หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผู้เล่นกล้อง มีความต้องการซื้อกล้องต่างๆ มากยิ่งขึ้นก็คือ โปรโมชั่นดีๆ จากงานมหกรรมกล้องนั้นเอง แถมในตอนนี้ BIG CAMERA ก็ได้จัดมหกรรม BIG CAMERA BIG PRO DAYS ครั้งที่ 10 ที่มีโปรโมชั่นดีๆ ภายในงาน ยิ่งทำให้เพื่อนๆ หลายคนอดใจไม่ไหวที่ไปสอยกล้องคู่ใจสักตัวแน่นอน
แต่ด้วยโปรโมชั่นที่แรงทะลุใจ จึงทำให้เพื่อนๆ หลายคนต่างก็มีปัญหาเดียวกันนั่นคือ จะเลือกซื้อตัวไหนดี? และจะยิ่งมีปัญหานี้มากดดันมากยิ่งถ้าหากใครที่ชื่นชอบกล้องมิลเลอร์เลส (Mirrorless) จากค่าย Fuji นั่นเพราะ ล่าสุด Fuji พึ่งจะเปิดตัวกล้องมิลเลอร์เลสตัวใหม่อย่าง Fujifilm X-A3 (ยังไม่มีวางขาย) พร้อมฟ้าที่เหมือนกลั่นแกล้งกัน ที่ดันจัดโปรโมชั่นลดราคา Fujifilm X-A2 แรงมาก!!
ฉะนั้นเพื่อป้องกันเพื่อนๆ เกิดความหนักใจในเรื่องการตัดสินใจซื้อ ระหว่าง Fujifilm X-A3 กับ Fujifilm X-A2 วันนี้ทางทีมงาน Thaiware ของเรา จึงอยากจะขอนำกล้องมิลเลอร์เลสทั้ง 2 จากค่าย Fuji มาเปรียบเทียบให้ดูถึงความคุ้มค่ากันตรงนี้เลย
Fujifilm X-A3
| Fujifilm X-A2
|
ก่อนจะเข้าสู่การพูดถึงระบบภายในของ Fujifilm X-A3 คงจะต้องขอพูดถึงรูปลักษณ์ภายนอกของมันก่อนเลย โดยรูปลักษณ์การออกแบบภายนอกของ Fujifilm X-A3 นั้น เรียกได้ว่ายังคงรูปแบบเดิมที่เป็นสไตล์ย้อนยุค (Retro) เช่นเดียวกันกับ Fuji X-A2 แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แตกต่างกัน นั่นคือ ปุ่มเปิด-ปิดแฟลช ที่ตัวกล้อง ซึ่งจากเดิมใน Fuji X-A2 จะออกแบบปุ่มเปิด-ปิดแฟลชอยู่ด้านหลังกล้อง แต่ใน Fuji X-A3 นั้น ผู้พัฒนาได้ย้ายปุ่มเปิด-ปิด มาไว้ด้านข้างเพื่อความสะดวกในการใช้งาน
นอกจากนี้ในด้านการออกแบบ Fuji X-A3 ไม่ได้เพียงแต่ย้ายปุ่มเปิด-ปิดแฟลช มาไว้ด้านข้างเท่านั้น แต่ Fuji ยังพัฒนาหน้าจอของ Fuji X-A3 ให้มีความล้ำสมัยกว่า Fuji X-A2 อีกด้วย โดย Fuji X-A3 นั้น สามารถพับหน้าจอได้มาก 180 องศา (จากเดิม 175 องศา) พร้อมกับหน้าจอ 3 นิ้ว และเป็นจอสัมผัส (Touch Screen) และหน้าจอยังมีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 1,040,000 จุด อีกด้วย
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องการถ่ายภาพ การไม่พูดถึงเรื่องเซ็นเซอร์ของ Fuji X-A3 คงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ฉะนั้นในเรื่องของเซ็นเซอร์นี้ Fuji X-A3 จะมาพร้อมกับความละเอียดที่เพิ่มมากขึ้นเป็น 24.2 ล้านพิกเซล จากเดิมที่ Fuji X-A2 มีความละเอียด 16.3 ล้านพิกเซล เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าจะมีความละเอียดมากกว่า แต่ยังคงใช้เซ็นเซอร์แบบเดิม คือ APS-C CMOS ธรรมดา ไม่ใช่ X-Trans CMOS (มีในรุ่นที่สูงขึ้น) ที่จะช่วยลดการเกิด Moire ที่ส่งผลให้ภาพมีลายเส้นคล้ายลายคลื่นอยู่บนภาพ
(ภาพตัวอย่างจากการทดลองใช้งานจริง)
เมื่อเรื่องของเซ็นเซอร์ผ่านพ้นไป ก็คงต้องขอพูดถึงเรื่อง ระบบโฟกัส กันบ้าง โดยในกล้อง Fuji X-A3 มาพร้อมระบบโฟกัส 77 จุด (Fuji X-A2 มีระบบโฟกัส 49 จุด) แต่ถึงอย่างนั้น Fuji X-A3 ก็ยังคงใช้ระบบแบบ Contrast Detection เหมือนเดิม ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างมากที่ทาง Fuji ไม่ได้ใส่แบบ Phase Detection มาให้
(ภาพตัวอย่างจากการทดลองใช้งานจริง)
ฟังก์ชั่นหน้า - เอาใจสาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพบุคคลกันหน่อย ด้วยฟังก์ชั่น Portrait Enhancer (โหมดที่จะทำให้หน้าเนียนขึ้น) ซึ่งเป็นจุดขายมาตั้งแต่ในรุ่น Fuji X-A2 โดยในรุ่น Fuji X-A3 นี้ ได้มีการพัฒนาออกมาให้สามารถปรับระดับการใช้งาน ได้มากขึ้นถึง 3 ระดับ เรียกได้ว่าถูกใจสาวๆ หรือ หนุ่มที่อยากดูดีแน่นอน
(PRO Neg Hi)
Film Simulation - รอบนี้ไม่เพียงแต่ ฟังก์ชั่น Portrait Enhancer ที่เพิ่มระดับมาให้ปรับมากถึง 3 ระดับแล้ว ทาง Fuji ยังเพิ่ม Film Simulation เข้ามาให้เลือกใช้กันมากถึง 11 แบบ (Fuji X-A2 มี 6 แบบ) นั่นคือ PRO Neg Hi, PRO Neg. Std, MONOCHROME+Ye FILTER, MONOCHROME+R FILTER, MONOCHROME+G FILTER
Smile Detection - Fuji ออกฟังก์ชั่นใหม่เพื่อเอาใจ หนุ่มๆ สาวๆ ที่ชื่นชอบการเซลฟี่โดยเฉพาะ ด้วยระบบ Self Detection ซึ่งในระบบนี้เป็นระบบเซลฟี่ที่เพียงแค่เพื่อนๆ "ยิ้ม" ระบบจะทำการถ่ายให้เราเองโดยอัตโนมัติทันที
Group Timer - และอีกฟังก์ชั่นเพิ่มมาใหม่ที่น่าสนใจก็คือ Group Timer โดยความสามารถของฟังก์ชั่นนี้ เรียกได้ว่า Fuji พัฒนาออกมาเพื่อ เอาใจใครก็ตามที่ชอบถ่ายรูปคู่ หรือ ถ่ายรูปเป็นกลุ่ม (สูงสุด 4 คน) นั่นเพราะเมื่อเพื่อนๆ เอาหน้าโผล่เข้าไปในหน้าจอ ระบบจะทำการถ่ายภาพให้เองเช่นกัน
แอปพลิเคชันรีโมท - นอกจากนี้ Fuji ยังพัฒนาฟังก์ชั่นใหม่ในตัว Fuji X-A3 เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้มีความความทันสมัยและน่าใช้อีกด้วย นั่นคือ เพื่อนๆ สามารถควบคุมการถ่ายภาพของ Fuji X-A3 ด้วยสมาร์ทโฟนให้เป็นรีโมทได้แล้ว ซึ่งในรุ่นของ Fuji X-A2 ยังไม่สามารถควบคุมการถ่ายภาพได้
จัดได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับต้นๆ เลยทีเดียวสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ นั่นเพราะ การออกไปถ่ายงาน หรือ ออกทริปถ่ายภาพกับแก๊งเพื่อน ข้างนอกนั้นค่อนข้างกินพลังงานแบตเตอรี่สูงมาก ฉะนั้นเมื่อ Fuji ได้เล็งเห็นจุดนั้น จึงได้ทำงานพัฒนาให้ Fuji X-A3 ชาร์ตแบตเตอรี่ผ่านช่อง USB ได้ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน กล่าวคือ ชาร์จผ่านแบตเตอรี่สำรองได้แล้วด้วย (Power Bank)
ถือได้ว่ากล้องมิลเลอร์เลสทั้ง 2 ตัวจากทางค่าย Fuji นั่นคือ Fuji X-A3 กับ Fuji X-A2 นั้น เป็นกล้องมิลเลอร์เลสที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพทั้งคู่ แต่ถ้าถามถึงว่าจะซื้อตัวไหนดี ระหว่าง Fuji X-A3 กับ Fuji X-A2 นั้น คงต้องบอกว่า สำหรับรุ่นใหม่อย่าง Fuji X-A3 นั้น ถ้าหากใครที่กำลังสนใจอยู่คงต้องบอกว่า เป็นกล้องมิลเลอร์เลสที่ถูกพัฒนามาเพื่อเอาใจ หนุ่มๆ สาวๆ ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีในการถ่ายภาพที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น อาทิ หน้าจอสัมผัส, ระบบโฟสกัส 77 จุด, การชาร์จแบตเตอรี่ผ่านช่อง USB และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมทั้ง แอปพลิเคชันรีโมทของ Fuji ที่ถ้าหากเป็น Fuji X-A2 จะไม่สามารถควบคุมการถ่ายภาพ ผ่านสมาร์ทโฟนได้
และในส่วนของ Fuji X-A2 นี้ แม้ว่าจะเป็นรุ่นที่เก่ากว่าก็จริง แต่เก๋ามาก เนื่องจากในตอนนี้ Fuji X-A2 มีโปรโมชั่นที่ลดอย่างบ้าเลือดอยู่ไม่น้อย โดยราคาอยู่ที่ 16,992 บาท ซึ่งประหยัดกว่า Fuji X-A3 มากถึง 7,000 กว่าๆ เลยทีเดียว ( Fuji X-A3 ราคา 23,990) ซึ่งหากใครที่งบที่จำกัด การเลือกซื้อ Fuji X-A2 มาใช้ แล้วนำเงินที่เหลือไปซื้อเลนส์เข้ามาใช้งานเพิ่มเติม ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉะนั้น ถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนกำลังคิดอยู่ว่าจะซื้ออะไรดี ก็ลองนำการวิเคราะห์จากบทความนี้ไปชั่งน้ำหนักดูว่าจะซื้อ Fuji X-A3 ในราคา 23,990 บาทที่มาพร้อมกับ ฟีเจอร์ใหม่ๆ หรือ จะซื้อ Fuji X-A2 แล้วนำเงินส่วนต่างไปซื้ออุปกรณ์เสริมดีกว่ากัน
|
หล่อ ใจดี มีตังให้ใช้ |