Game: Outlast 2
Genre: Horror, First-Person
Platform: PlayStation 4, Xbox One, PC
Release Date: April 25, 2017
ในปี 2013 ที่ผ่านมา Red Barrels Studio ค่ายพัฒนาเกมส์อินดี้เล็กๆ จากแคนาดา ได้ฝากผลงานสุดสยองขวัญเนื้อเรื่องเยี่ยมชิ้นแรกของพวกเขาไว้อย่าง Outlast ที่ได้ทำให้วงการเกมส์และค่ายพัฒนาน้อยใหญ่ ต้องแข่งกันคิดหาความสยองขุมใหม่เพื่อที่จะได้ฝังเข้าไปในใจเหล่าเกมเมอร์ได้เหมือนกับเกมส์ดังกล่าว
ซึ่งในปี 2017 นี้เอง ค่ายถังแดง ก็ได้สานต่อผลงานขึ้นหิ้งเพียงหนึ่งเดียวของเขาในชื่อ Outlast 2 ที่ยังคงนำเอกลักษณ์เดิมมาใช้ด้วยรูปแบบการเล่นที่ "ไร้ทางสู้" เพื่อขับส่งอารมณ์สยองขวัญให้ทวีคูณเป็นเท่าตัว แต่ในภาค 2 นี้ จะยังเป็นเกมส์สยองขวัญที่น่าจดจำดั่งเช่นภาคแรกอยู่หรือไม่? เชิญหาคำตอบได้ในบทความนี้เลยครับผม!
เนื้อเรื่องโดยคร่าวๆ นั้น ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Blake Langermann ตากล้องที่เดินทางไปยังทางใต้ของรัฐแอริโซน่าพร้อมกับภรรยานักข่าวนาม Lynn Langermann เพื่อตามสืบเรื่องราวการหายตัวไปของ Jane Doe หญิงสาวตั้งท้องอายุครรภ์ 8 เดือน โดยทั้งคู่สันนิษฐานเบื้องต้นว่าเธอ ได้ถูกฆาตกรรมในแถบพื้นที่ดังกล่าว แต่แล้วเฮลิคอปเตอร์ที่ทั้งสองนั่งมา เกิดอุบัติเหตุจนส่งผลให้เครื่องตก ส่งผลให้ Lynn หายตัวไปอย่างปริศนา จึงเป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องออกตามหาภรรยาและสืบเรื่องราวสยองขวัญที่เกิดขึ้นที่นี่และหาต้นตอความจริงของเรื่องทั้งหมด
เนื้อเรื่องใน Outlast 2 นั้น ถ้าเป็นในแง่ของความปะติดปะต่อและสถานกาณณ์กดดันผู้เล่น ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าภาคแรกพอสมควรครับ แต่ถ้ามาดูกันที่เส้นเรื่องหลักแล้วล่ะก็ จะพบว่าตัวเกมส์มีความจงใจในการกั๊กปมหลายๆ จุดไว้ และนำเงื่อนลับเหล่านั้น ไปเฉลยใน DLC ซึ่งก็ขอเดาเลยว่าต้องมีออกมาแน่ๆ
แม้เอกสารต่างๆ ภายในเกมส์ที่ผู้เล่นต้องตามเก็บ และการบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ของตัวละครเอกที่เป็นดั่งการสรุปสถานการณ์ในแต่ละช่วงของเกมส์ (เป็นวิธีการย่อยเนื้อเรื่องของเกมส์เหมือนภาคแรก) จะเป็นข้อมูลที่ไว้ใช้สนับสนุนเส้นเรื่องหลัก แต่ในหลายๆ ปม กลับบอกเล่าแบบอ้อมโลก คดโค้งไปมา และกรณีแย่ที่สุด คือการไม่ยอมเฉลยให้กระจ่าง ต่างจากภาคแรกที่ตัวเกมส์หลักได้เฉลยทุกข้อสงสัยอย่างหมดเปลือก แต่กระนั้นผู้เล่นก็สามารถรับรู้ข้อมูลเสริมที่น่าสนใจได้ต่อใน DLC ชื่อ Whistleblower
ในจุดนี้ เราคิดว่ามัน "ไม่แฟร์" กับผู้เล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่คาดหวังเนื้อเรื่องในภาคนี้ไว้สูง เพราะจุดเด่นของ Outlast ในภาคแรก ที่นอกเหนือจากการกระตุกขวัญผู้เล่นแล้ว ก็มีเนื้อเรื่องนี่แหล่ะครับ ที่ทำออกมาได้ชวนติดตามน่าสนใจและไม่ค้างคา
แต่สำหรับใครที่ไม่ได้คาดหวังหรือเฉยๆ กับองค์ประกอบของเกมส์ในส่วนนี้ Outlast 2 ก็ถือว่าเป็นเกมส์ที่ยังสามารถทำให้ผู้เล่น กดดันและไม่ขาดช่วงไปกับการเนื้อเรื่องที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง หรือโดยสรุปคือ Outlast 2 ยังคงมีคุณสมบัติในการเป็นสื่อรูปแบบสยองขวัญที่เน้นการกดดันด้านอารมณ์กลัวอยู่ แต่ที่ขาดหายไปคือความไม่กระจ่างในทุกซอกทุกมุมของเหตุและผลที่ตัวเกมส์ได้นำเสนอครับ
ไม่เพียงแต่เนื้อเรื่องที่ Outlast 2 ทำให้ผู้เล่นรู้สึกถูกเอาเปรียบ (ด้วยโมเดลการตลาดหวังต่อยอดขายเพิ่มด้วย DLC) แต่ยังรวมไปถึงระบบการเล่น โดยเฉพาะการหลบและซ่อนภายในเกมส์ ที่ชวนให้ผู้เล่นหงุดหงิดไปกับความรู้มากของศัตรู ไม่ใช่ฉลาดนะ แต่รู้มาก! เพราะดูเหมือนในภาคนี้ ทีมพัฒนาได้เปลี่ยนรูปแบบการประมวลผลของ A.I. ศัตรูในการตามติดผู้เล่น จากที่ภาคแรก ศัตรูจะวิ่งไล่ตามเราด้วยระยะที่มองเห็นของมัน และจะกระชากคอผู้เล่นออกจากที่ซ่อนก็ต่อเมื่อเราเข้าไปหลบตอนที่มันเห็นจากระยะสายตาของมัน
แต่มาในภาคที่ 2 นี้ ไม่ว่าผู้เล่นจะหลบจนพ้นระยะมองเห็นแล้วก็ตาม ศัตรูก็จะรู้อยู่ดีว่าผู้เล่นซ่อนอยู่ตรงไหน เราเชื่อเลยว่าผลลัพธ์ในการเจอศัตรูในเกมส์ โดยเฉพาะประเภทหัวหน้าครั้งแรกของผู้ที่เพิ่งเล่น คือ "การตาย" เพราะตัวเกมส์มีสคริปต์ที่ล็อกเอาไว้อยู่ ทำให้ผู้เล่นต้องโดนกระซวกไส้ครั้งแล้วครั้งเล่า (ราวกับเล่นเกมส์ซีรีย์ Dark Souls...) จนกว่าจะรู้ว่าจุดใดในฉากที่ปลอดภัยไร้สคริปต์ ทำให้การหลบซ่อนในเกมส์ในภาคนี้ ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป และเหลือไว้เพียงการตายอย่างวกซ้ำวนไปจุดเดิมๆ ซึ่งเมื่อผนวกเข้ากับการที่ตัวละครของเราไม่สามารถต่อสู้หรือโต้กลับศัตรูในเกมส์ได้เลย ก็ยิ่งทำให้ในส่วนนี้กลายเป็นการเพิ่มความหงุดหงิดในการเล่นเข้าไปอีก
และดูเหมือนตัวเกมส์เอง ก็ดูจะจงใจให้ผู้เล่นต้องตายเกิดแบบวนเวียน จึงมีรีแอคชั่นการตายอันหลากหลายที่ชวนสยองขนลุกขนพอง แต่ก็ด้วยความที่ผู้เล่นต้องตายเป็นผักปลา ท่าการตายอันแสนสร้างสรรค์ต่างๆ ก็ชวนให้เรารู้สึกสยดเพียงไม่กี่ครั้งแรกเท่านั้น
แต่ภายใต้ความรู้มากของศัตรูที่ชวนให้ไม่สบอารมณ์ ก็มีไอเดียที่เพิ่มเข้ามาส่งเสริมให้นิยามของความสยองขวัญเด่นชัดขึ้น นั่นคือ ระบบฟังศัตรู ที่จะเป็นการเปิดใช้แชนแนลเสียงของกล้องในการตรวจคลื่นความถี่เสียงของศัตรูว่าพวกมันอยู่ใกล้ตัวเรามากน้อยแค่ไหน ที่นอกจากจะไว้ช่วยเหลือเราแล้ว ยังทำให้การหลบซ่อนศัตรูในเกมส์นี้ รู้สึกกดดันขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และการใช้โหมดภาพมองตอนกลางคืนของกล้อง (Night Vision) ก็ยังคงเป็นอะไรที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกอึดอัดตาไปกับแสงสีเขียวชวนสยอง แม้ A.I. ศัตรูจะช่างศรีธนญชัยก็เถอะ (รู้มากนั่นแหล่ะ)
นี้คือส่วนดีที่สุดของ Outlast 2 ที่ยังทำให้เกมส์ตากล้องลองของนี้ อยู่ในหมวดหมู่เกมส์ "คุณภาพ" และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกราฟฟิกเอนจินที่เกมส์ภาคนี้ใช้นั้น คือ Unreal Engine 3 ที่เปิดตัวมานมนานตั้งแต่ปี 2004 แต่กระนั้นแสงเงาที่ทีมพัฒนาเสกสรรออกมา กลับมีการไล่น้ำหนักของแสงที่ใกล้เคียงกับของจริงในระดับหนึ่ง และยิ่งเมื่อตัวเกมส์ใช้ช่วงเวลากลางคืนเป็นช่วงเวลาหลักของเกมส์ การตัดกันของแสงเงาในฉากที่ผู้เล่นพบเห็นตลอดการเดินทางจึงยิ่งเห็นได้ชัดเจนเข้าไปอีก และชูให้บรรยากาศในตอนเล่นมีความสมจริงและรู้สึกได้ถึงความอึดอัด
แต่ก็ใช่ว่าในส่วนกราฟฟิกนี้ จะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง เพราะในด้านโมเดลตัวละครนั้น ก็ดูจะปั้นออกมาอย่างเรียบๆ ไม่ได้หวือหวาอะไร ต่างจากการไล่แสงเงาในเกมส์ที่ดูตั้งใจทำกว่าเป็นไหนๆ อีกทั้งพื้นผิวในหลายๆ สิ่ง (ตัวละคร, สิ่งของ, ฉาก) ก็ถูกทำออกมาอย่างขอไปที เหมือนผู้พัฒนาคิดแค่ว่าทำออกมาไม่ให้ดูตกยุคเกินไปก็เป็นพอ
หนึ่งในประสาทสัมผัสที่สำคัญในภาพยนตร์หรือเกมส์แนวสยองขวัญ คือ การได้ยิน และเสียงใน Outlast 2 นั้น ก็เปรียบได้ดั่งพระเอกของเรื่องที่รับบทด้วยดาราค่าตัวแพงที่สมค่าตัวทุกบาททุกสตางค์ เพราะเกือบทุกๆ อย่างในเกมส์ ที่ผู้เล่นได้ยินเมื่อเข้าใกล้ สัมผัส หรือแม้แต่โดนกระทำ ล้วนแล้วแต่เป็นเสียงที่ถูกบันทึกไว้ด้วยวิธีการคุณภาพสูง อีกทั้งไดนามิกส์หรือน้ำหนักของเสียงก็มีความหนักความเบาที่แยกแยะออกได้อย่างชัดเจน
โดยรวม Outlast 2 นั้น มีหลายสิ่งที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านประสิทธิภาพอย่างกราฟฟิกและไฟล์เสียงของเกมส์ที่ถูกทำออกมาได้อย่างประณีต และเนื้อเรื่องของเกมส์ที่ชวนให้ติดตามด้วยความปะติดปะต่อที่มีมากกว่าภาคแรก แต่กระนั้นตัวเกมส์ก็มีสคริปต์ที่ไม่แฟร์กับผู้เล่น และ A.I. ของศัตรูที่รู้มากจนเกินไป ทำให้ผู้เล่นที่ต้องการเล่นเกมส์อย่างมีตรรกะแบบพอประมาณ ต้องเสียความรู้สึกในส่วนนี้ แต่หากใครที่ต้องการเกมส์สยองขวัญเด่นชัดด้านความกดดันด้านอารมณ์แล้วล่ะก็ Outlast 2 อาจตอบโจทย์คุณได้ในจำนวนมากเลยทีเดียวล่ะ
ข้อดี | ข้อสังเกต |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ทำไมไม่เรียกแมว! รักหนัง รักเกม ร๊ากกทุกคนนน ~ <3 |