เทคโนโลยี GPS หรือ Global Positioning System ระบุตำแหน่ง ถูกนำมาใช้ในการติดตามพิกัด ติดตามสิ่งของ คน สัตว์เลี้ยง หรือสิ่งของอะไรก็ตาม โดยเชื่อมโยงกับดาวเทียม และนำอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยในความแม่นยำ ถ้าเป็นมือถือจะมี GPS สามารถติดตามค้นหาตำแหน่งที่ตั้งได้ แต่สำหรับสิ่งของต่างๆ อย่างเช่น กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าถือ กุญแจรถ กุญแจบ้าน ที่เรามักลืมบ่อยๆ หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงแสนรักของเรา ตัวมันไม่ได้มี GPS ให้เราติดตาม และไม่สามารถร้องเตือน แจ้งเตือน ไม่เหมือนกับมือถือที่มี GPS ในตัว บางคนถึงกับหามือถือมี GPS ติดรถไว้เครื่องนึง ชาร์จแบตไว้ตลอด เผื่อรถหายก็ตรวจสอบจาก GPS ได้
แต่ถ้าเรามีอุปกรณ์ Tracking แปะติดสิ่งของต่างๆเอาไว้ ก็จะทำให้เราสามารถค้นหาตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆได้เช่นกัน TrackR Bravo คือ ที่สุดของการค้นหา โดยตัวมันจะมี GPS แขวน หนีบ ร้อย ติดกับอุปกรณ์ต่างๆได้ มีน้ำหนักเบา ไม่เป็นอุปสรรคในการพกพา
TrackR Bravo เป็นอุปกรณ์ GPS (Hardware) ที่ใช้ติดกับสิ่งของที่เราต้องการ Tracking แต่จะต้องมี Software ในการติดตาม โดยจะต้องลงทะเบียน และติดตั้งแอปบน iPhone, iPad และ Android และ Pair Bluetooth เชื่อม TrackR Bravo กับสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต
TrackR Bravo มีขนาดเล็กมาก ถ้าเทียบกับเหรียญ 10 ใหญ่กว่านิดหน่อย (แต่ในภาพ เทียบกับเหรียญ 5 บาท) การใช้งานคือติด (แปะ, ห้อย หรือแขวน) เจ้า TrackR Bravo ไว้กับอุปกรณ์สุดรักสุดหวงของเรา แล้วจัดการ Pair สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ผ่าน Bluetooth ด้วยแอป TrackR เพื่อให้รู้จักตำแหน่งกันและกัน
หากเราเดินห่างจากตำแหน่ง (ในระยะ Bluetooth) ก็จะสามารถตามหาได้ เพราะเป็นการ Pair ในรัศมีระยะที่จำกัด โดยใช้แอป TrackR ค้นหาตำแหน่ง จะมีเสียงร้องแจ้งเตือน หรือในทางกลับกัน ถ้าเราลืมมือถือ แต่ตัว TrackR Bravo อยู่ในมือเรา ก็ให้กดที่ตัว TrackR Bravo เพื่อให้มือถือร้องเตือนได้ แม้จะปิดเสียงอยู่ก็ตาม
หน้าตา TrackR Bravo
ในแพ็คเกจใส่ถ่านกระดุมมาให้เลย ดังนั้นในแพ็คเกจจึงเห็นเฉพาะตัว TrackR Bravo
สเปค TrackR Bravo
อุปกรณ์ที่รองรับ ติดตั้งแอป TrackR
หน้าตาการใช้งานของ TrackR Bravo มีปุ่มสีดำให้กด (ผมใช้เล็บจิก) ถ้าตัวเครื่องส่งสัญญาณ Bluetooth ตอน Pairing จะมีไฟกระพริบสีฟ้าตรงปุ่มสีดำนี้
ด้านข้าง ใช้เข็มจิ้มซิม แงะเพื่อใส่หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้
เมื่อจัดแจงใส่ถ่านเรียบร้อยแล้ว ก็ดาวน์โหลดแอป TrackR - Lost Item Tracker จาก AppStore / Play Store ติดตั้งลงบนเครื่อง iPhone, iPad, Android จากนั้นเปิดแอปแล้วเริ่มพร้อมๆกันเลย
แอป TrackR ควบคุมได้ทั้ง TrackR 3 รุ่น TrackR wallet, TrackR sticker และ TrackR bravo ในที่นี้เราเชื่อม TrackR bravo กับแอป TrackR ผ่าน Bluetooth
เปิด Bluetooth เพื่อเชื่อม วิธีการก็เหมือนกับการเชื่อม Bluetooth ทั่วไป แต่ถ้า Pair ไม่ได้ แนะนำให้ถอดถ่านกระดุมแล้วใส่ใหม่
ระบบของ TrackR Bravo คล้ายกับระบบทั่วไป คือต้องลงทะเบียน และล็อกอินเข้าสู่ระบบ เพิ่ม เปลี่ยน ถอน อุปกรณ์ได้ผ่านบัญชี TrackR ถ้าใครมีเจ้า TrackR Bravo หรือรุ่นอื่นๆ เพิ่มเติม ก็เชื่อมด้วยแอปนี้โดยกด Add New Device เพื่อเพิ่มอุปกรณ์ (เชื่อมต่อสูงสุด 10 อุปกรณ์)
สำหรับอุปกรณ์ที่เอาเจ้า TrackR Bravo ไปติด ผูก ห้อย ก็มีหลายอย่าง ในทีนี้ผมเก็บเจ้า TrackR Bravo ไว้ในกระเป๋าสตางค์ จัดการ Sign Up ในขั้นตอนนี้ แนะนำให้เปิด Bluetooth ไว้ตลอดเวลา และลงทะเบียนเพื่อใช้งาน Crowd GPS
ขออธิบาย Crowd GPS นิดนึง เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วย GPS เดิมที่มีข้อจำกัด โดยจะมีการส่งสัญญาณจากตัว TrackR Bravo ไปยังโทรศัพท์มือถือเครื่องอื่นๆ เพราะสัญญาณ Bluetooth ที่เราเชื่อมต่อปกตินั้นมีระยะรัศมี 100 ฟุตเท่านั้นเอง มือถือเครื่องอื่นจะช่วยเราในการระบุตำแหน่งที่ตั้งได้ด้วย โดยตัวอุปกรณ์ที่ติด TrackR Bravo จะส่ง broadcast ID ผ่าน Bluetooth Low Energy ดังนั้นหากสิ่งของสูญหาย หรือเราหาไม่เจอ ข้อดีคือมีเซิร์ฟเวอร์ของ TrackR ในการรวบรวมที่ตั้ง อุปกรณ์ที่คลาดจากรัศมี Bluetooth ของเราไป แต่ใช้มือถือเครื่องอื่นในรัศมีช่วยส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์แบบ Background ทำให้เรายังติดตามแผนที่ Crowd GPS ได้ คล้ายๆกับ Find my iPhone นั่นเอง
เอาล่ะ Sign Up ลงทะเบียนเรียบร้อย ก็ผูกกับบัญชี TrackR และ Crowd GPS แล้ว
ในภาพ จะเห็นหน้าจอในการค้นหากระเป๋าสตางค์ โดยผมใส่ TrackR Bravo ไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้วเอามือถือออกห่างจากกระเป๋าสตางค์ไปเรื่อยๆ ถ้าเทียบ 100 ฟุต ก็ประมาณ 30 เมตร ออกห่างเกินรัศมีก็เตือนแล้วล่ะครับ
ตัวเลือกของแอป ให้เราปรับแต่ง Silent Mode ได้ด้วย สังเกตว่ามี Wi-Fi Safe Zone ด้วย
คือแบบนี้ครับ ปกติเวลาเราอยู่ข้างนอก เจ้าแอป TrackR ก็ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะต่อ 3G 4G Wi-Fi แต่ถ้าเราอยู่บ้าน หลายคนมักจะเชื่อมต่อ Wi-Fi บ้าน แทนการใช้เน็ตมือถือ แล้วถ้าวางกระเป๋าตังไว้ข้างล่าง ขึ้นไปนอนชั้นบน ระบบต้องแจ้งเตือนตามหน้าที่ของมัน แต่เราสามารถกำหนดค่าได้ว่า เมื่อใดก็ตาม ที่เข้าโซน Wi-Fi ที่กำหนดนี้ Wi-Fi Safe Zone จะกำหนดให้แอป Disable การแจ้งเตือน (ในขณะที่คุณเชื่อมต่อ Wi-Fi เฉพาะ SSID อันนี้) ทำให้เราวางกระเป๋าสตางค์ไว้ตรงไหนของบ้านก็ได้ วางแยกกับมือถือก็ได้ ไม่มีเสียงเตือน เฉพาะตอนที่เชื่อมต่อ Wi-Fi บน Safe Zone ที่เรากำหนด
ผู้เขียนทดสอบโดยเชื่อมต่อมือถือผ่าน Wi-Fi ที่ Tethering HotSpot จากมือถืออีกเครื่องนึง ชื่อ Wi-Fi จึงเป็น My ASUS ดังนั้นเมื่อเชื่อมต่อ Wi-Fi อันนี้ เราจึงตั้งค่าให้ทำงานใน Silent Mode หรือโหมดเงียบ ไม่ต้องเตือนอะไรเรา แต่เมื่อใดก็ตามที่หลุดจาก Wi-Fi นี้ ก็จะทำการแจ้งเตือนตามปกติ
นอกจากนี้ยังมียังรองรับการทำงานร่วมกับ Nest (ต้องมีเครื่อง Nest) ด้วย สามารถกำหนดตำแหน่งปิดเสียงเตือน (Silent Mode) คล้ายกับ Wi-Fi Safe Zone แต่ไม่ต้องอ้างอิงจาก Wi-Fi
หลักการก็คือ Nest จะให้เรากำหนดว่า ถ้าอยู่บ้าน (แต่ไม่ต้องต่อ Wi-Fi) จะปิดเสียงเตือน
หลังจากเชื่อมกับ Nest ในหน้าจอนี้ เมื่อเลื่อนลงมาจะมีปุ่ม Accpet ให้กด จากนั้นจะมี Pin Code ให้จดเอาไว้ หรือกดค้างเพื่อ Copy Pin Code นำมาป้อนใน Nest เพื่อผูกค่าการแจ้งเตือน เมื่อผูกเรียบร้อยแล้ว หากคุณอยู่บ้าน (เครื่องจับตำแหน่งพิกัด) ก็จะไม่แจ้งเตือน
สำหรับบัญชี TrackR จะมีแสดงข้อมูลจำนวนครั้งการแจ้งเตือน มือถือกับอุปกรณ์ อุปกรณ์กับมือถือ การแจ้งเตือน และการค้นหาอุปกรณ์อื่นๆผ่าน Crowd Locate GPS ให้เราทราบด้วย
จากที่ได้ใช้งาน TrackR Bravo กับบริการ TrackR พบว่าใช้งานได้สะดวกดี จับคู่อุปกรณ์ก็ง่าย ใช้งานง่าย น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ลืมกุญแจรถ กุญแจบ้าน บ่อยๆ แต่ถ้าลืมมือถือด้วยไม่ต้องตกใจเขามีบริการ Crowd GPS ล็อกอินเข้าผ่านเว็บไซต์ได้อยู่ ใช้คอมพิวเตอร์ หรือมือถือ แท็บเล็ตเครื่องอื่นดูได้
สำหรับราคา อาจจะดูสูงสักนิด แต่ถ้ามูลค่าของสำคัญของเรา รักและหวงมาก ราคานี้คุ้ม เพราะถ้ามองจริงๆ ราคาเคสมือถือดีๆก็ราคาประมาณนี้แหละ
|
ความคิดเห็นที่ 1
20 กุมภาพันธ์ 2560 17:48:42
|
|||||||||||||||||||||||||||||
GUEST |
Bancha
ผมซื๊อมาแล้วมันใช้งานจริงไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นอุปกรณ์GPSตามที่อ้างหรือทำให้เราเข้าใจ มันเป็นแค่ Bluetoothครับ อย่าเสียตังค์เปล่าๆครับ
|
||||||||||||||||||||||||||||