จุดที่เราชอบ
| จุดที่เราไม่ชอบ
|
นานมาแล้วสมัยที่ผมเปลี่ยนจากการใช้ BlackBerry มาเป็น iPhone 3G ครั้งแรก ความรู้สึกในตอนนั้น คือ โห มือถืออะไรโคตรเจ๋งเลย การที่ตะแคงเครื่องแล้วแอปฯ เล่นเพลงโชว์หน้าปกเป็นอัลบัมมันสวยมาก หรือการถ่ายรูปแล้วใช้นิ้วถ่างเพื่อซูมได้ เป็นประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนที่สดใหม่มาก ณ เวลานั้น ซึ่ง iPhone ก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ แต่ความรู้สึกส่วนตัวของผม นับตั้งแต่ iPhone 5s เป็นต้นมา ผมก็รู้สึกว่าไอโฟนเริ่มน่าเบื่อละ iPhone 6, 7 หรือ 8 มันเป็นสมาร์ทโฟนที่ดี แต่มันก็ไม่มีอะไรใหม่ๆ มานำเสนอเลย จนกระทั่งผมได้ iPhone X มาใช้ เจ้ามือถือราคาเกือบครึ่งแสนของ Apple ตัวนี้ ทำให้ผมรู้สึกตกหลุมรัก iPhone ได้อีกครั้ง
สเปคของ iPhone X จะมีความคล้ายคลึงกับ iPhone 8 Plus เป็นอย่างมาก ที่แตกต่างกันหลักๆ คือ กล้อง โดยกล้องหลังของ iPhone X จะมีสเปคที่ดีกว่า iPhone 8 Plus เล็กน้อย และมีกล้องหน้าที่ดีกว่ามาก รวมไปถึงเทคโนโลยีจอที่ใช้แบบ OLED
อ่านบทความ เลือกซื้อรุ่นไหนดี? iPhone X, iPhone 8 Plus หรือ iPhone 8
เลนส์มุมกว้างของ iPhone X และ iPhone 8 Plus มีรูรับแสง f/1.8 เท่ากัน และมีกันสั่นเหมือนกันด้วย แต่ว่าเลนส์เทเลโฟโต้ของ iPhone X จะมีค่ารูรับแสงกว้างกว่าเล็กน้อย (f/2.4 vs. f/2.8) และบน iPhone X จะใส่กันสั่นมาให้ด้วย ทำให้ตอนซูมถ่ายมีโอกาสได้ภาพมากกว่า
ส่วนกล้องหน้าของ iPhone X มีคุณสมบัติในการถ่ายภาพที่ดีกว่า iPhone รุ่นอื่นมาก เนื่องจากเป็นกล้อง TrueDepth ที่ทำมาเพื่อรองรับ Face ID ด้วย
ตัวเครื่อง iPhone X ให้ความรู้สึกที่สมกับที่ทาง Apple บอกว่าครบรอบ 10 ปี มันมีกลิ่นอายของ iPhone รุ่นก่อนหน้านี้ผสมกันมาอย่างลงตัว รูปทรงของ iPhone X ตัวกรอบเครื่องจะมีความมนคล้ายกับ iPhone 2G ผิวสัมผัสกระจกด้านหลังชวนให้คิดถึง iPhone 4s
ด้านความสวย ส่วนตัวผมมองว่าเครื่องดูสวยดี แต่ว่าข้อเสียก็เยอะเช่นกัน แม้ว่าทาง Apple บอกว่าจะใช้กระจกที่แข็งแรงมาก แต่ก็มีข่าวตกแล้วแตกอยู่มากพอสมควร อีกประเด็นหนึึ่งก็คือ เครื่องติดรอยนิ้วมือง่ายมาก ทั้งผิวกระจก และขอบสแตนเลสสตีลที่อยู่รอบตัวเครื่องจับนิดจับหน่อยก็ติดรอยละ ในส่วนของขอบสแตนเลสสตีลก็ให้ความรู้สึกว่าน่าจะเป็นรอยขีดข่วนได้ง่าย (แต่ทาง Apple บอกว่าเป็นโลหะเกรดเดียวกับเครื่องมือศัลยกรรมที่แข็งแกร่งมาก และเคลือบผิวด้วยเทคนิค Physical Vapor Deposition เพื่อให้ขอบสแตนเลสสตีลเป็นสีเดียวกันกับกระจก ก็ไม่รู้ว่าในการใช้งานจริงจะมีการถลอก หรือเป็นรอยง่ายหรือเปล่า ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะทดสอบด้วยเครื่องตัวเอง แหะๆ)
คุยด้านหน้ากันไปเยอะละ มาดูด้านหลังกันบ้าง ความเห็นส่วนตัว ผมว่าเจ้ากล้องหลังแบบคู่นี้ พอมาอยู่บนตัวเครื่องขนาดเล็กๆ แบบนี้ ทำให้มันดูเตะตาไม่สมส่วนกับตัวเครื่องสักเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเป็นเครื่องสีเงินนี่ยิ่งเห็นชัด เพราะกล้องทำเป็นสีดำตัดกันชัดเจนมาก เป็นเหตุผลที่ผมเลือกเครื่องสีดำแทนเลย
เจ้ากล้องคู่ด้านหลังนี้ เป็นเลนส์กันสั่นแบบทั้งคู่ ถ่ายภาพสนุกเลยล่ะ ซึ่งตัวอย่างภาพถ่าย เดี๋ยวมาให้ดูในส่วนของการทดสอบกล้องที่ท้ายบทความ
ปุ่ม Home หายไป แต่ด้านข้างมีปุ่มเพิ่มขึ้นมาแทน ใช้งานหลายอย่าง เปิดจอ, เรียก Siri, Apple Pay ฯลฯ แต่ในการใช้งานทั่วไป แทบไม่ได้กดเลย นอกจากเวลาบันทึกภาพหน้าจอ หรือว่าจะปิดเครื่อง
โดยรวมแล้ว ผมว่าเครื่องตัวจริงของ iPhone X สวยและหรูหราสมราคามากครับ ให้สัมผัสที่พรีเมี่ยม และจับเหมาะมือกว่า iPhone 8 Plus เยอะเลย ในขนาดหน้าจอที่พอๆ กัน (แต่การแสดงผลโดยรวมแล้ว iPhone X จะมีพื้นที่น้อยกว่า iPhone 8 Plus นะ เนื่องจากสัดส่วนไม่เท่ากัน)
เนื่องจากปุ่ม Home ถูกตัดออกไปแล้ว การสลับแอปฯ การปิดแอปฯ จึงมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งหลายคนบอกว่าเรียนรู้ยาก แต่ผมว่าไม่ยากเท่าไหร่นะ สัก 5 นาที ก็ชินละ หรือหากใครที่เคยเจลเบรคและใช้งาน Tweak อย่าง Auxo 3 มาก่อน นี่ง่ายเลย เพราะรูปแบบการควบคุมคล้ายคลึงกันมาก แต่ก่อนที่จะไปพูดเรื่องการควบคุม อยากจะพูดถึงเรื่องติ่งบนจอก่อนว่าเป็นเกะกะน่ารำคาญจริงหรือเปล่า
ดีไซน์ของ iPhone X เป็นอะไรที่โดนค่อนขอดเป็นอย่างมาก กับปัญหา "ติ่ง" บนหน้าจอ ที่ทำให้โดนแซะว่าจอแหว่ง เล่นเกมส์ ดูวิดีโอก็ไม่เต็มจอ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผมกังวลเหมือนกันว่าในตอนที่ใช้งานจริง จะเกิดปัญหาอะไรไหม ซึ่งเอาจริงๆ พูดแบบตรงๆ ไม่แฟนบอย ผมว่าในการใช้งานจริงก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานด้านชมวิดีโอหรือท่องเว็บไซต์ หรือแม้แต่การเล่นเกมส์ที่ยังไม่ได้อัพเดท UI ให้รองรับ iPhone X เหตุผลนั้นก็มาจากอัตราส่วนของภาพครับ
ที่มาของภาพ https://www.gsmarena.com/apple_iphone_x_screen_how_big_is_it_really-news-27265.php
อัตราส่วนหน้าจอของ iPhone X อยู่ที่ 19.5:9 ในขณะที่การแสดงผลมุมกว้างในปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้อัตราส่วน 16:9 ซึ่งส่วนที่เลยไปจะถูกเติมเต็มด้วย "ขอบสีดำ" แทน ด้วยความที่มันเป็นจอ OLED ส่วนที่ดำจะมืดสนิทไม่มีแสงอะไรเลย ทำให้ "ติ่ง" กลืนหายไปอย่างแนบเนียน
ตอนชมวิดีโอก็จะเป็นดังภาพด้านบนครับ ด้านซ้ายและขวาจะมีขอบดำ ซึ่งถ้าเป็นจอแบบ IPS ก็คงจะรำคาญแสงตรงขอบแหละ แต่ด้วยความที่เป็น OLED ก็เลยไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไร
แต่พูดเรื่องการชมวิดีโอแล้ว ต้องขอบอกว่าลำโพงของ iPhone X เสียงดีกว่าเดิมเยอะเลยล่ะ มีมิติมากขึ้น
การควบคุม โดยรวมค่อนข้างชอบ แต่ก็มีจุดที่ขัดใจอยู่บ้าง นั่นก็คือ Control Center ครับ ย้ายไปอยู่ที่มุมขวาบนของหน้าจอ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เรียกด้วยมือเพียงข้างเดียวยากมาก ส่วนใหญ่จะต้องใช้อีกมือช่วย
แต่ที่ชอบ คือ Reachability ที่เรียกง่ายกว่าเดิมเยอะ แค่ปัดลงเบาๆ ตรงแถบควบคุมด้านล่าง ก็ดึงหน้าจอลงมาได้ละ ง่ายกว่าการกดปุ่ม Home เยอะเลย
การเข้ามัลติทาสก์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่รู้สึกว่าต้องฝึกนิดหน่อยเพื่อจับจังหวะ แต่จริงๆ เราสามารถลากจากมุมซ้ายล่างเฉียงขึ้นแบบ 45 องศา เพื่อเข้ามัลติทาสก์ได้นะ
จุดนี้ชอบมาก สลับแอปฯ อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเข้ามัลติทาสก์ก่อน แค่ปัดที่แถบด้านล่างเอาได้เลย ซ้ายขวา เดินหน้า ถอยหลัง ทำได้หมด
การเล่นเกมส์อาจจะขัดใจใครหลายคน เพราะด้านข้างมีขอบ ซึ่งต้องรอให้ทางผู้พัฒนาอัพเดทการแสดงผลก่อน ซึ่งก็มีหลายเกมส์ที่มีการปรับการแสดงผลให้พอดีกับสัดส่วนของหน้าจอแล้ว
ภาพทั้งหมดมาจากหลังกล้องโดยตรง ไม่ได้ปรับแต่งแต่อย่างใด
จากการทดสอบใช้งานในสภาพแสงต่างๆ โดยรวมถือว่าดีทีเดียวครับ โฟกัสไว White Balance ค่อนข้างแม่น ถ่ายแสงธรรมชาติได้สวยทีเดียว แต่ว่าถ่ายในที่แสงน้อยมากๆ ยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่
iPhone X ให้ประสบการณ์ในการใช้งาน iOS แบบใหม่ ที่สนุกกว่าเดิม ดีไซน์ของตัวเครื่องที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ให้สัมผัสในการใช้งานที่สดใหม่ ตัวเครื่องสวยงามให้ความรู้สึกหรูหรา ฮาร์ดแวร์จัดเต็มทำให้การใช้งานสมูทลื่นไหลมาก หน้าจอ OLED ปรับสีจอมาสวยงามสุดๆ ค่อนข้างพึงพอใจและสนุกกับการใช้งานมากทีเดียว ชวนคิดถึงตอนที่ย้ายค่ายจาก BlackBerry มา iPhone สมัยยุคแรกๆ เลยล่ะ
อย่างไรก็ตาม สำหรับผม iPhone X ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง 2 ข้อใหญ่ๆ คือ แบตฯ ไม่อึดเท่าไหร่ และราคาที่แพงมาก
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |