รีวิว Dyson V8 Carbon Fibre เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย อัพเกรดความแรง หัวดูดหลากหลาย จัดได้ทุกกระบวนท่า

รีวิวเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Dyson V8 Carbon Fibre

Dyson V8 Carbon Fibre เป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย แบรนด์จากประเทศอังกฤษ รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งในรุ่นนี้มีการปรับปรุงมาจาก Dyson V8 รุ่นก่อนหน้า (ที่ใช้ชื่อเดียวกัน) ในเรื่องของพลังการดูดฝุ่นที่มากขึ้น จากความแรงการดูด 115 AW มาเป็น 155 AW ส่วนดีไซน์ หน้าตา รวมทั้งอุปกรณ์สำหรับการใช้งานต่างๆ นั้น จะเหมือนกับรุ่นก่อนหน้าแทบทั้งหมด

Dyson V8 จะมีชื่อที่หลากหลาย ทั้ง Dyson V8 Animal, Dyson V8 Fluffy, Dyson V8 Absolute Plus ซึ่งชื่อของแต่ละรุ่นจะแบ่งตามหัวดูดและหัวแปรงที่เหมาะกับการใช้งานแต่ละรูปแบบแต่มีตัวเครื่องดูดฝุ่นแบบเดียวกัน ซึ่งถ้าเทียบแล้ว รุ่น Carbon Fibre จะเหมือนกับรุ่น Absolute Plus ต่างกันตรงที่เครื่องดูดฝุ่น มีความแรงในการดูดมากกว่านั่นเอง

ความน่าใช้งานของเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ก็ตามชื่อเรียกของเครื่องดูดฝุ่นประเภทนี้เลย คือมันมีความคล่องตัวในการใช้งานมากกว่าเครื่องดูดฝุ่นที่ต้องต่อปลั๊กไฟเพื่อใช้งาน ที่ไม่ต้องมีสายระโยงระยางเกะกะ รวมทั้งขนาดที่กะทัดรัด ที่ไม่จำกัดแค่การทำความสะอาดพื้นเท่านั้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปรงหรือหัวดูดในรูปแบบต่างๆ เพื่อดูดฝุ่นทำความสะอาดในที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นตามซอกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ หลังตู้หรือบนชั้นวาง ขอบประตูบานเลื่อน พื้นพรม โซฟา หรือการดูดฝุ่นในรถ

สเปคของ Dyson V8 Carbon Fibre

• น้ำหนัก : 2.55 กิโลกรัม
• กำลังดูด : 155 AW (Air Watt)
• ขนาดตัวถัง : 0.54 ลิตร
• ขนาดตัวเครื่อง : 250 x 1244 x 224 มิลลิเมตร
• เทคโนโลยีระบบไซโคลน : ระบบพายุไซโคลนเรเดียล 2 ชั้น
• การกรอง : ระบบกรองแบบถอดทำความสะอาดได้

ตัวเครื่องดูดฝุ่นถังไซโคลน

ดีไซน์ของตัวเครื่องดูดฝุ่น ถูกออกแบบให้มีความกะทัดรัดที่สุด แต่ด้วยทั้งระบบมอเตอร์ ทั้งถังเก็บฝุ่น ก็ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดทั้งกว้างยาว ประมาณ 1 ฟุต และน้ำหนักเกือบ 3 กิโล ลักษณะตัวเครื่องเป็นด้ามจับมีลักษณะคล้ายปืน ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานมือเดียว จากที่เราลองนำไปใช้งานดู ตัวเครื่องดูดฝุ่นมีสมดุลที่ดี สามารถยกใช้งานมือเดียวได้ง่าย เคลื่อนไหวเพื่อทำความสะอาดจุดต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว แต่ถ้าให้ถือค้างไว้ก็หนักใช่เล่นนะ

ตัวถังเก็บฝุ่น มีขนาดในการเก็บขยะและฝุ่นละอองประมาณครึ่งลิตร (สังเกตจากขีด MAX บอกปริมาณขยะข้างตัวถัง) โดยในตัวถังได้มีระบบมอเตอร์ไซโคลนอยู่ภายในด้วย ซึ่งเทคโนโลยีนี้ จะทำการหมุนฝุ่นในตัวถังระหว่างการใช้งาน ทำให้เราสามารถกักเก็บฝุ่นระหว่างการใช้งานได้มากขึ้น ไม่ให้ถังเต็มง่ายๆ

หัวดูดและแปรงดูดฝุ่นสำหรับการใช้งานรูปแบบต่างๆ

สำหรับอุปกรณ์หัวดูดและแปรงต่างๆ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ แปรง/หัวดูดฝุ่น และข้อต่อ ซึ่งตัวแปรงดูดฝุ่นมีด้วยกัน 8 รูปแบบให้เลือกใช้งาน ส่วนข้อต่อจะมีอยู่ 4 รูปแบบด้วยกัน

โดยแปรง/หัวดูดฝุ่นทั้ง 8 รูปแบบจะประกอบไปด้วย หัวดูดแบบกว้าง/แคบ, แปรงปัดเล็ก/ใหญ่, แปรงแบบ 2 in 1, หัวดูดลูกกลิ้งนุ่ม, หัวดูดแบบ Direct-drive และหัวดูดแบบมอเตอร์ ซึ่งหัวทำความสะอาดที่น่าสนใจ ก็คือ 3 แบบหลัง ที่มีสีสันสวยงามกว่าหัวแบบอื่นๆ นี่แหละครับ ลองมาดูทีละแบบกัน

หัวดูดแบบลูกกลิ้งนุ่ม

สำหรับหัวดูดแบบลูกกลิ้งนุ่ม ตรงกลางจะมีลักษณะเหมือนผ้านาโนขนสั้นผิวนุ่ม (นุ่มมากกกก!!! อยากจะเอามาหนุนนอน แต่คงจะคันหน้าน่าดู) หัวแบบนี้ มีไว้สำหรับดูดฝุ่นและเศษขยะขนาดเล็กพร้อมๆ กัน โดยตัวแปรงจะหมุนเข้าหาท่อดูดเพื่อส่งเศษขยะและฝุ่นต่างๆ เข้าไปยังท่อดูด โดยความพิเศษของรุ่น Carbon Fibre ก็คือวัสดุผ้าดูดฝุ่นจะเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ที่ไม่เกิดแรงไฟฟ้าสถิต ทำให้เศษขยะต่างๆ ไม่ตกค้างอยู่บนตัวผ้า และถูกส่งไปยังถังเก็บฝุ่นทั้งหมดนั่นเอง

หัวดูดแบบ Direct-drive

ต่อมาเป็นแปรงปากกว้างที่ลูกกลิ้งด้านในมีลักษณะเป็นแปรงเส้นแข็งขนยาว เหมาะสำหรับการทำความสะอาดพื้นพรมหรือโซฟา ผ้าที่ต้องการการกวาดฝุ่นหรือเศษผงต่างๆ ที่ลึกกว่าพื้นเรียบปกติ

หัวดูดมอเตอร์ขนาดเล็ก

หาก Direct-drive ยังไม่ตอบโจทย์ความแรงพอ ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้หัวดูดแบบมอเตอร์ในตัวได้ ซึ่งจะมีปากท่อดูดที่แคบกว่า แต่มีมอเตอร์แยกต่างหาก ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายขึ้นด้วยแรงดูดและแรงปั่นที่มากกว่า แต่จะใช้กำลังไฟมากกว่าปกติ การใช้งานต่อเนื่องจาก 40 นาที จะเหลือเพียง 25 นาทีเท่านั้น ต้องลองจัดสรรการใช้งานดู

ส่วนข้อต่อสำหรับการใช้งานเพิ่มเติมจะแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ ท่อยาว สำหรับการยืนดูดฝุ่นบนพื้นห้องหรือดูดฝุ่นเพดาน ท่อแบบงวงช้าง ที่สามารถซอกซอนตามจุดต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ท่อแบบโค้ง สำหรับทำความสะอาดพื้นที่เฉพาะ อย่างเช่นบนตู้สูง และท่อแคบ ที่ปรับความยาวได้ สำหรับใช้งานร่วมกับแปรงดูดฝุ่นท่อแคบเท่านั้น

ระดับความแรงในการดูดฝุ่น ระยะเวลาใช้งาน และการชาร์จแบตเตอรี่

ความแรงในการดูดฝุ่นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ระดับ คือ ระดับปกติ และระดับ MAX ที่เราสามารถปรับระดับ ผ่านตัวสวิตซ์ด้านบนตัวเครื่อง โดยการดูดฝุ่นทั่วไป จะสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 40 นาที ต่อการชาร์จหนึ่งรอบ ส่วนในระดับ MAX จะสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 7 นาทีต่อการชาร์จหนึ่งรอบ โดยการชาร์จหนึ่งรอบจะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งจากการที่ได้ลองใช้งาน เมื่อแบตเตอรี่หายไปประมาณครึ่งหนึ่ง จะไม่สามารถใช้งานในระดับ MAX ได้ แต่สำหรับการทำความสะอาดปกติแล้ว การเปิดความแรงในการดูดระดับปกติก็เพียงพอต่อการใช้งาน เว้นเสียแต่ว่าต้องจัดการกับฝุ่นหรือเศษขยะที่เกาะแน่นเป็นพิเศษ

ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ ตัวสินค้าจะมีแท่นติดตั้งกับผนังสำหรับเสียบชาร์จไฟได้สะดวกสบาย รวมทั้งตัวแท่นยังสามารถเก็บหัวทำความสะอาดได้ 2 แบบในตัวด้วย หรือหากไม่สะดวกติดตั้งแท่นชาร์จ ก็สามารถเสียบสายชาร์จเข้ากับตัวเครื่องโดยตรงได้เช่นกัน

สำหรับตัวแท่นชาร์จ จะต้องใช้สกรูในการยึดติดกับผนัง จะใช้กาวสองหน้าแทนคงไม่สะดวก เพราะไม่มีพื้นที่กว้างๆ ด้านหลังตัวแท่นไว้สำหรับยึดติด  ส่วนเรื่องสายชาร์จที่ต่อเข้ากับแท่น จะมีช่องไฟไว้สำหรับเก็บสายได้

และก็เหมือนกับรุ่นที่ผ่านๆ มา ตัวแท่นชาร์จจะสามารถเก็บหัวดูดฝุ่นได้ 2 ชิ้น โดยการต่อไว้กับท่อล็อกด้านใต้ตัวแท่นชาร์จครับ

การทำความสะอาดอุปกรณ์

สำหรับการเทกำจัดเศษขยะและฝุ่นละอองของ Dyson V8 Carbon Fibre เราสามารถเปิดฝาได้จากด้านล่างของตัวถัง โดยวิธีการเปิด จะใช้วิธีการดึงตัวระบบไซโคลนขึ้นให้สุด ฝาถังด้านล่างจะเปิดออกตาม ทำให้เราไม่ต้องเสี่ยงให้มือโดนฝุ่นละอองตอนเปิดฝาถัง (แต่อาจจะต้องใช้ความสามารถในการเคาะถังเล็กน้อย เพื่อกำจัดฝุ่นบริเวณขอบถังด้านใน)

ส่วนการทำความสะอาดอื่นๆ สำหรับตัวเครื่องดูดฝุ่น เราสามารถถอดไส้กรอง และแผ่นระบายความร้อนมาล้างทำความสะอาดได้แต่ก่อนนำกลับไปใช้งาน ต้องผึ่งแดดให้แห้งก่อนเพื่อป้องกันเชื้อราและกลิ่นอับชื้น (เพราะเหมือนว่าในกล่องจะไม่มีอุปกรณ์สำรองให้นะ ต้องซื้อเพิ่มเติมเอง)

ตัวแปรงของหัวดูดฝุ่น ก็สามารถถอดมาล้างได้เช่นกัน โดยวิธีการถอด เราจะใช้เหรียญขันตรงเกลียวด้านข้างแปรง เพื่อปลดออกมาล้างทำความสะอาดได้ เงื่อนไขเดียวกับไส้กรอง ก็คือ ล้างน้ำได้ แต่ตากให้แห้งก่อนการใช้งานครับ

สรุป Dyson V8 Carbon Fibre

สำหรับเราแล้ว เราว่า Dyson V8 Carbon Fibre จะเหมาะกับการทำความสะอาดบ้านขนาดเล็ก ห้องคอนโด เฟอร์นิเจอร์หรือดูดฝุ่นรถ อะไรประมาณนี้มากกว่าบ้านทั้งหลังนะ เพราะข้อจำกัดทั้งขนาดตัวถัง ระยะเวลาการใช้งาน รวมทั้งน้ำหนักของตัวเครื่อง ที่ต้องยัดทุกอย่างให้มาอยู่ที่ด้ามจับ เพื่อแลกกับความคล่องตัวในการใช้งาน อาจจะทำให้เรามีแรงถือใช้งานต่อเนื่องไม่ได้นานนัก แต่พอตัดเรื่องข้อจำกัดของสายไฟ หรือต้องลากเครื่องไปมาเพื่อทำความสะอาดแล้ว เครื่องดูดฝุ่นรุ่นนี้คล่องตัวกว่ามาก ทั้งการทำความสะอาดได้หลากหลายสถานการณ์ผ่านดีไซน์ของเครื่องดูดฝุ่นและออพชั่นหัวดูดฝุ่นรูปแบบต่างๆ พ่อบ้าน แม่บ้าน หรือแม้แต่ลูกๆ ก็สามารถทำความสะอาดบ้านได้อย่างสนุกสนานเลย

ส่วนเรื่องความแรงของการดูดฝุ่นที่มากขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ ตรงนี้อาจจะมีผลต่อการใช้งานของเราเล็กน้อย เพราะปกติไม่ค่อยเปิดโหมด MAX ในการใช้งาน ถ้าเจอคราบฝังแน่นจริงๆ ก็ต้องพึ่งความสามารถเราล้วนๆ ล่ะ