จะซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่อง คำถามที่หลายคนน่าจะมีคือ iOS หรือ Android ดี ถ้าเป็นสมัยก่อนโน่นเลย ความรู้สึกส่วนตัวก็รู้สึกว่า iOS นั้นเสถียร และลื่นกว่ามาก แต่ในยุคปัจจุบันมันไม่ใช่อีกแล้ว Android มีการพัฒนาจนทำได้ดีไม่แพ้กันอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิม คือ iOS ยังคงเป็นระบบที่ปิดอยู่ (แม้ว่าจะเปิดมากขึ้นกว่าอดีต) ส่วน Android ก็ยังคงให้อิสระการปรับแต่งแก่ผู้ใช้มากกว่า iOS อยู่เหมือนเดิม แต่สิ่งอื่นๆ นอกเหนือไปจากสองอย่างนี้ล่ะ เป็นอย่างไรกันบ้าง เราลองวิเคราะห์ออกมาให้อ่านสนุกๆกันดู
หมายเหตุ บทความนี้อาจมีความเห็นส่วนตัวอยู่บ้าง แต่ก็พยายามเขียนให้เป็นกลางที่สุด โดยพูดในฐานะของผู้ที่ใช้งานอยู่ทั้งสองระบบนะ
ผลการตัดสิน เสมอ
ในจุดนี้ เรายังรู้สึกว่า iOS และ iPhone เร็ว และตอบสนองได้ไวกว่า Android อยู่นิดนึง (ขอขยายจุดนี้ คือ ความเร็วในการสัมผัส และภาพบนจอที่ตอบสนองต่อคำสั่ง) ซึ่งเป็นความเร็วที่ได้มาจากการที่ชิปในเครื่องนั้นออกแบบ และปรับแต่งให้ทำงานแบบรีดประสิทธิภาพออกมาได้ดีที่สุดโดย Apple ผู้เป็นคนออกแบบชิปเซ็ต และซอฟต์แวร์ด้วยตนเอง
แต่ Android ก็มีข้อได้เปรียบกว่าในเรื่องของการสลับแอปฯ ที่ได้มาจากแรมขนาดใหญ่ไม่มีกั๊ก รวมถึงตัวระบบปฏิบัติการที่ทำงานแบบมัลติทาสก์จริงๆ (iOS จะหยุดการทำงานของแอปฯ เวลาที่พับจอไว้ เพื่อประหยัดแรม)
ดังนั้นในแง่ของการใช้งานแอปฯ ทั้งคู่ในปัจจุบันนี้ เราว่ากินกันไม่ลง เร็วกันคนละแบบ ด้านล่างนี้เป็นคลิปทดสอบความเร็วในการตอบสนองโดย PhoneBuff (เริ่มนาทีที่ 2:04) ระหว่าง Galaxy S10+ กับ iPhone XS Max น่าจะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพได้อย่างชัดเจน
ผลการตัดสิน เสมอ
iPhone และ iPad นั้นมาพร้อมกับหน่วยความจำแบบตายตัว ไม่สามารถขยายเพิ่มได้ด้วยเหตุผลด้านประสิทธิภาพ เนื่องจาก Apple ไม่ต้องการให้ผู้ใช้ต้องการติดตั้งแอปฯ ลงไปในการ์ดภายนอกซึ่งมีความเร็วในการอ่านข้อมูลค่อนข้างช้า
ส่วน Android นั้น ส่วนใหญ่จะสามารถขยายหน่วยความจำเพิ่มได้ด้วยการ์ดหน่วยความจำต่างๆ ทำให้ผู้ใช้มีอิสระมากกว่า และประหยัดกว่าด้วย อย่างไรก็ตาม แอปฯ ต่างๆ ควรติดตั้งบนหน่วยความจำภายในเครื่องนะ การ์ดเอาไว้เก็บพวกรูป, เพลง, หนัง ฯลฯ ดีกว่า) ส่วนการเก็บข้อมูลบน Cloud เรามองว่าทั้ง iCloud และ Google Drive ทำได้ดีพอกัน
แต่โดยรวมแล้วหากไม่มองเรื่องราคา มองแค่การใช้งาน ในด้านการเก็บข้อมูลทั้งคู่ทำได้เหมือนกันนั่นแหละ
ผลการตัดสิน iOS ชนะ
ว่าด้วยเรื่องของแอปฯ ขอพูดในส่วนของแอปฯ ที่มากับตัวระบบปฏิบัติการก่อน จุดนี้เราคิดว่าแอปฯ พื้นฐานของ iOS นั้นมีหลายตัวที่ทำงานได้ดีมาก เช่น iMovie สำหรับตัดต่อวิดีโอที่เยี่ยมมาก หรือ GarageBand สำหรับทำเพลงก็เป็นแอปฯ ทำเพลงที่เจ๋งไม่แพ้กัน
จุดถัดมา App Store กับ Play Store หากเป็นแอปฯ หรือเกมส์ทั่วไปล่ะก็ ทั้งคู่ก็มีเหมือนกันนั่นแหละ อย่างไรก็ตามคุณภาพของแอปฯ บน iOS จะมีการคัดกรองที่เข้มงวดกว่าฝั่ง Android ทำให้เราจะค้นหาแอปฯ คุณภาพบน iOS ง่ายกว่า ตัวอย่างเช่น เมื่อเราค้นหาแอปฯ ตัวหนึ่งบน Google Play เรามักจะเจอแอปฯ เลียนแบบขึ้นมาเต็มไปหมด
อีกประเด็นหนึ่ง คือ หากเป็นแอปฯ เฉพาะทางอย่างเช่น แอปฯ เกี่ยวกับยา, บริการสุขภาพ หรือแอปฯ ระดับ Enterprise นั้น ส่วนใหญ่ก็จะอยู่บนแพลตฟอร์ม iOS เกือบทั้งหมด (เนื่องจากต้องการความปลอดภัยระดับสูง)
ผลการตัดสิน Android ชนะ
เนื่องจากวันๆ เราต้องดูหน้าจอมือถือหลายร้อยครั้งต่อวัน หน้าตาของการแสดงผลจึงสำคัญเหมือนกันนะ ซึ่งเรื่องนี้เราต้องยกให้ Android จริงๆ เพราะผู้ใช้งาน Android สามารถปรับแต่งการแสดงผลไปตามสไตล์ที่ชอบได้อย่างอิสระ ไม่ได้จำกัดแค่การเปลี่ยนภาพพื้นหลังเหมือน iOS
บน Android เราสามารถเปลี่ยนธีม, เปลี่ยนฟอนต์, เปลี่ยนหน้าตาของไอคอนแอปฯ, ใส่ Widgets ไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้, เรียงไอคอนไว้ในตำแหน่งที่ต้องการ ฯลฯ
ผลการตัดสิน Android ชนะ
ณ ตอนนี้ มือถือส่วนใหญ่ก็เริ่มหันมาใช้หน้าจอแบบ AMOLED กันหมดแล้ว ซึ่งข้อดีของจอชนิดนี้ คือ เวลาแสดงผลสีขาว มันจะใช้พลังงานมากกว่าการแสดงผลสีดำมาก ซึ่ง iOS นั้นมีลักษณะเป็นโทนสีขาวเกือบทั้งหมด ทำให้ใช้พลังงานเยอะกว่ามาก ซึ่งในอนาคตลือว่า iOS 13 จะมีโหมด Dark ให้ใช้ ก็น่าจะทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่ในตอนนี้ก็คงต้องให้ Android ชนะไปก่อน
อีกเรื่อง คือ ขนาดของแบตเตอรี่ ที่มือถือฝั่ง Android มักจะยัดมาให้เยอะกว่ามาก เมื่อเทียบกับ iPhone ทำให้ประเด็นนี้ต้องให้ฝั่งหุ่นเขียวจริงๆ
ผลการตัดสิน iOS ชนะ
เรื่องนี้เราต้องขอยกให้กับทาง Apple จริงๆ หากคุณเคยไปใช้บริการที่ Apple Store ล่ะก็ น่าจะเห็นด้วยกับเรานะ ไม่ว่าจะมีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ หรือว่าซอฟต์แวร์ ที่ Apple Store จะมีคนคอยให้ความช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่
นอกจากจะมีขายสินค้า, ให้คำปรึกษาปัญหาด้านการใช้งาน Apple Store ยังมีจัด Workshop อยู่เป็นประจำให้แก่ลูกค้าอีกด้วย ในขณะที่ฝั่ง Android ตามศูนย์บริการต่างๆ จะไม่มีเซอร์วิสให้เราเลือกมากนัก และเจ้าหน้าที่ตามศูนย์ก็ไม่ค่อยจะสามารถให้ความช่วยเหลือเราได้เท่าไหร่นัก เรียกได้ว่าเจอปัญหาก็ลอง Google หาวิธีด้วยตนเองยังจะดีซะกว่า
ผลการตัดสิน Android ชนะ
แม้ Siri จะเป็นจุดเริ่มต้นความนิยมของระบบช่วยเหลือผู้ใช้ด้วยคำสั่งเสียง อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันนี้ก็ต้องยอมรับว่า Google Assistant มีพัฒนาที่ไปไกลกว่ามาก ความสามารถของมันสามารถพูดได้ว่าเกือบจะเป็น Artificial Intelligence อย่างสมชื่อแล้ว แม้ว่าเราจะต้องแลกกับการที่ Google รู้ข้อมูลเกือบทุกอย่างของคุณก็ตาม
ส่วน Siri นั้นทำงานได้จำกัดมาก แต่ว่ามีข้อดีตรง Apple เคลมว่าการทำงานทั้งหมด เกิดขึ้นภายในเครื่อง ไม่มีการส่งข้อมูลส่วนตัวของเราออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก
ซึ่งหากตัดสินกันที่ความสามารถเพียงอย่างเดียวล่ะก็ Google Assistant นั้น ทิ้งห่าง Siri ไปมากพอสมควรเลยล่ะ
ผลการตัดสิน Android ชนะ
ถ้าพูดถึงตัวเลือกแล้วล่ะก็ iPhone นั้นเลือกง่ายมาก เนื่องจากมีอยู่ไม่กี่รุ่น ปีนึงออกมาแค่ไม่กี่ครั้งแล้วใช้งานกันไปยาวๆ แต่ Android นั้นมีความหลากหลายสูงกว่ามาก หลากแบรนด์ หลายรุ่น แต่ล่ะรุ่นก็จะมีการใส่จุดเด่นให้แตกต่างกันออกไป
มือถือ Android นั้น มีขนาดจอให้เลือกมากมาย ราคาก็มีตั้งแต่ถูกยันโคตรแพง หน้าตาเครื่องก็มีดีไซน์ และวัสดุเป็นพันๆ แบบ บางครั้งเรายังหา Android ได้ในตู้เย็น, ทีวี หรือแม้แต่ไมโครเวฟด้วยซ้ำ นอกจากนี้ผู้ผลิตแต่ละรายยังใส่จุดเด่นเข้ามาเป็นพิเศษ อย่างเช่น Galaxy Note ที่มีปากกาในตัว
ผลการตัดสิน เสมอ
Apple นั้นมี APIs สำหรับเชื่อมต่อ ทำให้เราเห็นอุปกรณ์มากมายที่สามารถเชื่อมต่อกับ iDevices แล้วใช้งานได้ทันที เช่น พวกลำโพง, เครื่องเสียงในรถยนต์ ฯลฯ การเชื่อมต่อหากันระหว่างอุปกรณ์จาก Apple ก็ทำได้โดยสะดวก เราสามารถใช้งาน iPhone, iPad และเครื่อง Mac ได้อย่างสะดวกสบาย ไหนจะมี AirDrop ที่ทำให้การรับส่งไฟล์ระหว่าง iDevices ทำได้ง่าย และรวดเร็วมากๆ อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของมัน คือ ใช้งานร่วมกับ Windows ได้ค่อนข้างจำกัด หากไม่ใช่โปรแกรม 3rd-party ช่วย
ในฝั่ง Android นั้นรองรับการแบ่งปันไฟล์แบบ MTP ทำให้แค่เสียบสายก็โอนไฟล์ได้แล้ว Android บางรุ่นสามารถต่อจอแล้วใช้งานในโหมด Desktop ได้ด้วย
ดังนั้นในหัวข้อนี้ เราถือว่าดีกันคนละอย่างนะ
ผลการตัดสิน iOS ชนะ
ทั้งตัวเฟิร์มแวร์ หรือการอัปเดตด้านความปลอดภัย iOS จาก Apple นั้นมีระบบจัดการที่ดี และรวดเร็วมาก โดยปกติแล้ว อุปกรณ์ทุกรุ่นจะได้รับการอัปเดตพร้อมกันทั่วโลก และแทบจะภายในวันเดียวกับที่ถูกปล่อยออกมาเลย
ส่วน Android นั้น เฉพาะมือถือตระกูล Pixel เท่านั้น ที่ได้รับการอัปเดตค่อนข้างเร็ว ส่วนจากค่ายอื่นๆ นั้น มักจะต้องรอเป็นเดือน, เป็นปี หรืออย่างแย่สุด คือ โดนแจกแพให้ ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด คือ ทุกวันนี้บนหน้า Distribution dashboard ของ Android ได้ระบุว่า ผู้ใช้ Android Pie เวอร์ชันล่าสุด ยังมีไม่ถึง 0.1% ด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเปิดตัวมาเกินครึ่งปีแล้ว
ไม่ว่าจะเลือก iOS หรือ Android ทั้งคู่ต่างก็มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันไปนะ อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ใช้งานได้ดีเหมือนๆ กันแหละ ก็เลือกใช้งานตามที่ชอบได้เลยครับ
หากมีประเด็นไหนที่ไม่เห็นด้วย ก็แสดงความเห็นกันเข้ามาได้เลย
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |