บทความนี้รวบรวมทุกเรื่องที่คุณอยากรู้เกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ iOS 14 มาดูกันว่ามีฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ บ้าง
เปิดตัวเมื่อไหร่ และอุปกรณ์ไหนบ้างที่รองรับในปัจจุบัน จากอดีตมาสู่ตอนนี้เราเห็นความเ ปลี่ยนแปลงอะไรบน iOS 14 กันบ้าง
ระบบ iOS 14 คือ ระบบปฏิบัติการบนมือถือของอุปกรณ์ค่าย Apple โดย iOS 14 ถูกประกาศเปิดตัววันแรกในงาน WWDC 2020 วันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) และเผยแพร่ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) ในเวอร์ชันนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งการเพิ่ม Widgets และ App Library ให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการแสดงผลของหน้า Homescreen ให้ดูน่าสนใจและสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้นได้ หรือการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ แบบ Multitask และใช้งานแอปพลิเคชันผ่าน App Cilp โดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันนั้นๆ มาติดเครื่อง
รวมทั้งยังได้เพิ่มฟีเจอร์และการอัปเดตอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น ปรับดีไซน์การใช้งาน Siri และการโทรเข้า, ฟีเจอร์ต่างๆ บนแอปพลิเคชัน ทั้ง Maps, Message, Safari เป็นต้น ซึ่งในบทความนี้เราก็ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียดเกี่ยวกับฟีเจอร์บน iOS 14 มาให้ได้มากที่สุด
iPhone | iPod Touch |
iPhone SE (รุ่นแรก) | iPod Touch (รุ่น 7) |
iPhone 6s | |
iPhone 6s Plus | |
iPhone 7 | |
iPhone 7 Plus | |
iPhone 8 | |
iPhone 8 Plus | |
iPhone X | |
iPhone Xs | |
iPhone Xs Max | |
iPhone XR | |
iPhone 11 | |
iPhone 11 Pro | |
iPhone 11 Pro Max | |
iPhone SE (รุ่นสอง) |
ข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
ใน iOS 14 นี้ ทาง Apple ได้เพิ่ม Widgets เข้ามาให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้า Homescreen ของตนเองได้อย่างอิสระ โดยมี Widgets ให้เลือกใช้ทั้งของ Apple และจากแอปพลิเคชัน 3rd Party อื่นๆ อีกมากมาย
ผู้ใช้สามารถเพิ่ม Widgets ที่ต้องการได้ด้วยการกดค้างบริเวณพื้นที่ว่างบนหน้าจอ จากนั้นกดที่ไอคอน [+] ด้านซ้ายบน ก็จะสามารถลาก Widgets จาก Widgets Gallery มาไว้ที่หน้า Homescreen และเลือกปรับแต่งขนาดตามต้องการได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกตั้งเวลาการเปลี่ยน Widgets ได้อีกด้วย
App Library หรือฟีเจอร์การจัดกลุ่มแอปพลิเคชัน (คล้ายกับ Smart Folder ของ Android 11 ใน Pixel) นั้นจะอยู่หน้าสุดท้าย (ขวาสุด) ของ Homescreen ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้แอปพลิเคชันใดแสดงผลบนหน้า App Library ได้ โดยไปที่เมนู Homescreen จากหน้า Setting (แต่ไม่สามารถจัดกลุ่มแอปพลิเคชันบนหน้า App Library เองได้)
และเนื่องจากว่ามี App Library ที่รวบรวมแอปพลิเคชันทั้งหมดเอาไว้แล้ว Apple จึงเพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถซ่อนการแสดงผลหน้า Homescreen ได้ด้วยการกดค้างบนพื้นที่ว่างของ Homescreen และกดที่จุดด้านล่าง ก็จะปรากฏหน้า Homescreen ทั้งหมดขึ้นมา จากนั้นผู้ใช้ก็สามารถเลือกหน้า Homescreen ที่ต้องการให้แสดงผลได้
ใช้งานหลายแอปพลิเคชันพร้อมกันแบบ Multitask ได้ ด้วยการเปิดใช้งาน Picture-in-picture mode โดยรองรับการใช้งานทั้งการดูคลิปบน YouTube, Netflix และใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันวิดีโอคอลอื่นๆ ได้อีกด้วย
Clips เป็นเครื่องที่ทาง Apple พัฒนาขึ้นมาให้ผู้ใช้สามารถใช้งานบริการของแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้ต้องการในช่วงระยะเวลาสั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันนั้นๆ มาติดเครื่องแต่อย่างใด ซึ่งผู้ใช้จะต้องสแกนรหัส Apple Clip, NFC, QR Code หรืออาจเปิดใช้งานผ่าน Safari
ปรับดีไซน์ Siri และการโทรเข้าใหม่ให้มีความเรียบง่ายและประหยัดพื้นที่มากขึ้น และปรับให้ผู้ใช้สามารถรับสาย หรือเรียกใช้ Siri ไปพร้อมกับการใช้งานแอปพลิเคชันอื่นได้
เพิ่มระดับความปลอดภัยในการใช้งานและเข้าถึงฟังก์ชันและข้อมูลต่างๆ โดยหากแอปพลิเคชันใดมีการใช้งานกล้องหรือไมโครโฟนก็จะมีไฟขึ้นแจ้งเตือนด้านซ้ายบนของหน้าจอ และผู้ใช้สามารถเลือกแชร์ Location แบบคร่าวๆ แทนการระบุตำแหน่งแบบชัดเจน
นอกจากนี้ยังเพิ่มการปรับปรุงบน App Store ให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ของแอปพลิเคชันที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และแอปพลิเคชันต่างๆ จะต้องขออนุญาตผู้ใช้ก่อนติดตามข้อมูลการใช้งาน
ค้นหาสิ่งที่ต้องการบนแอปพลิเคชันต่างๆ ผ่าน Search Bar โดยเมื่อไปที่เมนูการค้นหา ก็จะมีเมนู Search in Apps พร้อมแอปพลิเคชันแนะนำขึ้นมา จากนั้นกดแอปพลิเคชันที่ต้องการ ก็จะสามารถพิมพ์คำค้นหาได้ (ในเบื้องต้นรองรับเฉพาะแค่แอปพลิเคชันของ Apple อย่าง Contacts, Mail, Maps, Messages หรือ App Store เท่านั้น) รวมทั้งสามารถค้นหาผ่านเว็บไซต์ (Web Search) และพิมพ์คำค้นหา Emoji จากคีย์บอร์ดได้ด้วย
ภาพจาก : https://www.macrumors.com/roundup/ios-14/
สร้าง Memoji เฉพาะที่มีลูกเล่นมากกว่าเดิมได้ ทั้งช่วงอายุ, ทรงผม, เครื่องประดับ และสติกเกอร์ต่างๆ
ปรับความไวในการจับภาพ และการสลับถ่ายวิดีโอ, เพิ่มการถ่ายภาพกล้องหน้าแบบกลับด้าน, อ่าน Qr Code ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น และถ่ายวิดีโอแบบ Quick Take ในโหมดถ่ายรูปบน iPhone XR, XS และ XS Max ได้
ภาพจาก : https://www.macrumors.com/roundup/ios-14/
บน iOS 14 ได้เพิ่มระบบ Dynamic Head Tracking ให้ผู้ใช้สามารถได้ยินเสียงแบบรอบทิศทาง (ขณะใช้งานร่วมกับ AirPods หรือ AirPods Pro) และสามารถสลับการใช้งานระหว่างลำโพงจากตัวเครื่องและ AirPods หรือ AirPods Pro รวมทั้งเพิ่มการแจ้งเตือนแบตเตอรีต่ำ
ปรับให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าการใช้งานแอปพลิเคชัน 3rd Party อื่นๆ ให้เป็น Default App สำหรับ Browser และ Mail ได้แล้ว
กดที่ปุ่มย้อนกลับค้างไว้เพื่อเลือกกลับไปยังหน้าที่ต้องการ และตั้งค่าการใช้งาน Back Tap หรือการแตะหลังตัวเครื่องเพื่อใช้งานฟังก์ชันต่างๆ เช่น แคปหน้าจอ, ล็อกหน้าจอ, เรียกใช้งาน Siri หรือฟังก์ชันอื่นๆ โดยผู้ใช้จะต้องเข้าไปเปิดการใช้งานที่ Setting > Accessibility > Touch จากนั้นเลื่อนลงมาด้านล่างสุดและเปิดการใช้งาน Back Tap ก็จะสามารถเลือกเปิดการทำงานได้ทั้ง Double Tap (แตะ 2 ครั้ง) และ Triple Tap (แตะ 3 ครั้ง)
ภาพจาก : https://tipsmake.com/ios-14-allows-users-to-tap-on-the-iphone-back-to-lock-the-device-take-screenshots-go-to-home-
เพิ่มเส้นทางจักรยาน (Cycling Routes), จุดชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle Routing) และมีฟีเจอร์ Guides ที่รวบรวมสถานที่ที่น่าสนใจในพื้นที่ต่างๆ เอาไว้ด้วย
ปักหมุดการสนทนา (Pin Conversation) บน Message ไว้ด้านบนสุดได้โดยการกดค้างไว้และเลือก Pin (สูงสุด 9 คน), เปลี่ยนรูปแชทกลุ่ม, Mention เพื่อนในแชทกลุ่ม (คล้ายกับบน Line) และตอบกลับข้อความแบบเจาะจงได้
ภาพจาก : https://www.macrumors.com/roundup/ios-14/
รองรับการแปลภาษาด้วยข้อความและเสียงถึง 11 ภาษาทั่วโลก ได้แก่ อังกฤษ, จีน (ตัวเต็มและตัวย่อ), ญี่ปุ่น, เกาหลี, สเปน, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, รัสเซีย, โปรตุเกส (บราซิล) และอารบิก ,ใช้งานแบบออฟไลน์ได้ด้วยการเปิดใช้โหมด On-device และเลือกบันทึกการแปลภาษาที่ใช้บ่อยได้ที่ Favorites
|
|
ควบคุม Smart Home ได้สะดวกมากขึ้นด้วยการตั้งค่าการควบคุมแบบอัตโนมัติ, การปรับแสงสว่างภายในบ้าน, ใช้งานร่วมกับกล้องภายในบ้านได้ และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น (เข้ารหัสข้อมูลแบบ End-to-end)
|
ผู้ใช้สามารถใช้งาน iPhone แทนกุญแจรถได้ด้วยฟีเจอร์ Car Keys ไม่ว่าจะเป็นการกดล็อก, ปลดล็อก หรือสตาร์ทรถ โดยใช้งานร่วมกับรถที่มีระบบ NFC (Near-Field Communication) ได้ และผู้ใช้ยังสามารถแชร์ Apple Car Keys ให้กับบุคคลอื่นๆ ผ่าน Message และสามารถเข้าไปปิดการใช้งานร่วมที่ iCloud ได้
ส่วน CarPlay ก็ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนวอลเปเปอร์, แชร์ ETA (Estimate Time of Arrival) หรือช่วงเวลาที่คาดว่าจะถึงจุดหมายพร้อมส่งข้อความผ่าน Siri, เพิ่มคีย์บอร์ดภาษาจีนและญี่ปุ่น
โหลดหน้าเว็บไวขึ้น, เพิ่ม Privacy Report รายงานความปลอดภัยการใช้งานเว็บไซต์, ตรวจสอบความปลอดภัยของรหัสผ่านที่ผู้ใช้บันทึกไว้บน Safari และเพิ่มการทดสอบการแปลภาษาบนหน้าเว็บ
เพิ่มฟีเจอร์ช่วยเรื่องการนอนหลับ (เปิดการทำงานได้ที่ Set Up Sleep), รองรับข้อมูลด้านสุขภาพที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูล Medical ID, Emergency SOS, อัตราการเต้นของหัวใจ และรองรับการล้มอย่างฉับพลันของผู้ใช้ เป็นต้น
ภาพจาก : https://www.macrumors.com/roundup/ios-14/
การเปิดตัว iOS 14 นับเป็นความก้าวหน้าไปอีกขั้นของระบบปฏิบัติมือถือจากค่าย Apple เพราะนอกจากจะเพิ่มเครื่องมือต่างๆ ให้ผู้ใช้สามารถจัดการหน้าการใช้งานโทรศัพท์ได้อย่างอิสระแล้ว ยังมีการปรับปรุงฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์และตรงกับความต้องการของผู้ใช้เข้ามาอีกมากมาย
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |