แชร์หน้าเว็บนี้ :
สำหรับคนที่ทำงานด้านกราฟฟิคไม่ว่าจะเป็นด้านออกแบบ, ภาพถ่าย หรือด้านใดก็ตาม ยากที่จะหลีกเลี่ยงโปรแกรมตระกูล Adobe ไปได้ เพราะโปรแกรมกราฟฟิคจากบริษัทนี้เป็นที่ยอมรับด้านความสามารถในระดับโลกมานานกว่า 32 ปี
ในการใช้งานโปรแกรมตระกูล Adobe ส่วนมากเราจะไม่ได้ใช่แค่โปรแกรมเดียว ตัวอย่างเช่น ช่างภาพมืออาชีพจำเป็นต้องใช้ Photoshop และ Lightroom ในการแต่งภาพ, กราฟฟิคดีไซน์เนอร์ อาจต้องใช้ Illsutrator ในการทำงานร่วมกับ Photoshop ปัญหา คือ โปรแกรมตระกูล Adobe มีราคาค่อนข้างสูงทีเดียวอยู่ในหลักหมื่น หากต้องใช้หลายโปรแกรมก็ต้องซื้อทุกโปรแกรมเป็นมูลค่าการลงทุนที่สูงพอสมควร ซึ่งเป็นปัญหาทำให้หลายคนหรือแม้แต่ระดับบริษัทหันไปหาโปรแกรมเถื่อนมาใช้ ซึ่งผมไม่ค่อยแนะนำเลยนะครับ นอกจากจะละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว หากโดนตรวจจับ ค่าปรับนั้นแพงระดับที่ทำให้บริษัทล้มละลายได้เลยทีเดียว
แต่ว่าตอนนี้ทาง Adobe เค้าได้เปลี่ยนรูปแบบของตัวผลิตภัณฑ์ เป็นระบบสมาชิก (Subscribe) โดยเป็นการให้บริการที่เรียกว่า Creative Cloud ประเภทของ Adobe (แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ บุคคล ธุรกิจและ การศึกษา)
Adobe Creative Cloud (อะโดบี ครีเอทีฟ คลาวด์) คือ ชุดโปรแกรมจากค่าย Adobe ที่ได้รวบรวมเอา เครื่องมือทุกอย่างที่ต้องการสำหรับนักออกแบบกราฟฟิก หรือ ครีเอทีฟ เพื่อใช้เนรมิตสร้างสรรค์ผลงานที่ดีที่สุดออกมา โดยสามารถทำงานได้ทั้งบนหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และบนคลาวด์ (Cloud) ซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อหรือแชร์ไฟล์ผลงาน รวมทั้งสร้างและแก้ไขไฟล์ได้ทุกที่ทุกเวลา
ผู้ใช้งานสามารถอัพเดทฟีเจอร์ หรือความสามารถของโปรแกรมใหม่ๆ ได้ฟรีอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในช่วงเวลาที่ใช้บริการ นี่คือคุณสมบัติที่เยี่ยมยอด หากคุณซื้อ Adobe แท้ เมื่อฟีเจอร์นั้นถูกพัฒนาเสร็จเรียบร้อยก็สามารถอัพเดทได้ทันที รวมทั้งตัวโปรแกรมมีการปรับปรุงแก้ไข รวมไปถึงปลั๊กอิน อยู่เสมอทำให้สามารถใช้งาน Adobe Creative Cloud ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตลอดอายุการใช้งาน Adobe Creative Cloud จะช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 1 เท่าตัว หากคุณเป็นผู้ใช้งานที่อัพเดทฟีเจอร์เป็นประจำ
นอกจากนี้แล้ว Adobe Creative Cloud ยังแถมให้บริการพิเศษที่มอบให้กับผู้ใช้งานแบบฟรีๆ มากมายเช่น พื้นที่เก็บไฟล์งานบน Cloud ถึง 100 GB. สำหรับ Cloud for Team (ซื้อทั้งชุด) และ 20 GB. สำหรับซื้อโปรแกรมเดี่ยวๆ แยกเฉพาะ (Single App) ให้คุณได้ใช้ประสิทธิภาพของ ระบบ เก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud Storage) ได้แบบสูงสุด
Adobe ได้แบ่งบริการออกมาเป็น 3 กลุ่มผู้ใช้งาน คือ ประเภทบุคคล , ประเภทการศึกษา และ ประเภทธุรกิจ
ประเภทบุคคล มีให้เลือกใช้งานได้ 3 แบบ คือ แบบเริ่มต้นสามารถใช้งาน Photoshop และ Lightroom เวอร์ชันล่าสุดพร้อมอัพเดตได้ตลอดเวลา สามารถใช้งานได้ทั้งบน Desktop, Mobile และผ่าน Web หรือจะเลือกใช้เป็นแบบเฉพาะโปรแกรมเดียวก็ได้ และสุดท้ายคือแบบใช้งานได้ทุกโปรแกรม ประเภทการศึกษา มีความเหมือนกับประเภทบุคคล ทว่าจะมีราคาที่ถูกกว่านะ แต่การซื้อจะต้องซื้อผ่านสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมกับทาง Adobe เท่านั้นครับ ประเภทธุรกิจ จะเป็น "Creative Cloud for teams " เหมาะสำหรับการใช้งานในองค์กรหรือบริษัทที่ต้องใช้งานชุดโปรแกรมที่มีความแตกต่างกัน และมีจำนวนผู้ใช้มากกว่า 2 คน ขึ้นไป โดยจะมีเครื่องมือช่วยเหลือผู้ใช้ เพื่อให้การทำงานเป็นทีมมีความสะดวกยิ่งขึ้น และมีเครื่องมือจัดการบัญชีผู้ใช้ในแต่ละ License ในองค์กรด้วย Adobe Cretive Cloud มา Creative Suite ไป
ในอดีต Adobe จะขายตัวโปรแกรมเป็นกล่องหรือที่เราเรียกว่า Creative Suite [CS] ซึ่งซื้อครั้งเดียวก็จะใช้ได้ตลอดไป แต่ว่าราคาก็สูงเอาการ อย่าง Photoshop โปรแกรมเดียวก็ประมาณ 2x,xxx บาท หากต้องใช้หลายโปรแกรมก็รวมๆ ถึงหลักแสนเลยล่ะ และเมื่อ Adobe ออกเวอร์ชันใหม่ หากต้องการใช้ก็ต้องซื้อใหม่อีกครั้ง ทำให้หลายคนเลือกที่จะใช้โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ ด้วยมายาคติว่าแพงไปใช้ไม่คุ้ม ไม่ได้ใช้บ่อยอะไรขนาดนั้น ซึ่งโปรแกรมตระกูล Creative Suite เป็นโปรแกรมที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์สูงเป็นอันดับต้นๆ รองจากระบบปฏิบัติการ Windows เลยล่ะ
แต่ในปัจจุบัน Adobe ได้เปลี่ยนรูปแบบของซอฟท์แวร์จากการขายกล่องมาเป็นแบบ Subsrcibe ในชื่อ Creative Cloud [CC] ให้ผู้ที่ต้องการใช้งานชุดซอฟท์แวร์ สามารถจ่ายค่าใช้ซอฟท์แวร์เป็นรายเดือนได้ โดยเริ่มต้นเพียงเดือนละ 300 บาท เท่านั้นเอง ซึ่งมีข้อดีตรงสามารถอัพเดทเวอร์ชันซอฟท์แวร์ได้ตลอดเวลาด้วย แถมยังมีบริการ Cloud ให้ใช้ทำงานด้วยอีกต่างหาก
สำหรับรีวิวนี้ ผมอยากจะแนะนำให้รู้จักกับ Adobe Creative Cloud for Team ชุดโปรแกรมสำหรับทำงานเป็นทีม ซึ่งเราจ่ายทีเดียวจะสามารถใช้งานได้ทุกโปรแกรมเลยล่ะครับ มีโปรแกรมอะไรบ้างดูได้จากด้านล่างนี้เลยครับ มีทั้งหมด 29 โปรแกรมเลยทีเดียว และหากในอนาาคตมีเพิ่ม เราก็จะสามารถใช้งานได้ด้วยเช่นกัน
Photoshop Lightroom Illustrator InDesign Premiere Pro After Effects Dreamweaver Adobe Muse Flash Professional Acrobat XI Pro Audition Bridge Edge Animate Edge Code Edge Inspect Edge Reflow Fireworks Flash Builder InCopy Prelude Adobe Media Encoder Scout SpeedGrade Story Plus PhoneGap Build Prelude Live Logger Gaming SDK Extension Manager ExtendScript Toolkit
ความแตกต่างที่สำคัญของ Adobe Creative Suite กับ Adobe Creative Cloud for Team และทำไมเราถึงควรเปลี่ยนมาใช้ Creative Cloud
Creative Cloud Desktop ช่วยให้การจัดการโปรแกรมในเครื่องสะดวกมากขึ้น และมีบริการ Cloud ให้ใช้งาน เราสามารถเก็บไฟล์ไว้บนเซิฟเวอร์เพื่อเรียกใช้งานจากอุปกรณ์ไหนก็ได้ ตัวโปรแกมจะทำการ Sync กับเซิฟเวอร์ เครื่องมือที่คุณปรับแต่งเอาไว้ไม่ว่าจะเป็น Preferences, Presets, Bruishes, Shortcuts, Styles, Fonts, Colors หรืออะไรก็ตาม จะเหมือนกันทุกเครื่องไม่ว่าคุณจะเรียกใช้งานจากอุปกรณ์เครื่องไหนก็ตาม สามารถอวดผลงานลงในพอร์ทโฟลิโอของ Adobe ได้โดยตรง มีฟอนท์ให้ดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรีมากกว่า 680 แบบ (มูลค่าฟอนท์รวมเกือบ $25,000 คิดเป็นบาทก็ 819,000 บาท) สามารถใช้งานแบบ Offline ได้ ตัว Creative Cloud สามารถทำงานร่วมกับ Creative Suite ได้แม้ว่าตัว CS จะเป็นเวอร์ชันเก่ากว่า ระหว่างที่ใช้งานอยู่หากตัวโปรแกรมมีเวอร์ชันใหม่ออกมา สามารถอัพเดตได้เลยทันทีไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มใหม่อีกครั้งทุกโปรแกรม คำถามที่พบบ่อยของการเปลี่ยนจาก Creative Suite มาเป็น Creative Cloud
Creative Suite ยังมีอยู่หรือไม่? ตอบ ไม่มีแล้ว Adobe จะให้บริการเฉพาะ Creative Cloud ตั้งแต่ CS 6 เป็นต้นไป ต้องต่อ Internet เวลาใช้งานหรือไม่? ตอบ จำเป็นต้องใช้ Internet เพื่อ Log in เข้าระบบเพียงครั้งเดียวทุกๆ 30 วัน เท่านั้น เวลาใช้งานไม่ต้องต่ออินเตอร์เน็ตก็สามารถทำงานได้ คุ้มค่าหรือไม่กับการจ่ายค่าใช้ซอฟท์แวร์แบบรายเดือนของ Creative Cloud for Team
ราคาของ Adobe CS6 Master Collection อยู่ที่ $2,599
ในขณะที่ Creative Cloud for Team เริ่มต้นที่ $49.99 ต่อเดือน ตกปีละ $600
และหากซื้อเกิน 5 ไลเซนส์จะลดเหลือ $39.99 ตกปีละ $480
เราจะเห็นได้ว่าเช่าใช้งานตลอด 4 ปี ยังถูกกว่าซื้อแบบ Creative Suite ของเดิม และอย่าลืมว่าภายใน 4 ปี หาก Adobe ออกเวอร์ชันใหม่ CS7, CS8 ออกมา หากต้องการใช้งาน คุณต้องซื้อใหม่นะครับ แต่พอเป็น Creative Cloud คุณจะได้รับการอัพเดตโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่แต่อย่างไร และอย่าลืมว่า Adobe ให้เราใช้ฟอนท์ได้ฟรีอีกมากกว่า 680 แบบด้วย ซึ่งหากซื้อต่างหาก มูลค่าก็ไม่ใช่น้อยๆในด้านความคุ้มค่าผมมองว่า Creative Cloud คุ้มค่ากว่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาวครับ
ในด้านการทำงานก็ช่วยอำนวยความสะดวกสบายมากกว่าด้วยระบบ Cloud ที่ทำให้เราทำงานที่เครื่องไหนก็ได้ แค่ Log in เข้าระบบ ค่า Settings ต่างๆ ก็จะเหมือนที่เราตั้งไว้ พร้อมที่เก็บไฟล์ Cloud Storage ที่ช่วยอำนวยความสะดวก ในการทำงาน อย่าลืมนะครับว่า เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ทำงานแค่บนคอมพิวเตอร์ บางครั้งเราอาจจะต้องเปิดไฟล์บน iPad หรือ Surface Pro แม้ว่าหลายคนจะแย้งว่าใช้ Dropbox แทนได้ แต่ในการใช้งานจริงมันก็ไม่สะดวกเหมือน Adobe Cloud หรอกครับ
การเริ่มต้นใช้งาน Adobe Creative Cloud
สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะใช้งาน Creative Cloud ดีหรือไม่ Adobe ใจดีให้เราทดลองใช้งานได้ 30 วัน ก่อนนะครับ มาลองดาวน์โหลดทดลองใช้ไปพร้อมๆ กันครับ
ก่อนอื่นเราต้องสมัครสมาชิกกับทาง Adobe เสียก่อน ไปที่เว็บไซต์ https://www.adobe.com กดปุ่ม SIGN IN ตรงด้านขวาบนครับ
ใส่อีเมลและพาสเวิร์ดเพื่อเข้าระบบ แต่หากว่าเรายังไม่เคยเป็นสมาชิกกับทาง Adobe มาก่อน ให้เราสมัครไอดีใหม่ก่อนครับกดด้านล่างที่เขียนว่า "Not a member yet? Get an Adobe ID"
หลังสมัครสมาชิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย กลับมาที่หน้า https://www.adobe.com อีกครั้ง คลิกไปที่ Get Crative Cloud
เราจะถูกพามาที่หน้าเว็บนี้ครับ แล้วเลือก Learn more about Creative Cloud
ที่หน้านี้ คลิก ไปที่ Start a trial เพื่อขอทดลองใช้
เลือกโปรแกรมที่ต้องการทดลองได้ตามต้องการเลยครับ
เราจะได้ไฟล์ตัว CreativeCloudSet-Up มาครับ กดดับเบิ้ลคลิกเพื่อเริ่มติดตั้ง ซึ่งจะมีการดาวน์โหลดไฟล์ รอสักครู่ครับ ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเตอร์เน็ตที่ใช้งาน
ไม่ต้องทำอะไร รออย่างเดียว โปรแกรมจะจัดการติดตั้งตัวเองจนเสร็จสิ้น และขึ้นหน้าต่างแบบนี้มาครับ ทำการ Sign in เข้าระบบด้วย Adobe ID ที่เราเพิ่งสมัครไป
ซึ่งในการใช้งานครั้งแรก ตัว Creative Cloud จะเริ่มตัวช่วยตั้งค่าโปรแกรมเพื่อดำนวยความสะดวกให้เราก่อน
โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน
Instal or uodate an application ใช้สำหรับตรวจสอบการอัพเดตและดาวน์โหลดโปรแกรมจาก Adobe มาติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ พอกดเมนูนี้เราจะเด้งไปหน้า Apps ทันที Sync files to Creative Cloud พอเลือกเมนูนี้เราจะไปที่หน้า Assets ซึ่งใช้สำหรับจัดการกับไฟล์บน Cloud ของบัญชีเรา Add fonts from Typekit เปิดเพื่อดาวน์โหลดฟอนท์จาก Adobe มาใช้งาน Link your account with Behance เป็นการแนะนำเราให้รู้จักกับ Behance พอร์ทโฟลิโอออนไลน์จาก Adobe เราสามารถโชว์ผลงานของเราหรือชมผลงานของคนอื่นได้จากส่วนนี้
Creative Cloud แบ่งเมนูออกเป็น 4 ส่วนหลัก คือ Home, Apps, Assets และ Community
หน้า Home จะเป็นรายงานความเคลื่อนไหวด้านการใช้งาน Creative Cloud ของเรา หน้่า Apps จะใช้สำหรับจัดการชุดโปรแกรม Adobe บนเครื่องของเรา การดาวน์โหลดและอัพเดตโปรแกรมทำได้ง่ายๆ ที่หน้านี้เลย สังเกตว่า CC และ CS สามารถจัดการได้ในที่เดียว ตัวโปรแกรมจะตรวจสอบเวอร์ชันให้อัตโนมัติ ในส่วนของ Assets จะแบ่งย่อยออกเป็นอีก 3 ส่วน คือ Files ตัวนี้ คือ บริการเก็บไฟล์บน Cloud เราสามารถเรียกดูโฟลเดอร์ Cloud ของ Adobe ได้อย่างรวดเร็วจากเมนูนี้ หรือจะดูผ่านหน้าเว็บก็ได้ Fonts เมนูดาวน์โหลดฟอนท์เพิ่มเติมจาก Adobe Market ค้นหาและซื้อไฟล์จำพวก Clipart, Brush หรือ Vector มาใช้งานได้จากเมนูนี้
ส่วนสุดท้าย Community ใช้สำหรับเปิดเข้าชม Behance (พอร์ทโฟลิโอของอะโดบี) ของตนเองและคนอื่น การใช้งาน
หากเรามี Creative Suite อยู่แล้ว การติดตั้ง Creative Cloud ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นนะครับ สามารถใช้งานได้พร้อมกันเลย ผมทดลองดาวน์โหลดตัว Lightroom และ Photoshop แบบ CC มาใช้ โดยเมื่อกดดาวน์โหลดจากโปรแกรม Creative Cloud เสร็จสิ้นแล้ว จะมีชอทคัทอยู่บนที่หน้าจอให้เหมือนการลงโปรแกรมปกติทั่วไป
ในการเข้าใช้งานครั้งแรกจะต้อง Sign In ก่อน ซึ่งจะขึ้นให้เราเข้าระบบแบบนี้ ทุกๆ 30 วัน ก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ เพราะปกติคอมพิวเตอร์ก็ต่ออินเตอร์เน็ตเกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว
จากนั้นโปรแกรมก็จะเปิดขึ้นมาใช้งานเหมือนที่กับเวอร์ชัน CS ทุกประการครับ ไม่มีอะไรแตกต่าง
ในการเรียกโปรแกรมขึ้นมาครั้งแรก หากเรามีโปรแกรมชนิดเดียวกันอยู่ มันจะถามว่าเราต้องการให้ดึงการตั้งค่าต่างๆ จากเวอร์ชันเดิมเข้ามาให้ด้วยหรือไม่
การใช้งานเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีความแตกต่าง มีแต่ข้อดีที่เพิ่มเข้ามา อย่างไดร์ฟ Cloud เป็นต้น
ความเห็นจากไทยแวร์
ข้อดี
หากเป็นคนที่ใช้งานโปรแกรม Adobe เป็นประจำ จะมีค่าใช้งานโปรแกรมที่ถูกกว่า มีระบบ Cloud ช่วยให้ใช้งานที่ไหนก็ได้ อัพเดตได้ตลอดโดยไม่ต้องซื้อเวอร์ชันใหม่ทุกครั้ง ข้อเสีย
ต้องล็อกอินทุกๆ 30 วัน หากเป็นคนที่ไม่ต้องการใช้งานคุณสมบัติใหม่ๆ การซื้อแบบ CS ครั้งเดียวเพื่อใช้งานไปตลอดอาจจะคุ้มค่ากว่า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบแต่ในตอนนี้ Adobe ก็บริการโปรแกรม Adobe ในรูปแบบ Creative Cloud เท่านั้น ไม่มี Creative Suite ออกมาจำหน่ายอีกต่อไป ในแง่ของการใช้งานทุกอย่างดีขึ้น และหากเป็น Creative Cloud for team ทาง Adobe จะมีตัวควบคุมไลเซนส์และ Cloud ซึ่งจะจัดการกับซอฟท์แวร์ในองค์กรได้ง่ายกว่าแต่ก่อนซึ่งเป็นออฟไลน์ แถมค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟท์แวร์และดูแลระบบมีต้นทุนที่ต่ำลงกว่าเดิมมาก