เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยประสบกับปัญหาปวดหัวกับ Telesales สายตื้อที่โทรเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากบริษัทประกันภัย, บัตรเครดิต, โปรโมชันจากค่ายมือถือต่าง ๆ รวมทั้งบางครั้งก็พบเจอกับเบอร์สแปมหรือสายของมิจฉาชีพที่โทรเข้ามาก่อกวนจนทำให้หงุดหงิดอยู่บ่อย ๆ ซึ่งถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านี้หลายคนก็คงเลือกที่จะปฏิเสธเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาเพื่อเลี่ยงปัญหากวนใจเหล่านี้
แต่ในยุคที่การซื้อของออนไลน์เฟื่องฟูและธุรกิจอาหารแบบเดลิเวอรีกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ การเลี่ยงรับสายจากเบอร์แปลกนั้นก็กลายเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ไปเสียแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้หลาย ๆ ครั้งเวลาที่โทรศัพท์ดังก็ทำเอาดีใจเก้อ เพราะสายที่คิดว่าโทรมาจากบริการส่งอาหารที่กดสั่งไปไม่นานกลับกลายเป็น Telesales ที่โทรมาเสนอขายประกันไปเสียอย่างนั้น
ดังนั้นหากมีตัวช่วยที่ทำให้เราสามารถรับรู้ได้ว่าสายที่โทรเข้ามานั้นเป็นเบอร์จากไหนก่อนที่จะกดรับสายก็คงจะดีไม่น้อย และแอปพลิเคชันอย่าง CallApp ก็น่าจะเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้หลาย ๆ คนรู้สึกเบาใจกับการกดรับโทรศัพท์มากยิ่งขึ้นได้นั่นเอง
แอปพลิเคชัน CallApp เป็นแอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้ Android (ยังไม่เปิดให้บริการในระบบ iOS) ที่สามารถระบุเบอร์โทรของผู้ที่โทรเข้ามาได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะหลบเลี่ยงการรับโทรศัพท์จากสายที่ไม่ต้องการได้ อีกทั้งยังมีฟังก์ชันการทำงานอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่เพียงเท่านั้น แอปพลิเคชัน CallApp นี้ยังเปิดผู้ใช้ Android สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานกันได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย (หรือหากจะสมัครสมาชิกเพื่อใช้งานฟีเจอร์เพิ่มเติมก็สามารถทำได้เช่นกัน)
ผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CallApp ภายใน Google Play Store มาติดตั้งและใช้งานได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ในส่วนของผู้ใช้ iOS ก็น่าจะต้องผิดหวังกันเล็กน้อย เพราะ CallApp นี้เป็นแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานเฉพาะในระบบ Android เท่านั้น
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CallApp ได้ที่ :
ซึ่งหลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อยก็ให้ทำการลงทะเบียน โดยสามารถเลือกลงทะเบียนได้ทั้งการลงทะเบียนด้วยเบอร์โทร, Gmail และ Facebook โดยการลงทะเบียนผู้ใช้จะต้องอนุญาตให้ CallApp เข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อและข้อมูลการโทรภายในเครื่อง จากนั้นกรอกรหัสยืนยันที่ได้รับจาก SMS ก็จะสามารถตั้งค่าการโทรผ่าน CallApp เป็นหลักเพื่อใช้งานฟีเจอร์ภายในแอปพลิเคชันได้แล้ว (ส่วนการเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ก็สามารถเลือกกดเชื่อมต่อหรือไม่ก็ได้ตามความต้องการของผู้ใช้)
โดยปกติแล้วเรามักจะทราบว่าบุคคลที่โทรเข้ามาเป็นใครจากรายชื่อที่บันทึกเอาไว้ในเครื่อง แต่ด้วยฟีเจอร์ Caller ID ของ แอปพลิเคชัน CallApp นี้ก็จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถทราบที่มาของเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่องได้จากฐานข้อมูลในระบบของแอปพลิเคชันนี้ ทำให้สามารถหลบเลี่ยงการรับสายจากบริษัทต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี หรือหากเป็นเบอร์ส่วนตัวของผู้ใช้คนอื่น ๆ ที่ไม่มีข้อมูลในระบบก็จะขึ้นเลขหมายตามปกติ
แต่หากผู้ใช้คนใดต้องการเพิ่มข้อมูลเบอร์โทรในระบบของ CallApp เกี่ยวกับเบอร์แปลก ๆ เช่น เบอร์ของมิจฉาชีพ เบอร์สแปม หรือเบอร์พนักงานส่งของ ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการกดเข้าไปที่หมายเลขที่ต้องการ จากนั้นก็จะเห็นว่ามีเมนู “Tell us who it is (บอกกับเราว่าเขาคือใคร)” ปรากฎขึ้นมา (หรือหากไม่มีเมนูนี้ก็ให้แตะที่ตัวหมายเลข) แล้วเพิ่มข้อมูลของหมายเลขนั้น ๆ ลงในระบบได้ทั้งเบอร์ส่วนตัว (Private) และเบอร์ของบริษัท (Business) แล้วกดบันทึก ซึ่งหากเป็นเบอร์ของบริษัทต่าง ๆ ก็สามารถแจ้งสแปมได้ในทันที
เมื่อบันทึกข้อมูลลงระบบของ CallApp เรียบร้อยแล้ว ครั้งถัดไปที่ได้รับสายจากเบอร์เดิมก็จะขึ้นชื่อที่เราบันทึกเอาไว้ในระบบ รวมทั้งผู้ใช้ CallApp คนอื่น ๆ ก็จะรับทราบข้อมูลดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้ลดความลังเลใจในการรับโทรศัพท์ของหลาย ๆ คนได้เป็นอย่างดี
ซึ่งจากที่ลองใช้เองแล้วก็รู้สึกว่าเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ค่อนข้างมาก เพราะตอนที่มีเบอร์โทรเข้าก็ทราบได้ทันทีว่าต้นสายเป็นใครโดยที่ยังไม่ได้กดรับ อีกทั้งหากผู้ใช้หลาย ๆ คนร่วมกันลงข้อมูลในระบบก็น่าจะช่วยให้การเลี่ยงเบอร์สแปมหรือเบอร์ขายตรงได้ง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว (แต่แนะนำว่าตอนลงข้อมูลในระบบระบุเป็นชื่อบริการหรือชื่อบริษัทน่าจะดีกว่า เพราะตอนลองเช็คประวัติคนโทรเข้ามาเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าคุณเบิร์ดคือใคร... แต่เดาเอาว่าน่าจะเป็นบริการส่งของสักเจ้าแหละนะ)
นอกเหนือไปจาก Caller ID หรือฟีเจอร์ระบุเบอร์โทรที่เป็นฟีเจอร์เด่นของแอปพลิเคชัน CallApp แล้ว ภายในแอปพลิเคชันก็ยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
สำหรับใครที่ต้องการบล็อกเบอร์ที่โทรเข้ามากวนใจบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์สแปม หรือเบอร์เสนอขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ก็สามารถสร้าง Block List ขึ้นเพื่อบล็อกเบอร์โทรนั้น ๆ ได้ตามต้องการ ทั้งการบล็อกเบอร์ส่วนตัว, เบอร์ไม่ระบุชื่อผู้โทร หรือเบอร์ของบริษัทต่าง ๆ โดยหากเป็นเบอร์ที่ผู้ใช้แจ้งเข้ามาว่าเป็นเบอร์สแปมเป็นจำนวนมาก มันก็จะบล็อกเบอร์นั้นให้แบบอัตโนมัติด้วย
ซึ่งการบล็อกเบอร์โทรนี้ ผู้ใช้ก็จะสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการแตะเบอร์ที่ต้องการบนประวัติการโทร แล้วไปที่ “เมนูเพิ่มเติม” จากนั้นเลือก “Block (บล็อก)” แล้ว “กด OK (ตกลง)” ก็จะมีรายชื่อและเบอร์โทรปรากฏขึ้นบน Block List แล้ว
หรือหากเพิ่มเบอร์ที่ต้องการบล็อกใน Block List โดยตรงก็สามารถไปที่ “เมนู Spam” > “Block List (คนที่บล็อกการโทร)” > “Add new entry (เพิ่มรายการใหม่)” ก็จะสามารถเลือกเพิ่มเบอร์ที่ต้องการบล็อกได้ทั้งจาก Contact (รายชื่อผู้ติดต่อ), เบอร์ขึ้นต้น - ลงท้าย, หรือการกรอกเบอร์ที่ต้องการได้ (ส่วนการปลดบล็อกก็ให้ไปที่ “เมนู Spam” แล้วแตะที่ “Block List (คนที่บล็อกการโทร)” จากนั้นกดลบก็เป็นอันสำเร็จ)
ไม่เพียงแต่จะช่วยจัดการกับปัญหาการก่อกวนของเบอร์แปลกได้เท่านั้น แต่ CallApp ยังสามารถบันทึกสายการสนทนาได้ทั้งการรับเข้าและโทรออกเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ไม่พลาดรายละเอียดสำคัญในการสนทนาได้อีกด้วย
โดยผู้ใช้จะต้องเข้าไปเปิดการทำงานของฟีเจอร์นี้ที่ “เมนู Rec (บันทึก)” จากนั้นอ่านข้อตกลงในการใช้งานและกดอนุญาตให้ทำงานร่วมกับ Accessibility (การช่วยเหลือการเข้าถึง) ของสมาร์ทโฟนเพื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ (ทดลองใช้บน Samsung ให้แตะที่ “Installed services (บริการที่ติดตั้ง)” > “CallApp” แล้วกดอนุญาต) จากนั้นจะสามารถเลือกปรับแต่งค่าการบันทึกสายได้ตามต้องการภายใน “เมนู Setting (การตั้งค่า)”
ซึ่งหลังจากที่เปิดการทำงานของการบันทึกสายเรียบร้อยแล้ว เมื่อผู้ใช้กดโทรออก (หรือรับสาย) ก็จะมีไอคอนรูปไมค์ปรากฏขึ้น และสามารถแตะที่ “ไอคอนรูปไมค์” เพื่อบันทึกการสนทนาได้เลย แต่ก่อนจะใช้ฟีเจอร์นี้ก็ควรแจ้งคนปลายสายก่อนว่าจะขออัดเสียงการคุยด้วยนะ ไม่งั้นอาจไปละเมิดสิทธิของคนอื่นโดยไม่รู้ตัวได้
สำหรับโหมดไม่ระบุตัวตนของ CallApp ก็จะมีลักษณะคล้ายกับการใช้งาน Browser ต่าง ๆ ที่ข้อมูลการใช้งานจะไม่ถูกบันทึกไว้ในระบบทั้งประวัติการโทรเข้า - ออก และการแจ้งเตือน SMS จากเบอร์โทรที่เลือกเปิดใช้งานในโหมดนี้ โดยผู้ใช้จะต้องกดไปที่รายชื่อผู้ติดต่อที่ต้องการ แล้วแตะที่ “เมนูเพิ่มเติม” มุมขวาบนของหน้าจอ จากนั้นกดเปิดโหมด “Incognito (ไม่ระบุตัวตน)” ก็จะสามารถใช้งานโหมดนี้ได้แล้ว
รายชื่อใน Contact (รายชื่อผู้ติดต่อ) ภายใน CallApp นี้จะต่างออกไปจาก Contact บนสมาร์ทโฟนทั่วไป เพราะไม่เพียงแต่จะปรากฎชื่อตามที่บันทึกเอาไว้ในระบบ (หรือตามรายชื่อที่ผู้ใช้ตั้งเอง) และเบอร์โทรศัพท์ของคนนั้น ๆ และประวัติการโทรแล้ว มันยังมีข้อมูลเกี่ยวกับเครือข่ายมือถือที่บุคคลนั้นใช้ และ Social Feeds ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Facebook, Twitter หรือ LinkedIn เพื่อติดต่อพูดคุยกันผ่านช่องทางอื่น ๆ นอกเหนือไปจากการโทรได้อีกด้วย แต่ในส่วนนี้ผู้ใช้ทั้ง 2 ฝั่งจะต้องเชื่อมต่อบัญชีเข้ากับ CallApp เสียก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ใช้ยังสามารถเพิ่มโน๊ตข้อมูลเพิ่มเติม, ตั้ง Meeting กำหนดการโทร, เปิดโหมดไม่ระบุตัวตน, ตั้ง Reminder เชื่อมกับปฏิทิน, Backup ข้อมูลประวัติการโทร หรือแชร์ Location และข้อมูล Contact ได้อีกด้วย
ภายในเมนูนี้จะมีการระบุช่วงเวลาที่เราใช้งานโทรศัพท์เอาไว้อย่างละเอียด ทำให้ผู้ใช้สามารถทราบเวลาที่ใช้ในการพูดคุยโทรศัพท์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสายทั้งหมด, สายโทรเข้า, โทรออก และจำนวนสายที่ไม่ได้รับต่าง ๆ โดยข้อมูลดังกล่าวนี้สามารถเลือกดูได้ทั้งหมด 3 ช่วงเวลา ได้แก่ 7 วันที่ผ่านมา, 1 เดือน และตลอดระยะเวลาการใช้งาน
ฟีเจอร์ Car Mode ของ CallApp นี้ทำให้ผู้ใช้สามารถรับสายไปได้พร้อม ๆ กับการใช้งานแอปพลิเคชันนำทาง ทำให้นอกจากจะพูดคุยขณะขับรถได้แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถขับรถตามเส้นทางเดิมได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าจะเลี้ยวผิดหรือขับเลยที่หมายแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อผู้ใช้ทำการเชื่อมต่อแอปพลิเคชันเข้ากับระบบ Bluetooth ในรถ ระบบก็จะเปิดการทำงานของฟีเจอร์นี้ให้โดยอัตโนมัติ
ผู้ใช้สามารถเลือกเปลี่ยนธีมการใช้งานเบื้องต้นได้ 2 รูปแบบ คือ Dark Theme และ Light Theme โดยกดไปที่เมนูเพิ่มเติม “≡” แล้วเลื่อนลงไปด้านล่างสุดและกดเปลี่ยนสีได้เลย แต่หากต้องการเปลี่ยนธีมรูปแบบอื่น ๆ ก็สามารถไปที่ร้านค้าและซื้อธีมเพิ่มเติมมาใช้งานได้
สำหรับใครที่เบื่อกับเสียงเรียกเข้าและรูปภาพคนโทรเข้าแบบเดิม ๆ ก็สามารถซื้อฟีเจอร์ Personal Video Ringtone หรือวิดีโอเรียกเข้าแบบเฉพาะบุคคลนี้เพิ่มเติมในแอปพลิเคชัน (ราคา 58 บาท) มาใช้งานได้ โดยหลังจากทำการซื้อฟีเจอร์เรียบร้อยก็จะสามารถเลือกตั้งวิดีโอเรียกเข้าได้ที่ความยาวสูงสุดถึง 15 วินาที และตั้งค่าปุ่มกดรับสายได้ตามต้องการอีกด้วย
ฟีเจอร์ด้านบนนี้เป็นฟีเจอร์ที่ทางแอปพลิเคชัน CallApp เปิดให้ใช้งานกันแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากผู้ใช้ต้องการอัปเกรดการใช้งานเวอร์ชันพรีเมียมที่ไม่มีโฆษณากวนใจและปลดล็อกฟีเจอร์อื่น ๆ เพิ่มเติมก็สามารถสมัครได้ทั้ง
ในส่วนของฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาก็ได้แก่
นอกจากสถิติการโทรโดยรวมในเมนู Stats แล้ว ผู้ใช้ CallApp Premium จะสามารถเรียกดูข้อมูลเชิงลึกในการใช้งานโทรศัพท์ของตนเองเป็นรายบุคคลได้ในเมนู Insights ทำให้สามารถทราบรายละเอียดและระยะเวลาการพูดคุยกันกับผู้อื่นได้
ผู้ใช้ CallApp Premium จะสามารถเรียกดูสถิติและรายชื่อของคนที่กดเข้ามาดูโปรไฟล์ของเราบน CallApp ได้ อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าให้แอปพลิเคชันทำการแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีคนกดเข้ามาดูโปรไฟล์ของเราได้ และทราบที่มาว่าผู้ใช้คนอื่นเข้ามาดูโปรไฟล์ของเราผ่านแอปพลิเคชันหรือบริการใดได้อีกด้วย
ภายใน CallApp Premium จะมี "เมนู Backup" ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเก็บประวัติและสำรองข้อมูลการโทร, รายชื่อผู้ติดต่อ, วิดีโอเรียกเรียกเข้า และการสนทนาที่บันทึกเอาไว้เชื่อมเข้ากับบริการ Cloud ภายนอกได้ทั้งบริการของ Dropbox และ Google Drive โดยสามารถเลือกสำรองข้อมูลได้ตั้งแต่ 2 วัน, 14 วัน และสูงสุดที่ 1 เดือน
แอปพลิเคชัน CallApp นี้น่าจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหากวนใจของผู้ใช้หลาย ๆ คนได้ดีทีเดียว แม้ว่าในเบื้องต้นอาจจะยังไม่สามารถระบุเบอร์โทรได้ทุกสาย แต่หากมีผู้ใช้จำนวนมากที่เข้ามาช่วยอัปเดตข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ในระบบแล้วก็น่าจะช่วยให้ปัญหานี้เบาลงไปได้ รวมไปถึงฟีเจอร์อื่น ๆ ภายในแอปพลิเคชันก็มีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |