แม้ว่าในปัจจุบันการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home หรือ WFH) หรือการทำงานจากข้างนอกออฟฟิศ (Remote Work) นั้นจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับใครหลายคน เพราะว่าหลังจากที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) เป็นต้นมาก็บีบบังคับให้หลาย ๆ องค์กรทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนนโยบายและนำเอาการทำงานในรูปแบบนี้ขึ้นมาใช้งานจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยผลจากการสำรวจทั่วโลกก็พบว่าอัตราการทำงานแบบ Work from Home ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ก็มีอัตราพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
ภาพจาก : https://www.talentlyft.com/en/blog/article/385/covid-19-work-from-home-stats-is-remote-work-here-to-stay
หากมองย้อนกลับไปในช่วงแรก การเปลี่ยนรูปแบบการทำงานอย่างกะทันหันนี้ก็ทำให้หลาย ๆ องค์กรประสบปัญหาด้านความพร้อมของการทำงานในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวางระบบงาน, อุปกรณ์การทำงาน หรือความพร้อมของพนักงาน และปัญหาอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน เพราะโดยรวมแล้วการทำงานในรูปแบบ Work from Home นี้ก็เป็นการ ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ครั้งใหญ่สำหรับหลาย ๆ องค์กรเลยก็ว่าได้
ภาพจาก : https://image.freepik.com/free-photo/beautiful-young-woman-home-office-working-from-home-teleworking-concept_144627-46785.jpg
ซึ่งการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นการ Work from Home ขององค์กรต่าง ๆ นั้นก็มี ข้อดีและข้อเสีย ของทั้งตัวบริษัทและพนักงานที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
แน่นอนว่าในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสเป็นวงกว้างนี้ ข้อดีที่ทำให้ทุกบริษัทตัดสินใจประกาศให้ทำงานแบบ Work from Home นี้ก็คงหนีไม่พ้นปัจจัยเรื่องความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพราะพนักงานภายในบริษัทก็พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ต่างกัน อีกทั้งพนักงานหลายคนก็ใช้บริการรถสาธารณะที่อาจเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคอีกด้วย ดังนั้นการ Work from Home ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มากเลยทีเดียว
ภาพจาก : https://www.freepik.com/premium-vector/women-working-home-preventing-from-corona-virus-covid-19-pandemic_7345311.htm
สำหรับบริษัทที่ให้พนักงานสามารถ Work from Home แบบ 100% แล้วนั้น การที่พนักงานทุกคนทำงานที่บ้านก็ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบริษัทไปได้มากเลยทีเดียว เพราะการเข้าทำงานที่บริษัทนั้นต้องแบกรับค่าไฟ (และค่าน้ำ) จำนวนไม่น้อย และถึงแม้ว่าบางบริษัทจะยังต้องเสียค่าเช่าออฟฟิศ แต่การประหยัดงบประมาณบางส่วนไปก็น่าจะช่วยลดปัญหาด้านการเงินไปได้ส่วนหนึ่ง
ในส่วนของพนักงานเองก็ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงาน เพราะในเวลาปกติแล้วนั้น พนักงานจะต้องคำนวณเวลาและค่าเดินทางไปทำงานในแต่ละเดือน ซึ่งการ Work from Home นี้ก็ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว ทำให้พนักงานมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น อีกทั้งยังไม่ต้องเสียค่าเดินทางจำนวนมากในแต่ละเดือนอีกด้วย
ภาพจาก : https://www.vecteezy.com/vector-art/2058365-a-man-works-from-home-using-a-computer
ในเวลาปกติหากเกิดปัญหาในการทำงานโดยเฉพาะกับปัญหาทางเทคนิคหรือปัญหาด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ระบบ IT) แล้วนั้น พนักงานที่ไม่มีความเชี่ยวชาญทักษะด้านนี้ก็มักจะขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น ๆ
แต่ว่าการ Work from Home ที่ต้องจัดการปัญหาการทำงานต่าง ๆ ด้วยตนเองนั้นก็ทำให้ต้องหาวิธีคิดแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง ซึ่งมันก็อาจช่วยเพิ่มพูนทักษะในส่วนนี้ขึ้นมาได้จนไม่จำเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ในบริษัทอีกต่อไป
การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการงานเอกสารให้เป็นรูปแบบก็ช่วยลดความสับสนในการจัดแบ่งหมวดหมู่ข้อมูลของพนักงานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณและพื้นที่ภายในบริษัทได้อีกด้วย หรือหากเป็นในเรื่องของการจัดงานอีเวนท์อย่างงานแถลงข่าวของบริษัทต่าง ๆ ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นงานรูปแบบออนไลน์ที่นอกจากผู้จัดงานจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านสถานที่แล้ว ทางผู้เข้าร่วมงานเองก็สามารถเข้าร่วมงานได้อย่างสะดวกและไม่เสียเวลาเดินทางด้วยเช่นกัน
ภาพจาก : https://www.onepiecework.com/blog/the-ultimate-guide-to-hosting-a-virtual-event
จากผลการสำรวจเกี่ยวกับการทำงานแบบ Work from Home ของหลาย ๆ องค์กรทั่วโลกก็พบว่าพนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มสูงขึ้นกว่าการเข้าทำงานที่บริษัทตามปกติค่อนข้างมาก โดยจากผลสำรวจของทาง Gallup (บริษัทวิเคราะห์สถิติและที่ปรึกษาด้านการทำงานในสหรัฐอเมริกา) ก็พบว่าการ Work from Home นั้นทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มสูงขึ้นมากเลยทีเดียว
ภาพจาก : https://www.talentlyft.com/en/blog/article/385/covid-19-work-from-home-stats-is-remote-work-here-to-stay
ซึ่งก็คาดว่า Work from Home ที่มีการทำงานที่ยืดหยุ่นและผ่อนคลาย อีกทั้งยังสามารถเลือกมุมการทำงานได้ตามใจชอบนั้นก็ช่วยให้สามารถโฟกัสกับงานได้เต็มที่และช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานได้มากกว่า โดยเฉพาะกับงานสาย Creative ต่าง ๆ แล้วนั้น การทำงานภายใต้บรรยากาศความตึงเครียดหรือสถานที่ทำงานที่จำกัดภายในบริษัทก็อาจส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานได้นั่นเอง
อ่านบทความ Work form Home อย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพ ที่นี่
ในการทำงานนั้นก็หลีกเลี่ยงการติดต่อสื่อสารงานระหว่างกันไปไม่ได้ ซึ่งถ้าหากเป็นการทำงานตามปกติเราก็สามารถที่จะเดินไปหาคนที่ต้องการติดต่อพูดคุยได้ด้วยตัวเอง แต่การทำงานในรูปแบบ Work from Home นี้ก็อาจเกิดปัญหาด้านการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องของการสื่อสารเข้าใจไม่ตรงกัน หรือเพื่อนร่วมงานไม่ตอบกลับข้อความก็ตาม ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้ก็อาจทำให้การทำงานล่าช้าลงไปได้
ภาพจาก : https://gulfnews.com/uae/health/covid-19-stressed-working-from-home-you-are-not-alone-heres-how-to-beat-it-1.75490300
แม้ว่าหลาย ๆ คนจะสามารถทำงานที่บ้านได้อย่างไร้ปัญหา แต่ก็มีพนักงานจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น สมาชิกในครอบครัวไม่เข้าใจระบบการทำงาน, เสียงรบกวนภายนอก หรือหากใครที่เลี้ยงสัตว์แล้วก็น่าจะถูกเจ้านายกดดันเวลาทำงานจนเสียสมาธิในการทำงานอยู่บ่อย ๆ
สำหรับบริษัทต่าง ๆ เรื่องที่ควรให้ความสำคัญอีกเรื่องก็ได้แก่ความลับของบริษัท เพราะการให้ทำงานแบบ Work from Home ก็เหมือนการฝากความลับไว้ที่ตัวพนักงานคนนั้น ๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลออกไปสู่ภายนอกได้ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ องค์กรจึงควรกำชับพนักงานให้ความสำคัญกับการรักษาความลับของบริษัทในส่วนนี้ร่วมด้วย
ภาพจาก : https://techgenix.com/protecting-your-privacy-working-from-home/
สำหรับพนักงานบางคนแล้วการ Work from Home ที่อยู่ไกลสายตาของนายจ้างก็เป็นช่วงเวลาที่สามารถ “อู้งาน” ได้อย่างเป็นทางการโดยไม่มีสายตาคอยจ้องมอง จึงทำให้งานที่ควรจะเสร็จตามกำหนดส่งต้องถูกเลื่อนออกไปจนเกิดความล่าช้า แต่เนื่องจากไม่สามารถตามงานได้เหมือนกับตอนทำงานภายในออฟฟิศ นายจ้างหลายคนก็เลือกที่จะตามติดการทำงานของพนักงานอย่างใกล้ชิดแทน (ซึ่งอาจทำให้พนักงานบางส่วนรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย แต่ทางที่ดีหากพนักงานมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองแล้วนั้น นายจ้างก็น่าจะเบาใจกับปัญหานี้ลงไปมากเลยทีเดียว)
ภาพจาก : https://www.freepik.com/free-photo/tired-businesswoman-covering-her-eyes-with-drawn-eyes-paper_11905105.htm
ถึงแม้ว่าการทำงานแบบ Work from Home นี้จะช่วยให้บริษัทสามารถประหยัดค่าอุปโภคของบริษัทและพนักงานประหยัดค่าเดินทางได้แล้ว แต่สำหรับบางบริษัทหรือพนักงานบางคนก็อาจต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์ในการทำงานเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค, เก้าอี้, หมอนรองหลัง หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยในการทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งการ Work from Home ในประเทศไทยอากาศร้อนแบบนี้ก็ทำให้ต้องเสียค่าไฟเพิ่มไปตาม ๆ กัน
อ่านบทความ 5 แกดเจ็ตแนะนำสำหรับคนทำงานจากที่บ้าน
ภาพจาก : https://www.entrepreneur.com/slideshow/363958
อย่างไรก็ตาม การทำงานแบบ Work from Home นั้นก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปตามสภาพขององค์กรนั้น ๆ แต่แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกองค์กรที่จะสามารถทำงานแบบ Work from Home ได้เสมอไป เพราะหลาย ๆ องค์กรก็มีลักษณะงานที่ไม่เอื้อต่อการ Work from Home เช่น การทำงานบริการ, งานขายหน้าร้าน หรืองานผลิตสินค้าต่าง ๆ ที่ทำให้พนักงานจำเป็นต้องหยุดงานและขาดรายได้อย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงการทำงานในสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถ Work from Home ได้เท่านั้น แต่ยังไม่สามารถเลี่ยงความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อได้อีกต่างหาก
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |