ทุกบริษัท ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากขนาดไหนก็ตาม ก็มักจะเคยพลาดมาก่อน หรือรอวันที่พลาดให้มาถึง แม้แต่ Apple บริษัทที่ขึ้นชื่อด้านการออกแบบสินค้าได้เนี้ยบ ทั้งสวยงาม และใช้งานง่าย ก็เคยพลาดมาก่อน ไม่ได้พลาดแค่ทีเดียวแต่หลายทีเสียด้วย มาลองย้อนมองกลับไปกันหน่อยดีกว่า ว่ามีอะไรที่ Apple ได้พลั้งพลาดกันมาบ้าง
ภาพจาก : https://www.apple.com/shop/product/MMMQ3AM/A/magic-mouse-black-multi-touch-surface
ถ้ามองแค่ดีไซน์ และลูกเล่นที่ Magic Mouse มีให้มา มันเป็นเมาส์ที่มีความหวือหวา และล้ำสมัยมาก มันเปิดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) แม้จะผ่านมา 14 ปีแล้ว แต่ดีไซน์ของมันก็ยังดูทันสมัยเหมือนเดิม Apple ออกแบบมาให้เป็นเมาส์ที่ไม่มีปุ่ม และใช้งานแบบสัมผัสแทนการคลิก รองรับการสั่งงานแบบ Gesture ทุกอย่างฟังดูดี แต่ในการใช้งานจริง ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่รู้สึกดีอย่างที่มันควรจะเป็นเลยสักนิด
ปัญหาของ Magic Mouse มีหลายอย่าง เช่น
จากหลายเหตุผลที่ว่ามา ทำให้เรามักจะเห็นผู้ที่พลาดซื้อ Magic Mouse มาวางมันกองอยู่ในเก๊ะเสียมากกว่า พวกเขาเลือกที่จะซื้อเมาส์ยี่ห้ออื่นมาใช้ หรือไม่ก็ซื้อ Magic Trackpad มาใช้งานแทน
ภาพจาก : https://www.apple.com/th/macbook-pro-13/
ในปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) Apple ได้เปิดตัว MacBook Pro โฉมใหม่ออกมา โดยตัดปุ่มฟังก์ชันออก แล้วแทนที่มันด้วย "Touch Bar"
แนวคิดของมันก็ดูเป็นไอเดียที่เข้าท่า เป็นหน้าจอแบบสัมผัสที่แสดงเมนูเปลี่ยนไปตามลักษณะการใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น นอกจากนี้ นักพัฒนายังสามารถที่จะเขียนเมนูให้รองรับกับ Touch Bar ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในแอปแชท Touch Bar ก็จะแสดงอีโมจิ แต่พอเป็นอัลบัมรูป ก็แสดงเป็นสไลด์ภาพ
อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของ Touch Bar มันก็น้อยกว่าปุ่มฟังก์ชัน แถมเวลาจะใช้งานก็ต้องก้มมองหน้าจอ ทำให้ผู้ใช้งานที่ชินกับการพิมพ์แบบสัมผัสไม่ชินเป็นอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันนี้ Touch Bar ก็ยังมีอยู่ใน Macbook Pro รุ่น 13 นิ้ว อยู่ ส่วนรุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ได้นำปุ่มฟังก์ชันกลับมาเหมือนเดิม
โดยส่วนตัวมองว่าถ้า Apple คงปุ่มฟังก์ชันเอาไว้ แล้วเพิ่ม Touch Bar เอาไว้ด้านบนสุด ทุกอย่างน่าจะลงตัวนะ
ภาพจาก : https://www.youtube.com/watch?v=QBntLesT-QY
ในแง่ของคุณสมบัติการทำงาน Apple Pencil รุ่นแรก ไม่ได้มีข้อบกพร่องแต่อย่างใด มันทำงานได้ดีอย่างที่มันควรจะเป็น มีค่า Latency ต่ำ, มีระบบตรวจจับอุ้งมือ, เอียงเพื่อแรเงา และรองรับแรงกดได้หลายระดับอย่างละเอียด เรียกได้ว่า Apple ทำมันออกมาได้ดีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของมันอยู่ที่การชาร์จแบตเตอรี่ โดยในการชาร์จ Apple Pencil ผู้ใช้งานจะต้องถอดฝาปิดท้ายออก ซึ่งเสี่ยงต่อการกลิ้งหาย จากนั้นก็เสียบมันเข้ากับ iPad หรือไม่ก็ใช้อะแดปเตอร์แปลงเพื่อให้ชาร์จกับสาย Lightning ได้ ซึ่งเอาจริง ๆ ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหน มันก็ดูประหลาดเสียเหลือเกิน
นอกเหนือจากเรื่องการชาร์จแล้ว ตัว Apple Pencil ยังออกแบบมาเป็นแท่งกลมที่สมบูรณ์แบบ กลิ้งง่าย พร้อมจะหล่นจากโต๊ะได้ตลอดเวลา นั่นเป็นเหตุผลสำคัญให้ Apple Pencil รุ่นสองมีการปรับดีไซน์ให้มีความเหลี่ยม และใช้การชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายแทน
น่าเสียดายที่ iPad รุ่นเริ่มต้น อย่าง iPad รุ่นที่ 9 และรุ่นที่ 10 ยังคงใช้งาน Apple Pencil รุ่นแรกอยู่ แถมราคาก็ยังค่อนข้างแพง 3,900 บาท ไม่ได้ลดลงจากเดิมมากนัก
ภาพจาก : https://appleinsider.com/articles/19/08/07/where-the-2013-mac-pro-went-right----and-wrong
หลังจากที่ Apple ได้เผย Mac Pro โฉมใหม่ในปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ด้วยตัวถังทรงกระบอกสีดำ ทำให้ผู้คนที่เห็นก็ต่างบอกว่า "นี่มันถังขยะชัด ๆ" มันถูกออกแบบให้ใช้ระบบระบายความร้อนจากแกนกลาง โดยดูดลมเข้าจากทางด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งแนวคิดในการออกแบบระบบระบายความร้อนนี่ก็ไม่ได้ผิดพลาดอะไร พิจารณาได้จาก Xbox Series X ที่ใช้ระบบระบายความร้อนแบบเดียวกันแต่ก็ไม่พบปัญหาอะไร
แต่น่าเสียดายที่ดีไซน์นี้ Apple มีความผิดพลาดที่ในภายหลัง Phil Schiller ประธานฝ่ายการตลาดก็ออกมายอมรับว่า "เราพยายามใช้พื้นที่ที่มีอยู่มากเกินไปจนไม่เหลือเผื่อให้กับการระบายความร้อน ด้วยการประกบกราฟิกการ์ดสองตัวเข้าไปในกระบอก" นอกเหนือจากปัญหาด้านความร้อนแล้ว Mac Pro รุ่นนี้ยังมีข้อจำกัดด้านการอัปเกรดที่ทำได้ยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับเดสก์ทอประดับไฮเอนด์
โชคดีที่ Mac Pro รุ่นถัดมา Apple ตัดสินใจกลับไปใช้ดีไซน์แบบกล่องที่มีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่เหมือนเดิม โดยส่วนตัวผู้เขียนก็ชอบดีไซน์ของ Mac Pro 2013 นะ ตัวบอร์ด งานประกอบทำมาประณีตสวยงามมาก แค่น่าเสียดายที่ปัญหาของมันเยอะเกินไป
ภาพจาก : https://www.cnet.com/pictures/iphone-4-official-picture-gallery/3/
iPhone 4 เป็นหนึ่งในรุ่นที่ผู้ใช้หลายคนให้ความเห็นว่าออกแบบมาได้อย่างสวยงาม ฝาหลังกระจกรวมกับขอบสแตนเลสทำให้มันดูหรูหรากว่าเพื่อนร่วมยุคเป็นอย่างมาก แม้แต่ในปัจจุบันนี้ มันก็ยังเป็นดีไซน์ที่ไม่ตกยุค
แต่ปัญหาของมันคือฝาหลังกระจกที่พร้อมจะแตกเสมอหากคุณทำมันหลุดมือ แต่นั่นยังพอแก้ไขได้ หากคุณใช้งานอย่างระมัดระวัง แต่ปัญหาของ iPhone 4 จริง ๆ คือ การที่มันออกแบบเสาอากาศเอาไว้ตรงขอบซ้ายล่างของตัวเครื่อง ซึ่งเมื่อผู้ใช้ถือโทรศัพท์อยู่ในมือ จะทำให้เสาสัญญาณถูกบัง ส่งผลให้คุณภาพสัญญาณลดต่ำลงเป็นอย่างมาก ในสถานที่ในเมืองที่สัญญาณแรงมันก็ไม่มีปัญหา แต่ในถิ่นทุรกันดารมันค่อนข้างส่งผลกระทบหนัก จนอาจถึงขั้นทำให้สายหลุดได้เลย
ปัญหานี้หนักถึงขั้นกลายเป็นมีม (Meme) ที่ออกมาแซวกันเลยว่า "You’re holding it wrong (คุณถือผิดวิธี)" เลยทีเดียว ในเวลานั้น Apple พยายามแก้ไขปัญหาด้วยการ "แจก" เคสไอโฟนให้ผู้ใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานเอามือไปสัมผัสกับเสาสัญญาณโดยตรงจนเกิดปัญหาได้
Apple พยายามพัฒนาให้ MacBook มีความบางมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ และ Butterfly Keyboard ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ปุ่มคีย์บอร์ดนั้นบาง และทำงานได้เงียบขึ้น โดยหวังนำมาใช้งานแทน Scissor switches ที่ใช้งานอยู่เดิม
อย่างไรก็ตาม Butterfly Keyboard แม้จะบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ Apple ต้องการ มันบางลงไปหลายมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าน่าประทับใจ เพราะสวิตช์เดิมก็บางอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ Butterfly Keyboard นั้นมีความบอบบางต่อฝุ่นเป็นอย่างมาก พอมีฝุ่นเข้าไปติดในกลไกก็ทำให้กดไม่ติดได้ง่าย ๆ จนทาง Apple ต้องออกนโยบายซ่อมแซมคีย์บอร์ดฟรีออกมาใน ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) และใน MacBook รุ่นใหม่ ๆ ก็ไม่มีการใช้งาน Butterfly Keyboard อีกแล้ว หากคุณเลือกซื้อ MacBook มือสองมาใช้งาน ก็ควรระวังในจุดนี้เอาไว้ด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเลือกรุ่นที่ใช้ Butterfly Keyboard
HomePod เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์จาก Apple ที่มีศักยภาพ ด้วยขนาดที่กำลังเหมาะสม มีคุณภาพเสียงที่เหนือชั้นกว่าลำโพงประเภทเดียวกันของคู่แข่ง แต่น้อยคนที่จะซื้อมันด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง อีกทั้งมันยังจำหน่ายแค่ในบางประเทศเท่านั้นอีกด้วย
งานประกอบของ HomePod นั้นมีคุณภาพสูง, มีคุณสมบัติในการปรับแต่งเสียงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของห้องอัตโนมัติ, รองรับ Siri, ใช้เป็นลำโพงไร้สายของ iPhone, iPad, Mac และ Apple TV หรือแม้แต่การเชื่อมต่อ HomePod หลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อทำระบบเสียงสเตอริโอ หรือ Dolby Atmos
แต่น่าเสียดายที่ HomePod มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้ผู้คนลังเลที่จะซื้อมันมาใช้งาน นั่นคือมันไม่มีช่องเสียบ 3.5 มม., ไม่รองรับบลูทูธ, และในตอนที่เปิดตัวมันสามารถฟังเพลงผ่าน Apple Music ได้เพียงอย่างเดียว เมื่อรวมกับราคาที่แพงกว่าชาวบ้าน มันจึงเป็นของที่ขายไม่ออกจน Apple ถึงกับเลิกขายไปพักหนึ่ง แล้ววางจำหน่ายแค่เพียง HomePod mini แต่ถึงกระนั้นในปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2023) ก็เปิดตัว HomePod 2 อีกครั้ง ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าคราวนี้มันจะไปรอดหรือเปล่า
สุดท้ายแล้วสินค้าของ Apple ก็ไม่ใช่ของที่ทุกคนอยากได้เสมอไป บางอันก็ประสบความสำเร็จ แต่บางอย่างก็ไม่ อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดมันก็จะมีผู้บริโภคที่อยากใช้อยู่ดี อย่างที่เราทราบกันดีว่า Apple เป็นบริษัทที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ลองมองย้อนกลับไป เขาเป็นบริษัทแรกที่ตัดไดร์ฟ CD ออก, ตัดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., เอา Wi-Fi มาใช้แทนช่อง RJ45 ฯลฯ ในก้าวแรกทุกคนร้องยี้ แต่อย่างที่เห็นกันว่าสุดท้ายก็เดินตามกันหมด แม้ว่าบางก้าว Apple จะเดินพลาด แต่ก้าวที่ประสบความสำเร็จก็เหมือนจะมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |