เคยเงยหน้ามองฟ้าแล้วเห็นก้อนเมฆเป็นรูปสัตว์, เห็นปลั้กไฟเป็นรูปหน้าคน, มองรถแล้วรู้สึกว่าหน้าตาของมันดูตลกๆ หรือเห็นสิ่งของอื่นๆ เป็นรูปอะไรประหลาดๆ บ้างไหม?
ภาพจาก : https://www.boredpanda.com/amazing-pareidolia-examples/?utm_source=google&utm_medium=organic&utm_campaign=organic
การที่เรามองเห็นรูปร่างที่ซ่อนอยู่ในสิ่งต่างๆ รอบตัวเรานั้นไม่ได้หมายความว่าคุณมีพลังพิเศษหรือมีจินตนาการล้ำเลิศอะไร แต่มันเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่มีชื่อว่า Pareidolia ที่ทำให้มนุษย์มองเห็นรูปร่างต่างๆ ที่แฝงอยู่ในสิ่งของหรือรูปภาพจากการเติมแต่งของจิตใจที่ส่งผลให้สมองตีความสิ่งที่มองเห็นออกมาเป็นรูปร่างอื่นๆ นอกเหนือจากที่มันเป็นอยู่ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วมักจะเป็นรูปใบหน้าของสิ่งมีชีวิตต่างๆ
คำว่า Pareidolia นั้นมาจากคำศัพท์ในภาษากรีก ได้แก่คำว่า Para (παρά) ที่แปลว่า ข้างๆ หรือ แทนที่ และคำว่า eidōlon (εἴδωλον) ที่แปลว่า รูปภาพหรือรูปร่าง เมื่อรวมกันแล้วอาจแปลได้ว่ารูปภาพที่ซ่อนอยู่ หรือรูปภาพเข้ามาที่แทนที่รูปเดิมนั่นเอง
โดยปรากฏการณ์ Pareidolia นี้ส่วนมากจะถูกกระตุ้นได้จากรูปที่เป็นลายเส้นง่ายๆ ที่มีองค์ประกอบไม่มากนักอย่างรูปเรขาคณิต ประกอบกับแสงและเงารอบข้างที่ทำให้เรามองเห็นมันเป็นรูปร่างต่างๆ เพราะหากสังเกตกันดีๆ เรามักมองเห็นสิ่งของที่รายละเอียดน้อยเป็นรูปร่างหน้าตาแปลกๆ มากกว่ารูปภาพหรือสิ่งของที่มีรายละเอียดมาก เนื่องจากสมองและสายตาของเราจะโฟกัสกับรายละเอียดของสิ่งนั้นๆ ทำให้เมื่อมองภาพรวมแล้วไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น หรืออาจต้องใช้การตีความและจินตนาการที่มากกว่าสิ่งที่มีรายละเอียดน้อยอยู่มากเลยทีเดียว
ภาพจาก : https://www.reddit.com/r/Pareidolia/comments/9jp7mu/hi_there_buddy_im_verry_verry_happy_dont_upset_me/
Illusion หรือ ภาพลวงตาที่เราคุ้นเคยกันนั้น ส่วนมากจะเป็นรูปของสิ่งที่บิดเบือนการรับรู้ของสมองที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าภาพนั้นมีลักษณะบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนาด, สีสัน หรือรูปร่างที่แฝงอยู่ภายในภาพๆ นั้นอย่างตั้งใจ แต่ในขณะที่ปรากฏการณ์ Pareidolia นี้จะเกิดจากการปรุงแต่งจากจิตของเราขึ้นมาเอง หรือพูดอีกอย่างว่า Pareidolia นั้นจะใกล้เคียงกับภาพหลอน (Visual Hallucinaion) เสียมากกว่า
ภาพจาก : https://www.mirror.co.uk/science/can-you-solve-optical-illusions-13115855
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนที่มองเห็น Pareidolia ในสิ่งของต่างๆ นั้นจะเป็นบุคคลที่มีอาการจิตหลอนแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เรามีทักษะนี้ติดตัวมาแต่กำเนิด เนื่องจากสมองของเรามีส่วนที่เรียกว่า Fusiform Face Area ที่ทำหน้าที่ในการจดจำใบหน้าของสิ่งต่างๆ โดยเมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามาที่จอรับภาพที่อยู่ภายในดวงตาของเรา สมองในส่วนนี้จะทำหน้าที่เชื่อมโยงนำเอาภาพหรือสิ่งที่เรามองเห็นในขณะนั้นมาประกบเข้ากับความทรงจำของเราและสั่งการให้สมองตีความออกมาเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย
อย่างรูป “ใบหน้าบนดาวอังคาร” ที่ NASA ถ่ายเอาไว้ด้วยยานไวกิ้ง 1 เมื่อปี 1976 แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 30 ปี NASA ก็ได้ถ่ายภาพดาวอังคารที่มุมเดิม (แต่มีความชัดเจนมากกว่า) ในปี 2001 จะเห็นได้ว่ามันมีรูปร่างที่ต่างไปจากเดิมอย่างมาก และดูไม่เหมือน “ใบหน้าคน” อีกต่อไปแล้ว อาจเป็นเพราะแสงและเงาของภาพในขณะนั้นที่ทำให้ดูเหมือนว่ามีใบหน้าคนอยู่ที่พื้นผิวของดาวอังคารจริงๆ
ภาพจาก : https://www.all-about-psychology.com/pareidolia.html
หรือ “ก้อนเมฆ” รูปนี้ ที่สำหรับ Cat's Lover แล้วจะมองเป็นรูปแมว ในขณะที่ชาว Dog's Lover มองเป็นรูปสุนัขก็แสดงให้เห็นว่าการตีความของปรากฏการณ์ Pareidolia นี้จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ความคุ้นเคยของแต่ละบุคคล
ภาพจาก : https://www.boredpanda.com/amazing-pareidolia-examples/?utm_source=google&utm_medium=organic&utm_campaign=organic
แต่ในบางกรณี Pareidolia ก็อาจเกิดมาจากการคล้อยตามกลุ่ม (Integration) ที่ในตอนแรกเราไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เห็นนั้นมีลักษณะคล้ายกับอะไรบางอย่าง แต่เมื่อมีคนชี้ให้เห็นหรืออ่านข้อความอธิบายประกอบใต้ภาพก็เริ่มมองเห็นรูปที่ซ่อนอยู่บ้างเช่นกัน
ตัวอย่างเช่นในรูปนี้ที่มีคนอ้างว่าเห็นรูป "ใบหน้าของทรัมป์ (ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน) " อยู่ภายในหูของสุนัข… ที่ในตอนแรกแม้แต่เจ้าของสุนัขเองก็ไม่เห็นว่ามันเป็นใบหน้าของทรัมป์ตรงไหน แต่เมื่อเพื่อนของเธอทักขึ้นมาก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามันก็มีส่วนคล้ายอยู่เหมือนกันนะ
ภาพจาก : https://www.inverse.com/article/38147-dog-donald-trump-pareidolia
หรือจะเป็นรูปอัลตราซาวด์รูปนี้ที่คุณแม่บอกว่าเห็นแผ่นอัลตราซาวด์ลูกของเธอเป็น “ดาร์ท เวเดอร์” (สงสัยว่าคุณแม่คนนี้น่าจะดูสตาร์วอร์หนักไปหน่อย..)
ภาพจาก : https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4674405/
อย่างที่เราทราบกันว่า Pareidolia นี้เป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาตร์และจิตวิทยา แต่ในกรณีของ Diana Duyser หญิงสาวชาวอเมริกันที่โด่งดังขึ้นมาในปี 2004 จากการเปิดประมูล “ชีสโทสต์ศักดิ์สิทธิ” ที่มีรูปของ “พระแม่มารีย์” ลงในอีเบย์นั้นก็คงจะต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านอยู่สักหน่อย เพราะ Duyser ได้อ้างว่าเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิของพระแม่มารีย์ที่ทำให้ชีสโทสต์ที่เธอซื้อมาเป็นอาหารเย็นในปี 1994 นั้นไม่เน่าเสียแม้เวลาจะผ่านมาเป็น 10 ปีแล้วก็ตาม ซึ่งในตอนนั้นเมื่อ Duyser พบว่าชีสโทสต์ที่เธอกัดลงไปนั้นมีรอยไหม้ที่หน้าตาคล้ายกับ “พระแม่มารีย์” นั้น เธอก็ไม่กล้าที่จะกินอีกต่อไปและตัดสินใจเก็บชีสโทสต์ชิ้นนี้เอาไว้กว่าสิบปีก่อนที่เธอจะนำเอามันมาลงประมูลขายในอีเบย์ในปี 2004 ที่มีคนกดเข้ามาดูกว่า 1,700,000 คน และถูกประมูลไปในราคา $28,000 (ตีเป็นเงินไทยก็เกือบหนึ่งล้านบาทเลยทีเดียว)
ภาพจาก : https://mairineil.com/tag/diana-duyser-and-her-cheese-sandwich/
ดูเหมือนว่าปรากฏการณ์ Pareidolia นี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ในทุกๆ วัน เพราะถึงขนาดมีการสร้างแฮชแท็ก #ISeeFaces ทั้งในทวิตเตอร์และอินสตาแกรมที่รวบรวมรูปถ่ายสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพบเจอกับปรากฏการณ์ Pareidolia ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |