ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราได้รีวิวที่สุดของกล้อง DSLR ระดับโปรอย่าง Nikon D5 ซึ่งเป็นกล้องเซ็นเซอร์ภาพระดับ Full Frame ระดับโปร บอกเลยว่าประสิทธิภาพในทุกๆ ด้านของกล้องตัวนี้น่าประทับใจมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาพถ่ายที่สวยงามเหมือนตาเห็น ทำให้การถ่ายแบบจบหลังกล้องไม่ยากเย็นเลยครับกับกล้องตัวนี้ ในส่วนของการถ่ายวิดีโอ ก็สามารถถ่ายได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ตอบโจทย์โปรดักชั่นเฮ้าส์ที่ต้องการไฟล์วิดีโอความละเอียดสูง เพื่อความยืดหยุ่นในการนำไปใช้งาน และให้เนิ้อไฟล์วิดีโอที่กระจ่างใสดีมากๆ และรองรับการถ่ายวิดีโอในสภาพแสงน้อยได้ดีเลย
เรื่องที่ D5 มีพัฒนาการมาจากรุ่น D4s อย่างชัดเจนคือระดับ ISO ที่ทำได้สูงขึ้น คือปรับได้สูงสุดถึง ISO 3,280,000 เลยทีเดียว และระบบการจัดการ Noise ทำได้กว่า D4s อย่างชัดเจน นั่นหมายความว่า D5 ให้ผลงานการถ่ายในสภาพแสงน้อยได้ดีกว่า คาดหวังกับการถ่ายในสภาพแสงน้อยโดยไม่ใช้ไฟแฟลชได้มากกว่าที่ผ่านมา อีกเรื่องที่น่าสนใจสำหรับช่างภาพกีฬาคือ มีการเปลี่ยนระบบออโตโฟกัสมาเป็นแบบ Multi-CAM 20K ที่มีระบบออโต้โฟกัสแบบ Phase Detect ถึง 153 จุด และมีจุดโฟกัสแบบ Cross type ที่ทำงานได้รวดเร็วถึง 99 จุด (เทียบกับ D4s ที่มี Phase Detect 51 จุด และมี Cross Type เพียง 15 จุด)
สอดรับกับระบบถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องความเร็วสูง (High speed continuous shooting) ที่ได้รับการยกเครื่องใหม่ ให้มีความความเร็วสูงถึง 12fps (ภาพต่อวินาที) โดยทีระบบวัดแสงอัตโนมัติ (AE) และระบบโฟกัสอัตโนมัติ (AF) สามารถทำงานได้ในทุกเฟรม ซึ่งเป็นความเร็วที่น่าทึ่งมากๆ และยังมีโหมดความเร็วสูงพิเศษ 14fps โดยที่ไม่สามารถใช้งานระบบวัดแสงอัตโนมัติ และระบบโฟกัสอัตโนมัติ (Fixed focus and exposure) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อขยายขีดความในการถ่ายภาพกีฬา หรือภาพแอคชั่นชีวิตสัตว์ป่า ที่ต้องการถ่ายภาพแบบเร็วรัว เพื่อจับจังหวะที่ดีที่สุด สวยงามที่สุด ของของนักกีฬาหรือตัวแบบที่ต้องการถ่าย
คลิปวิดีโอ รีวิว Nikon D5 ที่สุดของกล้องโปร DSLR แห่งปี 2016
คุณสมบัติของกล้อง Nikon D5
และใครอยากรู้ความแตกต่างระหว่าง Nikon D5 , D4s และ D3s คลิกที่นี่เลยครับ
ความรู้สึกที่มีต่อ Nikon D5
ต้องออกตัวก่อนว่า ตัวผมเองถ่ายภาพด้วยกล้อง DSLR มาก็หลายปี แต่เพิ่งจะได้มาจับกล้องระดับ Full frame อย่างจริงๆ จังๆ ตัวแรกก็ Nikon D5 ตัวนี้เลย (กล้องหนัก 1.405 กก.) เราได้รับมาทดสอบพร้อมกับเลนส์ระดับโปรอีก 2 ตัว ก็คือ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR (หนัก 1.07 กก.) และเลนส์อีกตัวหนึ่งคือ Nikon AF-S NIKKOR 58mm f/1.4G (หนัก 385 กรัม) โดยเลนส์คิทของ Nikon D5 จะเป็นรุ่น Nikon AF-S NIKKOR 24-120mm f/4G ED VR
ตลอดช่วงระยะเวลาการรีวิวออกทริปถ่ายภาพ เลือกใช้เลนส์ 24-70mm เพราะให้ระยะซูมที่ยืดหยุ่นกว่า เท่ากับว่าต้องแบกน้ำหนักประมาณ 2.4 กก. ติดตัวไปตลอดเวลาที่เดินถ่ายนู่นถ่ายนี่ โดยคล้อยสายสะพายกล้องไว้กับคอบ้าง กับไหล่บ้าง บอกเลยว่าเกิดอาการเมื่อยพอสมควร การใช้มือช่วยยกช่วยพยุงตัวกล้องในขณะที่เดินหามุมถ่ายภาพ ก็ช่วยลดอาการเมื่อยได้ดี เพราะคอกับไหล่ไม่ต้องรับน้ำหนักกล้องแบบเต็มๆ แต่เมื่อได้เห็นผลงานภาพถ่ายและคลิปวิดีโอสวยๆ จาก Nikon D5 ก็ต้องบอกว่าหายเหนื่อยไปได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เข้าใจเลยว่าทำไมตากล้องระดับโปร ถึงได้ยอมแบกนำหนักกล้องเยอะๆ ไปออกทริปถ่ายภาพ
และอีกเรื่องที่อยากจะบอกคือ ถ้าคุณต้องการใช้กล้องโปรระดับนี้ให้คุ้มค่า เต็มประสิทธิภาพ บอกเลยว่าหนังสือคู่มือเป็นสิ่งที่ควรเปิดอ่านเป็นอย่างยิ่งคร้บ โดยหนังสือคู่มือของ D5 ก็จัดทำมาเป็นอย่างดี เนื้อหาภาษาไทยอ่านเข้าใจง่าย ความหนาเกือบ 500 หน้า สงสัย หรืองงกับฟังก์ชั่นไหน ให้เปิดดูในคู่มือเลย อย่าเสียเวลาลองปรับแต่งเองแบบเดาสุ่มไปเรื่อยๆ จะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็ขอชื่นชมว่าทาง Nikon จัดทำหนังสือคู่มือภาษาไทยได้ดีมากๆ ครับ
เรือนร่าง Nikon D5
เอกลักษณ์ของกล้องรุ่นโปร นอกจากเรือนร่างที่อวบใหญ่แล้ว ก็ยังมีกริปแนวนอนที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการถ่ายภาพแนว Portrait ติดตั้งมาให้แบบตายตัว ซึ่งบนตัวกริปแนวนอนก็มีปุ่มชัตเตอร์ และลูกบิดปรับตั้งค่าการถ่ายมาให้ 2 ตัวเหมือนกริปแนวตั้ง ทำให้ปรับตั้งทั้งค่ารูรับแสง และสปีดชัตเตอร์ได้อย่างคล่องตัวเมื่อต้องถ่ายในแนว Portrait
ด้วยเรือนร่างที่ใหญ่อวบ ทำให้ใครได้เห็นก็รู้ทันทีว่า นี่คือกล้องโปรอย่างแน่นอน บนตัวกล้องมีปุ่มจำนวนมากเพื่ออำนวยความสะดวกให้ปรับแต่งค่าการถ่ายได้อย่างรวดเร็ว และโดยส่วนตัวสำหรับคนมือเล็กนิ้วสั้นอย่างผม เมื่อต้องมาหยิบจับใช้งานกล้องใหญ่ๆ ที่ดูโปรอย่าง Nikon D5 ก็พบว่ามีอาการนิ้วกดปุ่ม Pv, Fn1 และ Fn2 ไม่ถึง ต้องอาศัยการเอื้อมนิ้วเอาเล็กน้อย แต่ถ้าคนมือใหญ่นิ้วยาวก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา โดยปุ่ม Pv ใช้สำหรับการเปิดรูรับแสงกว้างสุดชั่วคราวในขณะถ่ายด้วย Live view เพื่อให้ง่ายต่อการปรับโฟกัส และในส่วนของปุ่ม Fn1 และ Fn2 เป็นปุ่มอำนวยความสะดวก ที่เราสามารถกำหนดฟังก์ชั่นพิเศษให้เรียกใช้งานด้วยปุ่มนี้ได้ อาทิ การเลือกระบบใช้ระบบวัดแสงรูปแบบต่างๆ, เปิดการบันทึกภาพแบบ RAW หรือการสั่งให้ล็อกค่า AE/AF เป็นต้น
Nikon D5 มีจอ LCD ขาวดำแสดงค่าการถ่ายติดตั้งอยู่ใน 2 จุด โดยจอ LCD ตัวที่ 1 ติดตั้งอยู่เหนือกริปมือจับ หน้าจอมีขนาดใหญ่ดีทีเดียว แสดงระบบการวัดแสง , ISO , จำนวนภาพที่ถ่ายได้ , ระดับแบตเตอรี่ , การชดเชยแสง , โหมดการถ่ายภาพนิ่ง (M, P, S, A) , สปีดชัตเตอร์ และค่ารูรับแสง ความดีของจอนี้คือ ในขณะที่ใส่แบตเตอรี่ไว้แต่ไม่ได้เปิดให้กล้องทำงาน ก็จะมีการแสดงจำนวนภาพในเมโมรี่การ์ดบนหน้าจอ
และถ้าเราจะหยิบกล้องออกไปถ่ายนอกสถานที่ ก็ให้ชำเลืองดูหน้าจอสักนิด ถ้าจอไม่แสดงตัวเลขอะไรเลย ก็แสดงว่าเราลืมเอาแบตเตอรี่ใส่ตัวกล้อง จอนี้ก็ช่วยเตือนไม่ให้เราลืมใส่แบตฯ ได้ และหน้าจออันนี้เคยช่วยชีวิตผมไว้ได้ เมื่อมีอยู่วันหนึ่งจะหยิบกล้องออกไปถ่ายทั้งๆ ที่ในกล้องไม่มีเมโมรี่การ์ด ดีที่สังเกตเห็นตัวอักษร E แสดงบนหน้าจอ (น่าจะย่อมาจาก Empty) ช่วยเตือนให้ไปหยิบการ์ดมาใส่กล้องออกจะออกไปถ่าย
การถ่ายตอนกลางคืน จอ LCD ขาวดำสามารถเปิดไฟ Backlit สีเขียวได้ (โดยการโยกสวิตซ์ ON-OFF มาทางขวาสุด) ทำให้ปรับค่าการถ่ายในตอนกลางคืนได้สะดวก
วิธีเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพนิ่ง (M, P, S, A) ของ Nikon D5 มีความแตกต่างจากกล้อง DSLR ระดับกลาง โดยที่ต้องใช้นิ้วหนึ่งกดปุ่ม MODE ทางขวาของตัวกล้องค้างไว้ และใช้อีกนิ้วหนึ่งหมุนลูกบิดทางด้านหลังของกริปมือจับ ก็จะเปลี่ยนโหมดการถ่ายภาพนิ่งได้ครับ เช่นเดียวกับการเลือกใช้ระบบวัดแสง ก็ให้กดปุ่มที่มีสัญลักษณ์การวัดแสงค้างไว้ แล้วหมุนลูกบิดทางด้านหลังกริป
และมีปุ่ม BKT (Bracketing) เพื่อควบคุมการถ่ายภาพแบบคร่อมค่าแสงตามสไตล์กล้องโปร โดยสามารถเลือกช่วงการถ่ายคล่อมค่าแสงได้อย่างยืดหยุ่น จะให้ถ่ายคล่อมเฉพาะไปทาง + หรือไปเฉพาะทาง - ก็ยังได้ และเลือกจำนวนภาพได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น 2, 3, 5, 7 หรือ 9 ภาพ ดูรายละเอียดตามตารางนี้เลยครับ
วิธีเลือกโหมดการลั่นชัตเตอร์ (เลือกถ่ายภาพนิ่งภาพเดียว หรือถ่ายถาพนิ่งต่อเนื่อง) ก็มีความแตกต่างจากกล้อง DSLR ระดับกลางเช่นกัน โดยต้องใช้นิ้วหนึ่งกดปุ่มเล็กๆ ทางด้านหน้าเอาไว้ แล้วใช้อีกนิ้วหนึ่ง หมุนลูกบิดทางด้านหลัง โดยโหมดการลั่นชัตเตอร์ ของ Nikon D5 ก็มี
ขอบข้างซ้ายของบอดี้กล้องมีช่องพอร์ตเชื่อมต่อมากมาย สมกับที่เป็นกล้องโปร
ตำแหน่งของช่องเชื่อมต่อทางด้านหน้าบอดี้กล้อง ประกอบด้วย
ด้านหลังกล้อง มีปุ่มควบคุมจำนวนมากตามสไตล์กล้องโปร ทำให้ปรับแต่งค่าการถ่ายต่างๆ ได้สะดวกรวดเร็วดีมากๆ
จอ LCD สีขนาด 3.2 นิ้ว มีการอัพเกรดความละเอียดจอจากรุ่น D4s (921k พิกเซล) มาเป็นความละเอียด 2,359k พิกเซล ในรุ่น D5 และอีกหนึ่งรายการอัพเกรดที่สำคัญคือ เป็นจอแบบทัชสกรีนแล้ว ทำให้สามารถเลือกจุดโพกัสที่ต้องการโดยการแตะบนหน้าจอได้เลย แต่ก็น่าแปลกใจนิดหน่อยที่ยังไม่สามารถแตะบนหน้าจอ เพื่อเซ็ตการทำงานของกล้องในหน้าจอเมนู (โดยการเซ็ตค่าในหน้าจอเมนู ต้องทำผ่านปุ่มจอยสติ๊ก 4 ทิศทาง) ถ้าสามารถแตะหน้าจอเพื่อค่าในเมนูได้ การใช้งานกล้องตัวนี้ก็จะง่ายขึ้นไปอีก
อีกหนึ่งความโปรของกล้องตัวนี้คือ มีจอ LCD ขาวดำขนาดเล็กอีก 1 จอ อยู่ใต้จอ LCD สี จอนี้แสดงฟอร์แมตไฟล์ภาพถ่ายว่าเราถ่ายแบบ JPG หรือ JPG+RAW และยังแสงค่า White balance ที่เราเลือกใช้ด้วย
เปิดไฟ Backlit สีเขียวเพื่ออำนวยความสะดวกในการถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ด้วย
มี 2 ช่องเสียบเมโมรี่การ์ดตามสไตล์กล้องโปร แต่ความพิเศษคือ D5 มีตัวกล้องให้เลือกซื้อ 2 รุ่น คือตัวกล้องรุ่นที่มาพร้อมสล็อต CompactFlash 2 ช่อง (ซึ่งเป็นรุ่นที่เราได้รับมาทดสอบ) กับรุ่นที่มาพร้อมสล็อตการ์ดแบบ XQD ทั้ง 2 ช่อง ซึ่งการ์ด XQD มีข้อดีตรงที่ทำความเร็วการบันทึกไฟล์ได้สูงกว่าการ์ด CF เหมาะกับช่างภาพกีฬาที่ต้องกดถ่ายภาพต่อเนื่อง 12Fps แบบลากยาว เพื่อให้ได้ภาพในจังหวะที่ดีที่สุดของเกมส์กีฬา
ด้วยความเร็วของการ์ด XQD ทำให้สามารถถ่ายไฟล์ RAW หรือ Large JPG ได้ต่อเนื่องถึง 200 ภาพในการกดชัตเตอร์ครั้งเดียว และระบบการบันทึกแบบ 2 ช่องการ์ดของ Nikon D5 เราสามารถตั้งให้มันบันทึกไฟล์ภาพชุดเดียวกัน (ฺBackup) เผื่อสำรองไว้ในกรณีการ์ดอันใดอันหนึ่งเสีย ก็ยังมีรูปอยู่ในอีกการ์ด หรือตั้งให้ทำงานในโหมดแบบแยกบันทึก เช่น การ์ดใบที่ 1 บันทึก JPEG และการ์ดใบที่ 2 บันทึก RAW เพื่อความสะดวกในการนำไฟล์ไปใช้งาน
แบตเตอรี่ของ D5 ยังคงใช้แบบเดียวกับ D4s คือแบตฯ รุ่น EN-EL18a แต่ในสเปกระบุว่า D5 รองรับการถ่ายได้มากถึง 3,780 ภาพต่อรอบการชาร์จ ในขณะที่ D4s รองรับการถ่ายเพียง 3,020 ภาพ คาดว่าสาเหตุที่ D5 ถ่ายได้จำนวนภาพมากกว่า เพราะมีการเปลี่ยนมาใช้ระบบประมวลผลภาพรุ่นใหม่ EXPEED 5 (รุ่น D4s ใช้ EXPEED 4) ทำให้จัดการพลังงานได้ดีกว่า
ถ่ายภาพกีฬาได้ยอดเยี่ยมด้วยระบบออโต้โพกัส Cross Type 99 จุด และโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง 12fps
กล้องในอุดมคติของช่างภาพสายกีฬา ระบบออโต้โฟกัสต้องทำงานได้รวดเร็ว มีจุดโฟกัสมากเพื่อ Tracking การเคลื่อนไหวในเกมส์กีฬา และต้องมีความเร็วในการถ่ายภาพนิ่งแบบต่อเนื่องสูงๆ และถ้ามีระบบจัดการ Noise ที่ดีหล่ะก็เยี่ยมไปเลย เพราะเราอาจจะต้องไปอยู่ในสนามกีฬาที่มีสภาพแสงน้อย ทำให้ต้องดัน ISO สูงๆ เพื่อเร่งสปีดชัตเตอร์ให้เร็วพอที่จะหยุดความเคลื่อนไหว ก็ต้องบอกว่า Nikon D5 เป็นกล้องในฝันของช่างภาพกีฬาเลยทีเดียว เพราะมีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นรวมอยู่ในกล้องนี้แบบครบๆ
ด้วยความที่ Nikon D5 มีจุดโฟกัสทั้งสิ้น 153 จุด และเป็นจุดโฟกัสแบบ Cross type ที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วถึง 99 จุด (เทียบกับ Canon EOS-1D X Mark II ที่มี Cross Type 41 จุด) และเราสามารถเลือกใช้งานจุดโฟกัสแบบ Cross type ได้ 35 จุด ส่วนจุดโฟกัสที่เหลือจะถูกใช้เพื่อการ Tracking ไปตามการเคลื่อนที่ของนักกีฬา และด้วยความเร็วในการถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องที่ 12 ภาพต่อวินาที โดยที่มีการวัดแสง และมีการหาโฟกัสอัตโนมัติในทุกภาพที่ถ่าย เมื่อเราได้ลงสนามถ่ายภาพจริงด้วย Nikon D5 ก็ต้องยอมรับว่ามันยอดเยี่ยมมากๆ และถึงแม้ผมจะเป็นมือใหม่กับการถ่ายภาพกีฬา แต่ก็ยังได้ภาพในจังหวะดีๆ ติดมือกลับบ้านมาพอสมควรครับ
การถ่ายภาพนิ่งแบบต่อเนื่อง 12fps จับจังหวะการเคลื่อนไหวของนักกีฬาได้ในแทบจะทุกอิริยาบท เอามาคัดเลือกภาพแอคชั่นที่ดีที่สุดได้แบบง่ายๆ
Nikon D5 f4 1/1000Sec. ISO 25600 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
***หมายเหตุ ทุกภาพถ่ายของ Nikon D5 ในรีวิวนี้ เป็นภาพแบบจบหลังกล้อง ไม่ผ่านการปรับแต่งด้วยโปรแกรม ทำแค่เพียงการย่อขนาดไฟล์ภาพ และใส่โลโก้เพื่อการโพสต์ลงเว็บเท่านั้นครับ***
Nikon D5 f4 1/1600Sec. ISO 25600 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
ภาพที่ถ่ายมาได้มันน่าประทับใจมากๆ ได้ภาพถ่ายถ่ายที่จับช่วงจังหวะสวยๆ มาจำนวนหนึ่ง แต่ก็มีข้อสังเกตคือ เราปรับค่า White balance ของกล้องให้เป็นแบบ Fluorescence เพื่อให้ตรงกับสภาพแสงในสภาพแบด แต่ก็พบว่าการถ่ายที่ความเร็ว 12fps นั้น หลายๆ ภาพให้ค่าสีที่ถูกต้องเที่ยงตรงดี แต่จะมีบางภาพที่โทนสีเพี้ยนออกแนวอมเขียว เข้าใจว่าระบบ White balance อาจทำงานผิดพลาดในบางภาพของช่วงการภ่ายแบบความเร็วสูง
และอีกเรื่องคือ รู้สึกว่าความเร็วในการถ่ายต่อเนื่องตกลงในบางจังหวะ (สังเกตจากเสียงความถี่การลั่นชัตเตอร์ที่ลดลง) สาเหตุน่าจะเป็นเพราะการ์ด CF ที่ใช้มีความเร็วไม่สูงพอ เลยขอแนะนำว่าถ้าเน้นถ่ายภาพกีฬาจริงจัง ควรเลือกซื้อตัวกล้องเวอร์ชันที่ใช้เมโมรี่การ์ดแบบ XQA ที่ทำงานได้เร็วกว่าการ์ด CF หรือไม่ก็ควรเลือกใช้งานการ์ด CF รุ่นที่มีคุณภาพและความเร็วสูงครับ
ในวันที่ไปสนามแบด เรามีถ่ายน้องนางแบบมาด้วย สภาพแสงในสนามค่อนข้างน้อย แต่ผลงานที่ได้ออกมาก็ดูดีใช้ได้เลยครับ
Nikon D5 f1.4 1/125Sec. ISO 800 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 58mm f/1.4G
Nikon D5 f1.4 1/125Sec. ISO 800 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 58mm f/1.4G
จัดกาาร Noise ได้เยี่ยม ปรับ ISO ได้สูงถึง 3,280,000 เลยทีเดียว
ด้วยระบบประมวลผลภาพรุ่นใหม่ EXPEED 5 ทำให้ Nikon D5 เป็นกล้อง Full frame ที่โดดเด่นในเรื่องการจัดการ Noise และข้อมูลจากหลายๆ แหล่งพิสูจน์ได้ตรงกันว่า ระบบจัดการ Noise ของ D5 นั้นพัฒนาขึ้นจาก D4s ขึ้นอีกระดับ ทำให้ตากล้องมีความมั่นใจที่มากขึ้นในการดันค่า ISO เมื่อต้องถ่ายในสภาพแสงน้อยโดยไม่ใช้ไฟแฟลช
โดย D5 สามารถปรับค่า ISO ได้อยู่ในช่วง 100-102,400 (D4s ปรับได้ในช่วง 100-25,600) และมีโหมด Low ISO ค่าความไวแสงต่ำเป็นพิเศษ ที่ปรับค่า ISO ได้ในช่วง 50-80 และในโหมด Hi ISO สามารถปรับค่าความไวแสงได้อยู่ในช่วง 128,000-3,280,000 (D4s ปรับได้สูงสุด 409,600) ซึ่งทาง Nikon แนะนำว่าโหมด Hi ISO ควรใช้เฉพาะในสถานการณ์พิเศษที่ต้องการชัตเตอร์สปีดสูงๆ หรือต้องการปรับหน้ากล้องแคบๆ เท่านั้นครับ
ในความคิดเห็นส่วนตัวกับการใช้ Nikon D5 ถ่ายในสภาพแสงน้อย ต้องบอกว่าระดับ ISO สูงสุดที่ให้คุณภาพภาพถ่ายที่ยอมรับได้ นั้นอยู่ที่ 102,400 ครับ ถ้าปรับสูงไปกว่านี้ เนื้อสีจะดูค่อนข้างหยาบ และถ้าปรับไปจนถึงเกือบระดับ 3,280,000 นี่จะเห็นเม็ดสีแดงๆ ขึ้นเต็มส่วนมืดของภาพ เราลองมาดูตัวอย่างภาพถ่ายที่เราทำ Noise Test กับ Nikon D5 กันครับ
ด้วยความที่ Nikon D5 เป็นกล้อง Full frame ระดับสุดยอด ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีแฟลชติดตั้งมาให้ในตัว บวกกับเราก็ไม่มีไฟแฟลชของ Nikon ทำให้เป็นโอกาสอันนี้ที่จะได้เอา Nikon D5 ไปออกงานถ่ายพริตตี้ตามงานอีเว้นท์ ต้องไปเจอกับสภาพแสงน้อย อาศัยดัน ISO สูงๆ ช่วยเอา ผลปรากฏว่าถ่ายน้องพริตตี้ออกมาแจ่มมากครับ ที่ระดับ ISO 2,000 ก็ยังถ่ายทอดสีผิวของนางแบบได้เนียนละเอียดดีมากๆ มิติภาพสมจริง และไม่เห็นเม็ดสีรบกวนในภาพ ภาพออกมาดีกว่า DSLR ระดับกลางอย่างชัดเจน เรามาดูตัวอย่างภาพถ่ายในวันนั้นกันครับ
Nikon D5 f4.5 1/160Sec. ISO 2000 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f4.5 1/160Sec. ISO 2000 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f6.3 1/200Sec. ISO 3200 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
ภาพนี้ Nikon D5 ถ่ายทอด Dynamic range ออกมาได้ดีเยี่ยมมากๆ เก็บรายละเอียดได้ดีทั้งในส่วนมืด และส่วนสว่างของภาพ ให้มิติภาพที่สมจริงเหมือนว่าเราเข้าไปยืนอยู่ในภาพเลยทีเดียว
Nikon D5 f6.3 1/200Sec. ISO 3200 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f6.3 1/100Sec. ISO 3200 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f4.5 1/200Sec. ISO 2000 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f4 1/160Sec. ISO 2000 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
และอีกเรื่องที่ถูกใจ Nikon D5 คือระบบ Auto White balance ทำงานได้เที่ยงตรงดีมากๆ กับในสภาพแสงยากๆ อย่างในงานอีเว้นท์ หรือแสงไฟในโรงแรม ที่กล้องระดับทั่วๆ ไปมักจะมีปัญหาติดสีอมเหลืองมาก แต่ D5 ให้สีที่เที่ยงตรงใกล้เคียงความเป็นจริง คืออาจจะมีเพี้ยนนิดๆ ในบางสภาพแสง แต่ก็สามารถนำมาปรับแต่งได้ไม่ยากครับ
คุณภาพของภาพถ่ายระดับสุดยอด
จากการได้ลองออกทริปถ่ายภาพกับ Nikon D5 บอกเลยว่ามันเป็นกล้องที่ให้ผลงานภาพถ่ายที่สมศักดิ์ศรีของความเป็นกล้อง Full frame ตัวท๊อป ถ่ายทอดมิติความลึกของภาพได้ดีเยี่ยม เนื้อสีเนียนละเอียด ต้องบอกว่ามันให้ภาพถ่ายที่สวยงามเหมือนตาเห็นกันเลยทีเดียว เป็นกล้องที่ให้ภาพถ่ายได้สวยที่สุดเท่าที่เคยทดสอบมา
วันที่ผมไปออกทริปถ่ายภาพแถวท่าช้าง พระบรมมหาราชวัง วัพพระแก้ว ต้องบอกว่าเป็นวันที่ไม่เหมาะกับการถ่ายภาพเอาซะเลย เพราะท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนใกล้จะตก หาแสงสวยๆ สำหรับการถ่ายภาพไม่เจอ ซึ่งถ้ากล้องไม่ดีจริง การถ่ายในสภาพแสงแบบนี้ภาพจะดูน่าเบื่อ โทนสีตุ่นทึมเทาไม่ค่อยสดใส แต่พอลองถ่ายด้วย Nikon D5 ต้องบอกว่าผลงานภาพถ่ายที่ได้ออกมาน่าประทับใจมากครับ สีสันและมิติภาพมาเต็มมาก ให้อารมณ์ภาพที่ดูสดใสใกล้เคียงกับการถ่ายในวันที่แดดดีๆ เลยทีเดียว
Nikon D5 f3.5 1/400Sec. ISO 200 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f4 1/640Sec. ISO 200 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f2.8 1/200Sec. ISO 200 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
ภาพนี้ถ่ายก่อนที่ฝนจะตกหนักเพียง 2 นาที ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่มีสภาพแสงสวยๆ สำหรับการถ่ายภาพเลย แต่ D5 ก็ยังทำให้ตากล้องได้ภาพที่ดูโอเคในสถานการณ์ยากๆ แบบนี้
Nikon D5 f7.1 1/160Sec. ISO 8000 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
พระนอนวัดโพธิ์ ภาพนี้ดัน ISO ถึงระดับ 8,000 แต่เนื้อสีของภาพยังคงเนียนละเอียด ไม่เห็นเม็ดสีรบกวน เก็บเนื้อสีทองขององค์พระได้สวยงามมากๆ
Nikon D5 f2.8 1/250Sec. ISO 4000 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f7.1 1/500Sec. ISO 200 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
Nikon D5 f5 1/320Sec. ISO 200 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
ผมจบทริปวันนั้นด้วยการเดินเก็บแสงสวยๆ ช่วงหัวค่ำที่สวนนาคาภิรมย์ และแถววัดพระแก้วครับ ผลงานก็ออกมาตามนี้
Nikon D5 f2.8 1/40Sec. ISO 8000 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR บนขาตั้งกล้อง
Nikon D5 f2.8 1/125Sec. ISO 4000 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR
ภาพนี้ลองเล่นกับการถ่ายตอนกลางคืนแบบไม่ใช้ขาตั้งกล้อง อาศัยการดัน ISO สูงๆ เอา ผลงานก็ออกมาดีเลยครับ เก็บบรรยากาศแสงได้สวยดี และที่ระดับ ISO 4,000 ไม่มี Noise มากวนใจ
Nikon D5 f18 6Sec. ISO 800 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR บนขาตั้งกล้อง
Nikon D5 f18 6Sec. ISO 800 เลนส์ Nikon AF-S NIKKOR 24-70mm f/2.8E ED VR บนขาตั้งกล้อง
ภาพถ่ายเส้นไฟ 2 ภาพสุดท้ายมีการเปิดใช้งานฟังก์ชั่นลดเม็ดสีรบกวนเมื่อเปิดหน้ากล้องนานๆ (Long exposure noise reduction) ซึ่งก็ช่วยลดเม็ดสีรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยครับ ทำให้ภาพถ่ายแบบ Long exposure ที่ดูสวยเนียนตาขึ้นเยอะ
ลองเล่นกับ Picture Control
ลูกเล่น Picture Control ของ Nikon ก็เป็นฟังก์ชั่นที่เบาแรงตากล้อง ด้วยการ Process ภาพให้มีโทนสีอิ่มเข้มสดใสได้แบบจบหลังกล้องเลย ไม่ต้องเอาภาพจำนวนมากมาตกแต่งเองด้วยโปรแกรม โดยค่า Picture Control ของ Nikon D5 มีให้เลือก 7 แบบ ได้แก่
เรามาดูตัวอย่างภาพที่ถ่ายด้วยค่า Picture Control รูปแบบต่างๆ กันครับ
สำหรับงานที่ต้องการถ่ายแบบง่ายๆ เร็วๆ ถ่ายแล้วเอาไปใช้เลย ไม่ต้องเอาไปปรับให้สีสดด้วยโปรแกรมตกแต่งภาพให้เสียเวลา ผมว่าการถ่ายด้วย Picture Control แบบ Vivid มาเลยก็ดูเหมาะสมดีครับ
RAW Processing
กับการภ่ายภาพในฟอร์เมตไฟล์ RAW เพื่อนำภาพมา Process ได้อย่างยืดหยุ่นในภายหลังนั้น Nikon D5 สามารถเลือกระดับคุณภาพไฟล์ RAW ได้หลายรูปแบบ ได้แก่
ซึ่งการ Process ไฟล์ RAW สามารถทำผ่านโปรแกรม Nikon Capture NX-D หรือโปรแกรม Camera Raw 9.5 และ Lightroom CC 2015.5 ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้ได้รับการอัพเดตให้รองรับการ Process ไฟล์ RAW จาก Nikon D5 ได้เรียบร้อยแล้ว
หน้าเมนูการ Process ไฟล์ RAW ในตัวกล้อง Nikon D5
และสำหรับตากล้องที่ไม่อยาก หรือไม่พร้อมกับการลงทุนทางด้านซอฟต์แวร์ ภายในตัวกล้อง D5 ก็มีฟังก์ชั่นการ Process ไฟล์ RAW ให้ออกมาเป็นไฟล์ JPG ซึ่งก็ใช้งานได้อย่างน่าพอใจ สามารถปรับค่า White balance , ค่าการชดเชยแสง , ค่า Picture Control , เปิดการทำงานฟังก์ชั่นลด Noise เมื่อใช้ ISO สูงๆ รวมถึงเปิดการทำงานของฟังก์ชั่น D-Lighting (เพิ่มความสว่างเมื่อถ่ายภาพย้อนแสง) ได้ตามต้องการ จากการลองใช้งานฟังก์ชั่น Process ไฟล์ RAW ที่มีอยู่ใน D5 ก็พบว่าสะดวกรวดเร็วดีครับ
ถ่ายวิดีโอ 4K แจ่มมาก
อีกหนึ่งจุดที่เป็นพัฒนาการสำคัญของ Nikon D5 คือ เป็นกล้อง Full frame ที่ถ่ายคลิปวิดีโอความละเอียดระดับ 4K ได้แล้ว (รุ่น D4s ถ่ายคลิปได้แค่ระดับ Full HD 1080p) ในช่วงของการทดสอบ เราพาเจ้า D5 ไปลองถ่ายคลิปในสภาพแสงหลายๆ แบบ ก็ต้องบอกว่าผลงานคลิปออกมาน่าประทับใจมากๆ ครับ โดยเฉพาะกับการถ่ายคลิปในสภาพแสงน้อยๆ อย่างในงานอีเว้นท์ ภาพก็ยังออกมาใสมากๆ และกับการถ่ายในสภาพแสงแบบ Outdoor นั้นให้คลิปที่คมชัดสว่างใสสวยงามหายห่วงครับ คุณภาพไฟล์ดีพอที่จะนำไปเข้ากระบวนการตัดต่อได้สบายๆ เลย
ลองชมตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของคลิปที่เราถ่ายมาด้วย Nikon D5 ครับ ซึ่งนี่เป็นการย่อขนาดจากไฟล์ 4K มาเป็นไฟล์ภาพเคลื่อนไหวแบบ GIF ที่มีขนาดเล็กพอที่จะโพสต์ลงเว็บได้ ซึ่งคุณภาพจะไม่ดีเท่าไฟล์วิดีโอต้นฉบับ ถ้าอยากชมตัวอย่างคลิปที่ถ่ายจาก D5 แบบเต็มๆ แนะนำว่าให้เปิดดูใน วิดีโอรีวิว ของกล้องตัวนี้เลยครับ
สรุปผลการรีวิว Nikon D5
ข้อดี
ข้อสังเกต
ด้วยราคาที่สูงกว่า D4s เพียงประมาณ 10,000 บาท (D5 ราคาประมาณ 219,000 และ D4s 207,000 บาท) ถ้าคุณเป็นตากล้องระดับมืออาชีพที่มีเงินมากพอ และชื่นชอบในกล้องค่าย Nikon ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะไม่ซื้อ D5 ซึ่งเป็นกล้อง DSLR ระดับ Full frame ที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ มันเป็นกล้องที่ราคาสูงอย่างสมเหตุสมผล และคุ้มค่าที่จะซื้อครับ
|
ไม่เสพติดไอที แต่ชอบเสพข่าวเทคโนโลยี หาความรู้ใหม่ๆ มาใส่สมอง |