ในอีกไม่กี่วัน เราก็จะได้พบกับสมาร์ทโฟนที่มีใครหลายคนรอคอยอยู่ นั่นก็ คือ iPhone รุ่นใหม่ จาก Apple ซึ่งการเปิดตัว iPhone ในปีนี้มีความพิเศษตรงที่ครบรอบ 10 ปี การถือกำเนิดของ iPhone
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=vN4U5FqrOdQ
ในยุคที่สมาร์ทโฟนในท้องตลาดยังคงเป็น Symbian, Palm OS หรือ Windows Phone ทันทีที่สตีฟ จอบส์ ได้เปิดตัว iPhone ในงาน Macworld 2007 มันได้เปลี่ยนนิยามของสมาร์ทโฟนไปตลอดกาล ผ่านมา 10 ปี iPhone ได้มีการพัฒนาอะไรบ้าง มาดูการวิวัฒนาการของมันกันเถอะ
29 มิถุนายน 2007 - ในงาน Macworld 2007 สตีฟ จอบส์ ได้เปิดตัว iPhone รุ่นแรกบนเวที มันเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกจาก Apple มาพร้อมกับหน้าจอทัชสกรีนแบบมัลติทัช เราสามารถใช้นิ้วในการควบคุมสิ่งต่างๆ บนหน้าจอได้อย่างอิสระ อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาของปัจจุบันนี้ แต่การใช้ 2 นิ้ว ลากเพื่อขยายภาพในสมัยนั้นมันเป็นอะไรที่ล้ำมาก ไหนจะคีย์บอร์ดที่ใช้นิ้วพิมพ์ได้อย่างแม่นยำ มีเว็บเบราว์เซอร์ที่เปิดเว็บได้ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ แถมยัง Sync เพลงจาก iTunes มาฟังได้เหมือน iPod ได้อีกด้วย
หน้าจอมีขนาด 3.5 นิ้ว, หน่วยความจำเริ่มต้นที่ 4GB, แรม 128MB และมาพร้อมกล้องความละเอียด 2MP เครื่องรุ่นแรกแม้จะต่ออินเทอร์เน็ตได้แล้ว แต่ก็ยังไม่มี App Store นะ ไม่สามารถติดตั้งแอปฯ เพิ่มได้
11 กรกฏาคม 2008 - หลังผ่านเวลาไปได้เกือบปี Apple ก็เข็น iPhone รุ่นใหม่ออกมา สเปคไม่ได้ต่างจากรุ่นแรกมากนัก แต่ว่าคราวนี้มันรองรับการเชื่อมต่อแบบ 3G แล้ว และยังมี App Store แล้วด้วย ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตบนไอโฟนทำได้ดีกว่าเดิมมาก และลงแอปฯ เพิ่มความสามารถใหม่ๆ ให้กับ iPhone ได้ด้วย
19 มิถุนายน 2009 - เป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มความจุให้เป็นสูงสุด 32GB และเพิ่มแรมเป็น 256MB หลังจากที่เปิดตัว App Store ทำให้ผู้ใช้พบว่า ความจุ 16GB ไม่เพียงพอสำหรับการเก็บแอปฯ อีกต่อไป กล้องก็ถูกอัพเกรดเป็นความละเอียด 3MP และรองรับการถ่ายวิดีโอแล้ว และยังมีการเพิ่มระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Control เข้ามาใน iOS อีกด้วย
24 มิถุนายน 2010 - iPhone 4 เป็น iPhone รุ่นแรกที่ใส่กล้องหน้าเข้ามา และมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Retina แถมยังเพิ่มแรมเป็น 512MB
ใครที่เคยใช้รุ่นนี้ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นรุ่นที่ออกแบบได้สวยมาก ฝาหลังเป็นกระจกสวยงามดูหรูหรา แม้ว่าพอตกแล้วจะแตกง่ายก็ตาม มีการแซวว่าห้ามทำตกโดยเด็ดขาด หากไม่อยากใช้ iPhone ลายใยแมงมุม
14 ตุลาคม 2011 - iPhone 4 กับ iPhone 4s ไม่มีความแตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก กล้องได้รับการอัพเกรดเป็น 8MP และสามารถบันทึกวิดีโอแบบ Full HD 1080p ได้แล้ว ซึ่งหน่วยความจำก็เลยมีการเพิ่มแบบ 64GB ขึ้นมาให้เลือกซื้อด้วย อย่างไรก็ตาม แรมยังคงมีขนาดเท่าเดิม คือ 512MB
ในส่วนของซอฟต์แวร์ Apple ก็ได้ใส่ Siri เข้ามาเป็นครั้งแรก และปลุกกระแสเทคโนโลยีการสั่งงานด้วยเสียงให้กลับมาฮิตอีกครั้งหนึ่ง
21 กันยายน 2012 - นี่เป็น iPhone รุ่นที่ประสบความสำเร็จสูงมากทีเดียว ขายได้ถึง 5 ล้านเครื่องภายในสัปดาห์แรก แม้ว่ากล้องจะไม่แตกต่างจาก iPhone 4S สักเท่าไหร่ แต่ว่าแรมได้ขยับไปที่ 1GB และยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ 4G LTE อีกด้วย
และยังเป็นครั้งแรกที่ Apple ได้เปิดตัวพอร์ตแบบ Lightning ที่ใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน และมีการปรับขนาดหน้าจอจากเดิม 3.5 นิ้ว ขึ้นมาเป็น 4 นิ้ว ตามความต้องการของผู้ใช้ ที่เรียกร้องให้ Apple ทำสมาร์ทโฟนจอใหญ่ออกมา
20 กันยายน 2013 - เป็นครั้งแรกที่ Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่พร้อมกันถึง 2 รุ่น ซึ่งก่อนเปิดตัวมีข่าวลือว่า Apple จะทำ iPhone 5c เป็น iPhone รุ่นประหยัด แต่ผลปรากฏว่าราคาในตอนเปิดตัวมันก็ไม่ได้ถูกสักเท่าไหร่ เหมือนออกมาเพื่อให้คนตัดสินใจซื้อ iPhone 5s ง่ายขึ้นมากกว่า ด้วยราคาของ iPhone 5s ที่แพงกว่าไม่มากนัก แต่ได้สเปคที่ดีกว่า แถมยังมีดีไซน์ที่ไฮโซกว่าอีกด้วย
ในส่วนของ iPhone 5s นี่เป็นหนึ่งในรุ่นที่สาวกหลายคนบอกว่าเป็นไอโฟนออกแบบมาได้สวยที่สุดตลอดกาล (นับรวมจนถึง iPhone 7) Apple ได้มีการเพิ่มระบบสแกนลายนิ้วมือ Touch ID เข้ามาเป็นครั้งแรก ซึ่งก็เป็นเทคโนโลยีที่ว่ากันตรงๆ ก็เป็นแค่เหล้าเก่าในแก้วใหม่ แต่ก็กลายเป็นมาตรฐานของระบบรักษาความปลอดภัยยอดนิยมบนสมาร์ทโฟนมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ iPhone 5s ยังมีของเล่นใหม่อย่าง Dual Flash แฟลชแบบ 2 สี ที่ให้แสดงอ่อนนุ่มกว่าแบบเก่าที่เป็นสีขาวแข็งโป๊ก, การถ่ายวิดีโอแบบ Slo-mo 120fps และก็ชิป M7 Motion ที่เข้ามาช่วยลดอัตราการใช้งานพลังงานของแบตเตอรี่
19 กันยายน 2014 - แม้ว่าสตีฟ จอบส์ ผู้คิดค้น iPhone จะเคยบอกว่าหน้าจอ 3.5 นิ้ว นั้นคือ ขนาดที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะนิ้วเราจะสามารถกดได้ทุกตำแหน่งของหน้าจอ แต่ว่าผู้บริโภคไม่คิดเช่นนั้น ในช่วงเวลานั้นสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในท้องตลาดได้ขยับหน้าจอไปที่ 5-6 นิ้ว กันแล้ว ตัวอย่างเช่น Samsung Galaxy Note ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ทำให้ในที่สุด Apple ก็ผลิต iPhone จอใหญ่ออกมาขายจนได้
Apple เปิดตัว iPhone 6 พร้อมกับ iPhone 6 Plus ขนาดของหน้าจอได้ขยับเป็น 4.7 นิ้ว กับ 5.5 นิ้ว สเปคภายในไม่ค่อยแตกต่างจาก iPhone 5s สักเท่าไหร่ มีการอัพเกรดเพียงเล็กน้อย แต่หน่วยความจำภายในได้เพิ่มตัวเลือกขนาด 128GB เข้ามาด้วย
19 กันยายน 2015 - แม้ว่าภายนอกของ iPhone 6 กับ 6s จะไม่แตกต่างกัน แต่ฮาร์ดแวร์ภายในมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก กล้องได้รับการอัพเกรดเป็น 12MP ในส่วนของแรมก็กระโดดไปที่ 2GB
วัสดุของตัวเครื่องได้เปลี่ยนไปใช้อลูมิเนี่ยม 7000 ซีรี่ย์ ที่แข็งแรงมากกว่าเดิม เพื่อแก้ปัญหาที่ iPhone 6 มีอาการบิดงอเมื่อโดนกดทับ และไม่เพียงแค่นั้น หน้าจอได้เพิ่มเทคโนโลยี 3D Touch เข้ามา ทำให้การควบคุมตัวเครื่องมีอิสระและง่ายยิ่งกว่าเดิม
31 มีนาคม 2016 - เป็น iPhone รุ่นที่ออกมาแบบงงๆ เอาดีไซน์เก่าอย่าง iPhone 5s (รุ่นที่หลายคนชอบดีไซน์เป็นอย่างมาก) กลับมาใช้อีกครั้ง แต่ใส่สเปคของ iPhone 6s เข้าไป แต่ว่าตัด 3D Touch ออก และวางจำหน่ายในราคาที่ไม่แพงนัก ส่งผลให้มันขายดีอย่างไม่น่าเชื่อ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
16 กันยายน 2016 - นี่เป็นครั้งแรกที่ Apple เปิดตัวไอโฟนเจนเนอเรชั่นใหม่ แต่ใช้ดีไซน์เดิม หน้าตาคล้ายกับ iPhone 6 เป็นอย่างมาก เพียงแต่ตัดช่องเสียบหูฟังออก และเพิ่มกล้องคู่เข้ามาในรุ่น iPhone 7 Plus
ใน iPhone 7 Apple ได้เพิ่มสีใหม่ที่เรียกว่า Jet Black เข้ามา เป็นสีดำเงาที่สวยมาก แต่ตามมาด้วยปัญหาเป็นรอยขนแมวง่ายแบบสุดๆ ในรุ่นนี้ Apple ได้เปิดตัว Portrait mode ที่ช่วยให้ iPhone 7 Plus สามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จำนวนมาก ไม่ค่อยพอใจที่ Apple ตัดช่องเสียบหูฟังออก แม้ว่าในกล่องจะมีการแถมอะแดปเตอร์แปลงแจ็ค 3.5 มม. เป็น Lightning ให้มาในกล่องก็ตาม
12 กันยายน 2017 - iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีความธรรมดาจนน่าแปลกใจ ราวกับว่ามันเหมือนเป็นแค่ iPhone 7s กับ iPhone 7 Plus เท่านั้น ดีไซน์คล้ายกับ iPhone 7 แต่ว่าวัสดุตัวเครื่องเปลี่ยนไป มีการใช้กระจกเข้ามาช่วยทำให้เครื่องสวยยิ่งกว่าเดิม ฮาร์ดแวร์ภายในได้รับการอัพเกรดใหม่หมดทั้งซีพียู, กล้อง และลำโพง
iPhone X (อ่านว่า ไอ-โฟน-เท็น) ไอโฟนรุ่นที่เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 8 ถือว่าเป็นพระเอกของงานนี้อย่างแท้จริง ด้วยดีไซน์แบบใหม่หมด หน้าจอไร้ขอบ แถมยังเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยี OLED อีกด้วย ปุ่มโฮมถูกตัดออกไปพร้อมกับ Touch ID แต่ใส่เทคโนโลยีใหม่ Face ID เข้ามาให้แทน ซึ่ง Apple ยืนยันว่ามีความปลอดภัยมากกว่าเดิมหลายเท่า
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |