หากถามว่าใครคือคนที่รวยที่สุดในโลก หลายคนมักจะนึกถึง บิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) เพราะเขาครองอันดับหนึ่งเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ในความจริงบิล เกตส์ได้ตกไปอยู่อันดับสองนานแล้ว ด้วยฝีมือของชายที่มีชื่อว่า เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน $110,700,000,000 หากตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3,393,176,400,000 บาท (บิล เกตส์ มีทรัพย์สิน $103,500,000,000) แถมเอาจริงๆ เขาเคยมีทรัพย์สินมากกว่านี้อีก หากไม่ได้เกิดเหตุทำให้ต้องหย่ากับภรรยาจนถูกแบ่งทรัพย์สินบางส่วนออกไป เริ่มอยากรู้จักกับชายคนนี้ให้มากขึ้นกันบ้างไหมครับ ว่าเขาเป็นใคร ทำอะไรมาถึงได้มีเงินมหาศาลขนาดนี้
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1964 วันที่ 12 มกราคม เด็กชายที่ชื่อว่า เจฟฟรีย์ เพรสตัน ยอร์เกนเซ่น (Jeffrey Preston Jorgensen) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาลืมตาดูโลกเป็นวันแรก ที่เมืองอัลบูเคอร์คี (Albuquerque) ในรัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) พ่อของเขามีชื่อว่าเท็ด ยอร์เกนเซ่น (Ted Jorgensen) เป็นเจ้าของร้านขายจักรยาน ส่วนแม่ของเขามีชื่อว่าแจ็คลีน กีซ ยอร์เกนเซ่น (Jacklyn Gise Jorgensen) ซึ่งตอนที่คลอดเด็กชายเจฟฟรีย์นั้น เธอเป็นเด็กสาวมัธยมปลายที่มีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น แต่เพียงไม่นาน เธอก็หย่ากับเท็ดเนื่องจากทนพฤติกรรมเมาเหล้าของตัวสามีไม่ไหว
ภาพจาก https://twitter.com/JeffBezos/status/863867801181855744?s=20
4 ปีผ่านไป แจ็คลีนได้พบรักครั้งใหม่กับมิกูเอล ไมค์ เบโซส์ (Miguel Mike Bezos) และตัดสินใจแต่งงานใหม่ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1968 ซึ่งไมค์ได้เลี้ยงเจฟฟรีย์ด้วยความรักเหมือนกับว่าเป็นลูกของเขาเองจริงๆ นามสกุลถูกเปลี่ยนมาใช้ "เบโซส์" และย้ายถิ่นฐานมาอาศัยที่ฮิวสตัน (Houston) เมืองขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐเท็กซัส (Texas) เนื่องจากไมค์ได้งานวิศวกรที่ Exxon บริษัทพลังงานที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากทันทีที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัย
ภาพจาก https://twitter.com/JeffBezos/status/1008348645605797890?s=20
ลอร์เรน เพรสตัน กีซ (Lawrence Preston Gise) ปู่ของเจฟฟ์ เคยเป็นผู้อำนวยการภูมิภาคของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Atomic Energy Commission) ในอัลบูเคอร์คีมาก่อน พอเกษียณเขาก็มาอาศัยอยู่ในฟาร์มใกล้ๆ กับครอบครัวของเจฟฟ์ ซึ่งเขามักจะไปขลุกตัวอยู่ที่นั่นเสมอๆ ความรู้ด้านวิศวกรรม, คอมพิวเตอร์ และสิ่งของไฮเทคต่างๆ ที่ปู่มีอยู่ ได้จุดประกายความหลงใหลในเทคโนโลยีของเจฟฟ์ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก
เจฟฟ์ได้ฉายแววอนาคตที่สดใสตั้งแต่ยังเด็ก เขาเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือ และชอบประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ตั้งแต่วัยเยาว์ เขาเคยสร้าง Hovercraft จากเครื่องดูดฝุ่น, เครื่องทำอาหารพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยร่มและแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์, สร้าง Infinity cube ขึ้นมาเล่นเองในตอนที่เขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อเอง รวมถึงการสร้างสัญญาณเตือนภัยเมื่อคริสติน่า เบโซส์ (Christina Bezos) และมาร์ก (Mark Bezos) น้องสาว และน้องชายของเขา พยายามเข้ามารื้อของเล่นในห้องส่วนตัวของเขาอีกด้วย
เจฟฟ์เขาเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียน Miami Palmetto Senior High School ในช่วงนั้นเขาได้เข้าร่วมโครงการอบรมวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฟลอริดา และจบมาแบบเกียรตินิยม ได้รางวัลนักเรียนดีเด่นระดับชาติ และได้รางวัลอัศวินสีเงินซึ่งเป็นรางวัลที่จะมอบให้กับนักเรียนที่ทำคะแนนได้ดี, มีพฤติกรรมความเป็นผู้นำ และสร้างคุณประโยชน์ให้แก่โรงเรียน
ตอนประถม เจฟฟ์ เคยบอกคุณครูว่า "อนาคตของมนุษยชาติไม่ได้อยู่ที่ดาวดวงนี้"
และโตขึ้น เขาฝันที่จะได้เป็นนักบินอวกาศ
เขาได้เลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน โดยเลือกเรียนสาขาฟิสิกส์เพื่อตามรอยไอดอลของเขา นั่นก็คือ สตีเฟน ฮอว์กิง อย่างไรก็ตาม เมื่อเรียนไปได้สักพัก เขาก็พบว่าหัวข้อนี้มันยากเกินไปสำหรับตัวเขาเอง ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจย้ายสาขาไปเรียนด้านอิเล็กทรอนิกส์ และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แทน แล้วเขาก็พบว่าเขามีความสามารถในการเขียนโปรแกรมชนิดที่หาตัวจับได้ยาก เขาจบการศึกษาในปี 1986 ด้วยเกียรตินิยมสูงสุด และได้รางวัล Phi Beta Kappa (นักเรียนที่มีความโดดเด่นด้านศิลปะ และวิทยาศาสตร์) รวมถึงได้รับปริญญาในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์พร้อมกันสองใบ
กล่าวได้ว่าตัวเจฟฟ์นั้น นอกจากจะเป็นคนที่รักการเรียนรู้แล้ว เขายังเป็นคนที่มีความขยัน และฉลาดมากอีกด้วย
ภาพจาก https://twitter.com/CooperASmith/status/876181421626458112?s=20
เจฟฟ์ เบโซส์ ทันทีที่เรียนจบก็เนื้อหอมทันที เขาได้รับการเสนองานจากบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Intel, Bell Labs, Andersen Consulting ฯลฯ แต่สุดท้ายเขาได้เลือกเข้าทำงานแรกที่บริษัท Fitel ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านการสื่อสาร โดยเขารับหน้าที่ในการสร้างเครือข่ายสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมพัฒนา และผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าในเวลาถัดมา เขาทำงานอยู่ที่นี่ได้สองปีก็ได้ตัดสินใจย้ายงานมาทำ Product manager ที่ Bankers Trust ในช่วงปี 1988-1990
หลังจากนั้นเขาได้เปลี่ยนงานอีกครั้ง โดยเริ่มงานใหม่ที่ D. E. Shaw & Co ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ โดยมีแนวคิดที่จะใช้หลักคณิตศาสตร์ในการลงทุน เขาใช้เวลาแค่ 4 ปีที่นี่ไต่เต้าจนเป็น รองประธานอาวุโสคนที่สี่เมื่อตอนอายุ 30 ปี
เจฟฟ์ เบโซส์ มีแรงบันดาลใจให้ความฝันอยู่หลายอย่าง อย่างเช่น Star Trek ที่ทำให้เขาอยากเป็นนักบินอวกาศ, ทอมัส เอดิสัน ที่ทำให้เขารักการประดิษฐ์, สตีเฟน ฮอว์กิง ที่ทำให้เขาหลงใหลในดาราศาสตร์ และวอลเทอร์ เอเลียส ดีสนีย์ (Walter Elias Disney แม้เขาจะไม่ใช่แฟนตัวยงของมิกกี้ เมาส์ แต่เขามีความประทับใจกับแนวทางที่ดีสนีย์นำระบบอิเล็กทรอนิกส์ และแอนิเมทรอนิกส์ (หุ่นยนต์ที่เคลื่อนไหวได้) มาใช้ในสวนสนุก Disney World ได้อย่างน่าทึ่ง
สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจ (เกี่ยวกับดิสนีย์) อยู่เสมอ คือ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของเขา
- เจฟฟ์ เบโซส์
เจฟฟ์ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ Time เอาไว้ว่า "เขา (ดิสนีย์) รู้ว่าเขาต้องการสร้างอะไร และรวมทีมกับคนที่มีฝีมือฉกาจ เพื่อสร้างมันขึ้นมา ท่ามกลางเสียงค้านจากทุกคนที่อยู่รอบตัวว่ามันจะไม่มีทางสำเร็จ แต่เขาก็หว่านล้อมจนธนาคารยอมให้กู้เงิน 400 ล้านดอลลาร์ จนเขาทำมันสำเร็จ" เพื่อนๆ ของเจฟฟ์ เบโซส์ มักจะบอกเสมอว่าความสำเร็จของ Amazon มีรูปแบบการเริ่มต้นที่เหมือนกับดิสนีย์ เพียงแต่เขาทำมันสำเร็จได้เร็วกว่า
ในปี 1993 เจฟฟ์ เบโซส์ ได้อ่านบทความว่าด้วยเรื่องของโลกอินเทอร์เน็ตในประเด็นที่ World Wide Web มีอัตราการเติบโตที่สูงถึง 2,300% ต่อปี สัญชาตญาณบอกเขาทันทีว่านี่คือโอกาสทางธุรกิจที่ดีสุดๆ ไปเลย เขาจึงเริ่มวางแผนที่จะตัดสินใจลาออกจากบริษัท D. E. Shaw & Co ที่จ่ายเงินให้เขาอย่างงามมาโดยตลอด ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากคนใกล้ตัว รวมถึงหัวหน้าของเขา แต่หัวใจเจฟฟ์ เบโซส์ ในเวลานั้น เขาไม่ต้องการอยู่ใน Comfort zone (จุดที่ปลอดภัย) อีกแล้ว เขายังหนุ่ม และต้องการความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิต เขาทำการศึกษาข้อมูลจากบริษัทที่รับส่งจดหมาย โดยเชื่อว่าสินค้าที่นิยมสั่งซื้อทางไปรษณีย์ ก็น่าจะเป็นที่นิยมบนอินเทอร์เน็ตด้วยเช่นกัน ซึ่งเขาได้ลิสต์สินค้าออกมา 20 กว่ารายการ แต่ตัดสินใจเริ่มต้นที่ "หนังสือ"
หลังจากลาออกมาพร้อมกับแม็คเคนซี เบซอส (MacKenzie S. Bezos) หญิงสาวที่เขาพบรักใน D. E. Shaw & Co และได้แต่งงานด้วย เขาได้ร่างแผนธุรกิจในระหว่างที่ขับรถทางไกลจากนครนิวยอร์กไปยังซีแอตเทิล เนื่องจากที่นี่มีภาษีการค้าต่ำ, เต็มไปด้วยแหล่งขายสินค้ารวมถึงสำนักพิมพ์หนังสือ และพวกหัวกะทิก็นิยมอาศัยอยู่ที่นี่กันด้วย และที่นั่นเอง ภายในโรงรถของบ้าน Amazon ได้ถือกำเนิดขึ้น (ภาพด้านล่างนี้ คือ บ้านหลังที่ Amazon ได้ถือกำเนิดขึ้น) เขาใช้เงินลงทุนที่ได้จากครอบครัว มาประมาณ $250,000 ในการสร้างเว็บใหม่ของเขา
ภาพจาก https://seattle.curbed.com/2019/2/11/18220973/jeff-bezos-amazon-garage-bellevue
วันนั้น เป็นวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1994 เจฟฟ์เปิดตัวเว็บไซต์ที่มีชื่อว่า "Cadabra" (ย่อมาจาก Abracadabra ที่หมายถึงสิ่งที่ให้ความรู้สึกถึงพลัง และความรู้) แต่ภายหลังทนายความของเขา Todd Tarbert ได้พยายามหว่านล้อมจนเจฟฟ์ยอมเปลี่ยนด้วยเหตุผลว่า การออกเสียงมันคล้ายคลึงกับคำว่า "Cadaver" ที่แปลว่า "ซากศพ" มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่คุยทางโทรศัพท์
ชื่อถัดมาที่เขาชอบคือ "Relentless" ที่แปลว่า "ความไม่ยอมอ่อนข้อ" แต่สุดท้ายชื่อ "Amazon" ก็ชนะเลิศไป เพราะเขาต้องการให้บริษัทมีความยิ่งใหญ่เหมือนกับแม่น้ำแอมะซอนที่เป็นแม่น้ำที่ใหญ่สุดในโลก อีกทั้งมันยังเป็นคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว A ที่เป็นพยัญชนะตัวแรกของภาษาอังกฤษอีกด้วย
รู้หรือไม่!?
เราสามารถเข้าเว็บ Amazon ผ่าน URL : relentless.com ได้ด้วยนะ
ปีถัดมา (1995) ในวันที่ 6 กรกฎาคม เจฟฟ์ เบโซส์ ได้เปิดตัวเว็บใหม่อีกครั้ง คราวนี้ชื่อที่เขาใช้ คือ "Amazon.com" หนังสือเล่มแรกที่ขายผ่าน Amazon คือ "Douglas Hofstadter's Fluid Concepts and Creative Analogies" ซึ่งในสองเดือนแรกที่ Amazon เปิดตัว มียอดสั่งซื้อหนังสือจาก 50 รัฐ และกว่า 45 ประเทศ ทำรายได้สูงถึง $20,000 ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 613,400 บาท) และเติบโตอย่างต่อเนื่องขยายสินค้าที่วางจำหน่ายออกไปหลากหลายประเภท ไม่ได้จำกัดแค่เพียงหนังสือเท่านั้น จนเข้าสู่ตลาดหุ้น IPO ในปี 1997
ในปี 1999 นิตยสาร Time ได้ยกย่องให้เจฟฟ์ เบโซส์ เป็นบุคคลแห่งปี จากการก่อตั้งบริษัทซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
ภาพจาก https://www.theatlantic.com/technology/archive/2012/10/here-is-the-first-book-ever-ordered-on-amazon/264344/
หลังจาก Amazon เปิดตัวในตลาดหุ้นอย่างงดงาม เจฟฟ์ เบโซส์ ทำเงินได้ถึง $54,000,000 จนกลายเป็นมหาเศรษฐี แต่เขาไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขายังมองหาโอกาสในสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวอยู่เสมอ แล้วยังอ่านขาดเห็นโอกาสอยู่เสมออีกด้วย ซึ่งมันได้กลายเป็นบันไดให้เขาก้าวขึ้นสู่ผู้ที่มาฐานะร่ำรวยที่สุดในโลก
ลงทุนให้ Google พัฒนาได้สำเร็จ (ปี 1998)
ในปี 1998 Amazon ได้เข้าซื้อ Junglee กิจการส่งของสัญชาติอินเดียมาครอบครอง ราม ชริราม (Ram Shriram) ซึ่งเป็นประธานบริษัทของ Junglee จึงได้เข้าร่วมทีมกับ Amazon หลังจากนั้นไม่นานชริรามได้แนะนำให้เจฟฟ์ เบโซส์รู้จักกับสองนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แลร์รี เพจ (Larry Page) และเซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) ที่ตอนนั้นกำลังพัฒนาระบบค้นหาเว็บไซต์แบบใหม่ขึ้นมาอยู่
เจฟฟ์ เบโซส์ เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนกลุ่มแรกของ Google
ชริราม มองเห็นอนาคตของโครงการนี้จึงได้ให้เงินสนับสนุนไปประมาณ $250,000 เวลาผ่านไป 6 เดือน ชริรามได้ชวน เจฟฟ์ เบโซส์ มาทานข้าวที่บ้านพร้อมกับคู่หูแลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน ทั้งคู่ได้สาธิตระบบค้นหาเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นเอง พอเจฟฟ์เห็นก็ประทับใจ และอยากลงทุนด้วย แต่ปัญหาก็คือ ตอนนั้นเลยช่วงที่ทั้งคู่ต้องการระดมทุนไปแล้ว แต่ด้วยชื่อของเจฟฟ์ เจ้าของ Amazon ที่มีเงินทุนในมือมหาศาล มีหรือที่พวกเขาจะไม่หวั่นไหว สุดท้ายเจฟฟ์ก็ได้ลงทุนในระบบค้นหาตัวใหม่นี้ไปถึง $1,000,0000 ทุกวันนี้ทุกคนก็น่าจะเคยใช้บริการดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะมันได้กลายมาเป็น Google ที่ทุกวันนี้กลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ และมีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แม้ว่าเจฟฟ์จะไม่ยอมเปิดเผยว่าปัจจุบันเขายังมีหุ้นใน Google อยู่หรือไม่ แต่ถ้ามีอยู่ราคาของมันในตอนนี้นี้น่าจะมีมูลค่ามหาศาลอย่างแน่นอน
เริ่มโครงการสำรวจอวกาศ (ปี 2000)
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่าเจฟฟ์ เบโซส์ เป็นคนที่หลงใหลในอวกาศ ในเมื่อเขามีเงินมหาศาลอยู่ในกำมือแล้ว ความฝันย่อมมีโอกาสเป็นจริง ตอนที่เขาเรียนจบแล้วมีโอกาสกล่าวสุนทรพจน์ เขาเคยกล่าวว่า "ผมต้องการสร้างโรงแรมอวกาศ, สวนสนุก และเมืองที่คนสองสามล้านสามารถอาศัยอยู่รอบวงโคจรของโลกได้"
เออร์ซูล่า เวอร์เนอร์ (Ursula Werner) เพื่อนสมัยเรียนของเจฟฟ์ได้เคยกล่าวในหนังสือชีวประวัติของเจฟฟ์ เบโซส์ เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า "เจฟฟ์สร้าง Amazon ขึ้นมาเพื่อให้เขาสามารถหาเงินมากพอที่จะสร้างยานอวกาศได้"
นั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ Blue Origin ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปูทางการสำรวจอวกาศ โครงการนี้ถูกตั้งขึ้นมาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2006 ยาน Goddard ที่ทำการบินขึ้นที่ความสูง 285 ฟุต เหนือท้องฟ้า และทำการลงจอดอย่างปลอดภัยได้สำเร็จ
ในปี 2015 บริษัทได้สร้างยานรุ่นใหม่ New Shepard ขึ้นมา โดยมีเป้าหมาย คือ เป็นยานที่บินแล้วกลับมาลงจอดใช้ซ้ำใหม่ได้อีกครั้ง การทดสอบเป็นไปได้ด้วยดี Blue Origin เป็นรายแรกที่สามารถนำยานขึ้นไปแล้วกลับมาจอดที่ฐานได้สำเร็จ ก่อนหน้าที่โครงการ SpaceX ของอีลอน มัสก์ (Elon Musk) จะทำได้เสียอีก
เจฟฟ์ เบโซส์ ถึงกับกล่าวว่าตอนนี้โครงการอวกาศสำคัญสำหรับเขามากที่สุด ไม่ใช่ Amazon อีกต่อไป
เจฟฟ์ เบโซส์ เชื่อมั่นในพลังของอินเทอร์เน็ต และมองเห็นอนาคตว่าคลาวด์จะต้องมาอย่างแน่นอน เขาได้สร้างเว็บเซอร์วิสสำหรับการประมวลผลบนคลาวด์ขึ้นมาในชื่อ Amazon Web Services (AWS) ซึ่งทุกวันนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ด้วยความสามารถที่ให้เราสร้างเว็บ, แอป ฯลฯ ได้เกือบทุกอย่างโดยไม่ต้องมีเซิร์ฟเวอร์เป็นของตนเอง
ในปี 2018 AWS มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง $25,600,000,000 (ประมาณ 784,128,000,000 บาท) ทำกำไรได้มากถึง $7,200,000,000 (ประมาณ 220,536,000,000 บาท)
ภาพจาก https://chiefit.me/amazon-web-services-signs-whole-of-government-agreement-for-coordinated-procurement-of-aws-cloud/
The Washington Post เป็นหนังสือพิมพ์เก่าแก่ที่ก่อตั้งในปี 1877 ซึ่งในช่วงที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเฟื่องฟูสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เริ่มประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก แต่เจฟฟ์ เบโซส์ กลับมองเป็นโอกาสเขาเข้าซื้อกิจการของ The Washington Post ด้วยเงินสดจำนวน $250,000,000 (ประมาณ 7,664,000,000 บาท)
ในตอนแรกที่เขาซื้อ The Washington Post ไปนั้น มีกระแสด้านลบเกิดขึ้นมากมาย ว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากพื้นที่สื่อนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ด้วยการเสนอเนื้อหาที่เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจที่มีอยู่ในมือเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไปสามปี เจฟฟ์ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคิดผิด
ในปี 2016 The Washington Post กลับมามีผลกำไรเป็นครั้งแรก ด้วยการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ เพิ่มระบบสมาชิก นำเสนอเนื้อหาไปยังหลากหลายแพลตฟอร์มทั้งบนเว็บไซต์ และแอปฯ ต่างๆ โดยที่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวในส่วนของเนื้อหาเลยแม้แต่น้อย
ลงทุนในสิ่งต่างๆ อีกเพียบ
ด้วยเงินที่มีอยู่ในมืออย่างมหาศาล ทำให้เจฟฟ์ เบโซส์ สามารถลงทุนในด้านต่างๆ อีกมากมาย แถมแต่ละอย่างก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น Twitter ในปี 2008 เขาได้ลงเงินถึง $15,000,000 ผ่านไปห้าปี Twitter ได้เข้าสู่ตลาดหุ้นเป็นครั้งแรกด้วยมูลค่า $26 ต่อหุ้น ในขณะที่ปัจจุบัน (2/10/19) อยู่ที่ประมาณ $40 คิดเป็นมูลค่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
ยังมีอีกหลายบริษัทที่เจฟฟ์ได้ซื้อกิจการต่างๆ หลากหลายประเภทมาถือไว้ในมือ เช่น TeachStreet เว็บไซต์ที่แนะนำด้านการศึกษาให้แก่นักเรียน และอาจารย์, ZocDoc ที่ให้บริการนัดพบแพทย์ออนไลน์, Nextdoor โซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับเพื่อนบ้านในท้องถิ่น, UNITY Biotechnology บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่พัฒนายาต่อต้านความชราภาพ, Airbnb บริการจองห้องพัก, Uber บริการแท็กซี่ที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดี ฯลฯ
นอกจากนี้เขายังลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีกเพียบทั้งตึกสำนักงาน,ห้างสรรพสินค้า, คอนโดมิเนียม ฯลฯ เรียกได้ว่าไล่ไม่หมดกันเลยล่ะ
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา Forbes ได้คำนวณรายได้ของเจฟฟ์ เบโซส์ในปี 2018 พบว่าเขามีรายได้ถึง $78,500,000,000 (ประมาณ 2,405,122,250,000 บาท) ตกเดือนละ 200,426,854,146 บาท หากเฉลี่ยเป็นวินาทีก็จะมีรายได้มากถึงวินาทีละ 76,259 บาท เลยทีเดียว!
ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เขาจะขึ้นแท่นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแซงหน้าบิล เกตต์ได้สำเร็จ เพราะอาณาจักรทำเงินของเขามันมีมากมายเสียเหลือเกิน
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |