนี้มาได้ดีนะ มีช่องให้ใส่ความคิดสร้างสรรค์ในการคิด Deck ใหม่ๆ ออกมาได้เพียบเลย
ปกติแล้วการ์ดเกมส่วนใหญ่ เราจะได้จั่วการ์ดทุกเทิร์นอยู่แล้ว ซึ่งใน Artifact มันก็เป็นแบบนั้นแหละ แต่ว่าเราจะไม่สามารถจั่วการ์ดไอเทมได้ เพราะการ์ดชนิดนี้เราต้องซื้อเท่านั้น โดยอาศัยเงินที่ได้จากการฆ่าการ์ดครีเจอร์ หรือฮีโร่ของฝ่ายตรงข้ามมาซื้อ (เหมือนการฟาร์มครีปหาเงินใน Dota 2 น่ะแหละ) ซึ่งพวกการ์ดไอเทมมันจะทำให้รูปเกมส์เราได้เปรียบเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าหากใน Phase การต่อสู้เราบวกแพ้หมด เราก็จะไม่มีเงินมาซื้อไอเทมเลยล่ะ ซึ่งนั่นทำให้ในการเล่น เรามีเรื่องต้องคิดเพิ่ม หากปล่อยให้กระดานเราตายบ่อยไป ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ก่อนอื่น เราจะพูดเรื่องความคุ้มค่าของเกมส์นี้ก่อน Artifact มีราคาอยู่ที่ 679 บาท ในราคานี้ เราได้การ์ดมาเปิดฟรีด้วย 10 ซอง ซึ่งมูลค่าของมันอยู่ที่ 660 บาท แล้วนะ แล้วเรายังได้ตั๋ว Event Ticket ที่ใช้สำหรับการเล่นในโหมด Expert Play มาอีก 5 ใบ ซึ่งเจ้าตั๋วนี้มีราคาอยู่ที่เกือบๆ $5 (ประมาณ 165 บาท) อันที่จริงยังมีแถม Dota Plus ให้เดือนนึง (135 บาท) ด้วย แต่ขอไม่พูดถึงละกัน เพราะมันคนละเกมส์
ก็ถ้าว่ากันตรงๆ สำหรับคนที่คิดจะเล่นเลย จัดว่าถูกมาก เพราะของที่ได้รวมกันสูงกว่าราคาเกมส์เสียอีก แต่นี่คือการ์ดเกมครับ อย่าลืม มันไม่ใช่อะไรที่จะจ่ายทีเดียวจบอยู่แล้ว มาดูกันดีกว่าว่าเราต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง
จุดนี้ขอชมว่าการซื้อขายการ์ดในเกมส์ Artifact ทำได้ดี การ์ดที่เราได้มาแล้วไม่ชอบ สามารถขายเพื่อนำเงินไปซื้อการ์ดใหม่ได้ โดยเงินที่ได้จะเอาไปซื้อการ์ดในตลาด, เปิดซองใหม่ หรือแม้แต่เอาไปซื้อเกมส์อื่นๆ ใน Steam ก็ได้
ก่อนอื่นขอบอกเลยว่าเกมส์นี้ไม่มีทางที่เราจะได้ "การ์ดใหม่" มาฟรีๆ เราต้อง "จ่าย" เท่านั้น ถึงจะมีโอกาสได้การ์ดใหม่ จะจ่ายตรงๆ ด้วยการเปิดซองเลยก็ได้ ซองละ 66 บาท ซื้อ 10 ซอง ก็ 660 บาท ไม่มีลดราคานะ หุหุ ในหนึ่งซองเราจะได้การ์ดมา 12 ใบ โดยที่การันตีว่าจะได้การ์ด Rare 1 ใบ, Uncommon 3 ใบ และ Common 8 ใบ แต่มีโอกาส 5 % ที่จะได้ Uncommon มากกว่าปกติด้วยนะ ตั้ง 5% แน่ะ
เอาล่ะ การเปิดซองมันเป็นเรื่องธรรมดาของเกมการ์ดอยู่แล้ว มาดูอีกวิธีหนึ่งที่จะได้เปิดซองฟรีกันดีกว่า ซึ่งอันที่จริง เราก็ไม่อยากจะบอกว่ามันฟรีสักเท่าไหร่หรอก เพราะมันต้องอาศัยฝีมือ และดวงด้วย นั่นก็คือการเข้าเล่นในโหมด Expert Play
โหมด Expert Play จะมีการแข่งขันให้เราเลือกอยู่ 3 หมวดย่อยอีกที ซึ่งการจะแข่งหมวดเหล่านี้เราจะต้องจ่ายค่าตั๋ว Event Ticket ด้วย แน่นอนว่าเราได้มาฟรี 5 ใบ ตอนที่ซื้อเกมส์ ก็เอาไอ 5 ใบนั้นมาเล่นในนี้ให้ชนะ หากชนะเราจะได้ตั๋ว Event Ticket มาเป็นรางวัล รวมถึงซองการ์ดด้วย โดยต้องชนะอย่างน้อย 4 ใน 5 รอบ นะครับ ถึงจะได้เปิดซอง และตั๋วมาเล่นต่อ
ถ้าคุณเทพพอ สามารถชนะได้เรื่อยๆ คุณก็จะได้เปิดซองฟรีไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องจ่ายตังค์สักบาท แต่หากคุณแพ้จนตั๋วที่ได้มาฟรีหมด ก็สามารถเสียเงินซื้อตั๋วใหม่ได้ในราคาประมาณ 165 บาท นั่นเอง หุหุ
สำหรับความรู้สึกที่มีในตอนนี้ต่อเกมส์ Artifact ขอพูดถึงสิ่งที่ชอบก่อนเลย นั่นก็คือ มิติการคิดที่แตกต่างไปจากเกมการ์ดที่เคยสัมผัสมา มันมีรูปการเล่นที่พลิกแพลงได้มากกว่า ระบบแลกเปลี่ยนการ์ดที่เหมือนกับของจริง ใบไหนไม่ใช้ก็หาเทรดได้
ส่วนข้อเสีย ตัวผมมองว่าตอนนี้เกมส์ยังไม่ค่อยสมดุลเท่าไหร่ อาจจะด้วยจำนวนการ์ดในชุดแรกที่เพิ่งเปิดตัวออกมายังมีจำนวนน้อยอยู่ (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดตอนนี้มีการ์ดทั้งหมด 310 แบบ) ทำให้วิธีการแก้เกมส์ยังค่อนข้างจำกัดเมื่อเจอกับการ์ดบางใบที่มีความสามารถค่อนข้างแรง แล้วก็เกมเพลย์ต้องใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากมีหลาย Phase ที่เกิดขึ้นต่อเทิร์น อีกจุดก็คือ ผมว่าตัวเกมมันหน่วงๆ อยู่ เหมือนแอนิเมชั่นมันช้าอ่ะ ทำให้เกมส์ดูอืดๆ ซึ่งก็เชื่อว่าทาง Valve น่าจะแก้ไขจุดนี้ได้ไม่ยากผ่านการอัพเดทในอนาคต
ใครที่อยากลองก็ซื้อมาลองก็ได้ ไม่ชอบก็แค่ทำการขายการ์ดทิ้งก็น่าจะได้ค่าเกมส์คืนมาแล้ว เผลอๆ กำไรด้วยซ้ำ หากได้การ์ดดีๆ มา
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |