ทุกวันนี้ การซื้อขายออนไลน์เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเทศไทย มีเว็บไซต์ e-Commerce ขายของออนไลน์ ร้านค้าต่างๆ ที่เปิดบริการออนไลน์เป็นช่องทางเพิ่มเติม หรือร้านค้าในโซเชียลก็มีมากมาย ซึ่งแทบทั้งหมดก็ต้องใช้บริการส่งพัสดุ เพื่อส่งสินค้ากันแทบทั้งนั้น
ในสกู๊ปพิเศษนี้ ทางไทยแวร์จึงขอมาทำการสำรวจบริการส่งพัสดุไปรษณีย์ ทั้ง 3 บริหารรายใหญ่ในประเทศไทยให้ได้ชมกัน ซึ่งทั้ง 3 บริการก็ได้แก่ ไปรษณีย์ไทย, Kerry Express และ DHL จะเป็นอย่างไรบ้าง ไปติดตามชมกันได้เลย
ก่อนจะเข้าไปสำรวจบริการส่งพัสดุแบรนด์อื่น เรามาพบกับบริการส่งพัสดุคู่คนไทยที่อยู่กับเรามาหลายต่อหลายรุ่นอย่าง ไปรษณีย์ไทย ที่มีจุดให้บริการทั่วประเทศมากกว่า 1,000 สาขา กันก่อนดีกว่า ว่าในปัจจุบันนี้ไปรษณีย์ไทย มีพัฒนาการไปถึงขั้นไหนกันแล้ว
สถานที่ให้บริการ (สาขา/บรรยากาศ)
สาขาที่ทางเราได้ไปใช้บริการไปรษณีย์ไทย คือ สาขาบางซื่อ (ติดกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง) เป็นสาขาที่ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ จากพื้นที่เล็กๆ บรรจุคนที่ใช้บริการได้น้อย จนปัจจุบันมีพื้นที่ใหญ่กว่าเดิม ทันสมัยกว่าก่อนมาก รองรับผู้ใช้บริการในปริมาณมากได้อย่างสบายๆ
นอกจากนี้ การปรับปรุงใหม่ของ ไปรษณีย์ไทย สาขาบางซื่อ ทำให้มีพื้นที่สำหรับใช้งานไว้อย่างเป็นสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็น
และส่วนใครที่ต้องการหา บริการไปรษณีย์ไทยที่ใกล้บ้าน คุณสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Thailandpost > ค้นหาที่ทำการไปรษณีย์ > เลือกกรอกข้อมูล 1 ช่อง > ค้นหา เท่านี้คุณก็จะพบกับไปรษณีย์สาขาใกล้บ้านคุณ
ประเภทของการให้บริการและค่าบริการ
ประเภทของการให้บริการไปรษณีย์ไทย ที่ใช้บริการกันบ่อยๆ มีอยู่ 2 ประเภท นั่นคือ ไปรษณีย์แบบธรรมดา และไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนี้ มีบริการตามมาตรฐานการจัดส่งสิ่งของที่แตกต่างกันดังนี้
พื้นที่การนำจ่าย | ไปรษณีย์ธรรมดา | ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ |
พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมนฑล | ภายใน 1- 2 วัน | วันรุ่งขึ้นไม่เกิน 12.00 น. หรือ 16.30 น. |
พื้นที่กรุงเทพฯ-ภาคอื่น, ภาคอื่น-กรุงเทพฯ | ภายใน 3 – 4 วัน | วันรุ่งขึ้นไม่เกิน 16.30 น. |
พื้นที่ปลายทางภาคเดียวกัน | ภายใน 2 – 3 วัน | วันรุ่งขึ้นไม่เกิน 16.30 น. |
พื้นที่ปลายทางอื่นๆ | ภายใน 3 – 5 วัน | ภายใน 2 - 3 วัน ไม่เกิน 16.30 น. |
** หมายเหตุ : ระบุเงื่อนไขเวลาฝากส่งนับจากวันที่รับฝาก
จะสังเกตได้ว่า บริการ การส่งไปรษณีย์ทั้ง 2 ประเภท มีความเร็วในการจัดส่งสิ่งของที่แตกต่างกัน โดย การส่งไปรษณีย์ธรรมดา จะส่งไปถึงปลายทางช้ากว่า การส่งไปรษณีย์ด่วนพิเศษ ทั้งนี้สิ่งที่แตกต่างกันยังรวมไปถึงค่าบริการที่แตกต่างกันด้วย โดย
การให้บริการ
บริการของไปรษณีย์ไทย คุณสามารถนำของที่ต้องการส่งพัสดุมาที่เคาน์เตอร์บริการของ ไปรษณีย์ ได้เลย (ไปรษณีย์ไทยบางสาขาจะมีช่องพิเศษส่งไม่เกิน 2 ชิ้น) ทางเจ้าหน้าที่จะขอบัตรประชาชนของคุณเพื่อกรอกข้อมูลของผู้ส่ง, ชั่งน้ำหนักของพัสดุ, เลือกประเภทที่ต้องการส่ง ไปรษณีย์ธรรมดา หรือ ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ และท้ายที่สุดคือจ่ายเงินตามประเภทการส่งที่คุณเลือก
และเมื่อจ่ายเงินค่าบริการเรียบร้อยแล้ว คุณจะได้รับใบเสร็จมา ซึ่งภายในใบเสร็จจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับการส่งพัสดุบอก ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก, ค่าบริการ และที่สำคัญที่สุดคือ รหัสพัสดุ ที่มีไว้ให้คุณตรวจสอบว่าปัจจุบันพัสดุของคุณถึงไหนแล้วนั่นเอง โดยคุณสามารถติดตามพัสดุของคุณผ่านเว็บไซต์ thailandpost
**สำหรับการปิดรอบส่งของนะครับ มี 2 รอบต่อวัน คือรอบเที่ยงวัน และรอบก่อนปิดให้บริการ
หลังจากจบไปแล้วกับบริการส่งพัสดุไปรษณีย์ คราวนี้ก็มาถึงคิวของ บริการส่งพัสดุ Kerry Express กันบ้างแล้ว โดยในปัจจุบัน Kerry Express มีสาขาให้บริการมากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศไทย มีจุดเด่นในด้านการบริการที่รวดเร็ว และฉับไว เป็นอย่างมาก จึงขอมาลองใช้บริการกันหน่อย
สถานที่ให้บริการ (สาขา/บรรยากาศ)
บริการ Kerry Express ที่เลือกใช้คือ สาขาบางใหญ่ (อยู่ก่อนถึงตลาดบางใหญ่ ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีม่วง) หน้าร้านเป็นกระจกสีดำ มีป้ายบอกเวลาเปิดบริการ (เปิดตั้งแต่ 9.00 น. - 19.00 น.) และ ราคาเริ่มต้น 35 บาท สำหรับส่งของทั่วประเทศไทย
ภายในร้านมีพื้นที่ไม่มากนัก มีเก้าอี้ให้ผู้ใช้บริการนั่งเล็กน้อย ทางด้านซ้ายจะมีเคาน์เตอร์เล็กๆ สำหรับบริการจำนวน 2 เคาน์เตอร์ หลังเคาน์เตอร์จะมีกล่องพัสดุขนาดต่างๆ พร้อมจำหน่ายสำหรับผู้ที่ไม่ได้เตรียมมาตั้งแต่ที่บ้าน เดินตรงเข้าไปจะมีโต๊ะทางยาว สำหรับห่อพัสดุ กรอกรายละเอียดที่อยู่ และมีพนักงานคอยช่วยเหลือในการห่อพัสดุอีกด้วย
นอกจากนี้ แม้ว่าภายในร้านจะไม่ได้มีพื้นที่ สำหรับผู้ใช้บริการจำนวนมากนัก แต่ยังคงความมีระเบียบในการให้บริการด้วยตู้คิว ซึ่งเมื่อคุณใช้บริการทุกครั้งแม้ว่าจะไม่มีคน ทางพนักงานก็จะให้กดตู้คิวทุกครั้ง
ประเภทของการให้บริการและค่าบริการ
Kerry Express มีบริการส่งรูปแบบเดียว ไม่มีการส่งลงทะเบียน ส่งด่วนเหมือนทางไปรษณีย์ไทย ซึ่งจากการได้ลองใช้บริการส่งของในประเทศไทยนั้น ค่าบริการเริ่มต้นจะอยู่ที่ 35 บาททั่วประเทศไทย ซึ่งราคาเริ่มต้นของ Kerry Express ดูเหมือนจะเทียบเท่ากับ การส่งด่วนของไปรษณีย์ไทย
นอกจากนี้ คุณสามารถตรวจสอบบริการของ Kerry Express ที่อยู่ใกล้บ้านคุณได้ผ่านเว็บไซต์ Kerry Express ได้เลย ซึ่งมันจะตรวจสอบจากพื้นที่ที่เราอยู่โดยอัตโนมัติ พร้อมกับหาสาขาที่ใกล้ที่สุดให้คุณทันที
การให้บริการ
การให้บริการของ Kerry Express จะมีกล่องพัสดุให้เลือกคล้ายกับไปรษณีย์ ซึ่งราคาจะแพงขึ้นตามขนาด โดยผู้ใช้บริการ สามารถนำของที่ต้องการส่งพัสดุมาที่เคาน์เตอร์บริการของ Kerry Express ได้ทันที เช่นเดียวกับไปรษณีย์ไทย ซึ่งเมื่อคุณไปที่เคาน์เตอร์ พนักงานจะขอบัตรประชาชนของผู้ส่ง พร้อมทั้งชั่งน้ำหนักและกรอกข้อมูลของ ผู้ส่ง และปลายทาง ให้เราได้ตรวจดูรายละเอียดผ่าน หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์
และเมื่อคุณชำระเงินเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเข้าไปตรวจสอบการเคลื่อนไหวพัสดุของคุณได้ผ่านเว็บไซต์ Kerry Express เช่นกัน แต่อาจจะไม่ต้องห่วงเรื่องของส่งถึงช้าเพราะทาง Kerry Express บอกว่า ส่งวันนี้ ถึง พรุ่งนี้แน่นอน ซึ่งจากการทดลองใช้แล้ว ถือว่าส่งถึงเร็วมากจริงๆ
**Kerry Express ปิดรอบก่อน 15.00 น. ของทุกวัน
มาต่อกันที่ DHL บ้าง บริการขนส่งสีเหลือง โลโก้สีแดงเด่นเป็นสง่า แบรนด์ระดับโลก ซึ่งในประเทศไทยก็มีจุดให้ใช้บริการกว่า 100 สาขา ซึ่งอาจไม่มากเท่า 2 บริการข้างต้น แต่ก็ยังเป็นอีกบริการหนึ่ง ที่น่าไปลองใช้บริการอยู่เหมือนกัน
สถานที่ให้บริการ (สาขา/บรรยากาศ)
ทางทีมงานได้ไปใช้บริการกับทาง DHL Thailand สาขา ดิโอลด์ สยาม พลาซ่า ซึ่งเป็นสาขาแห่งที่ 100 ของทาง DHL พอดี ซึ่งได้เปิดสาขานี้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2016 สถานที่ตั้งของ DHL จะอยู่ด้านนอกของห้างดิโอลด์ สยาม พลาซ่า ทางฝั่งตลาดพาหุรัด ตรงข้ามกับร้านอุปกรณ์กีฬาไนติงเกลพอดี (ร้านที่ปาล์มมี่ถ่าย MV เพลง คิดมาก)
หน้าร้านเป็นกระจกดำ มีป้ายบอกเวลาเปิดบริการ ซึ่ง DHL สาขานี้ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 19.00 น.
ภายในร้านมีพื้นที่ไม่มาก ตรงกลางเป็นตู้สำหรับเก็บของต่างๆ พร้อมป้ายข้อมูลเกี่ยวกับบริการของทางร้าน ด้านขวาจะมีเคาน์เตอร์เล็กๆ สำหรับบริการจำนวน 1 เคาน์เตอร์ พื้นที่หน้าเคาน์เตอร์มีไม่มากนัก ต้องกลับมากรอกข้อมูลบริเวณตรงกลางของร้านจะสะดวกกว่า ส่วนด้านซ้ายจะเป็นอุปกรณ์และกล่องพัสดุต่างๆ ของทางร้าน
ส่วนใครที่ต้องการจะหา บริการ DHL ใกล้บ้าน ก็สามารถเข้าไปค้นหากันได้ที่ locator.dhl.com กรอกที่อยู่แล้วกด Search ก็จะพบสถานที่ให้บริการต่างๆ ของทาง DHL ในรูปแบบแผนที่ให้ได้ดูกัน
เหมือนตอนที่กำลังเขียนบทความ หน้าภาษาไทยของบริการนี้ จะมีปัญหาเล็กน้อย (ตัวอักษรไม่ปรากฏ) ซึ่งสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ภาษาอังกฤษครับ
ประเภทของการให้บริการและค่าบริการ
บริการของทาง DHL จะมีบริการส่งรูปแบบเดียว ไม่มีการส่งลงทะเบียน ส่งด่วนเหมือนทางไปรษณีย์ไทย ซึ่งจากการได้ลองใช้บริการส่งของในประเทศไทยนั้น ค่าบริการเริ่มต้นจะอยู่ที่ 315 บาทต่อน้ำหนักไม่เกิน 3 กิโลกรัม และยังไม่รวมค่าธรรมเนียมน้ำมันเชื้อเพลิงทางบก ซึ่งแค่ราคาเริ่มต้นก็มากกว่าทั้งไปรษณีย์ไทยและ Kerry Express ถึง 10 เท่าแล้ว ดูเผินๆ แล้วก็คงเป็นตัวเลือกรองจากทั้ง 2 บริการข้างต้น สำหรับการส่งพัสดุในประเทศทั่วไป
เมื่อการขนส่งในประเทศดูไม่ใช่เป้าหมายหลัก ก็ลองมาดูการขนส่งระหว่างประเทศกันบ้าง ซึ่งค่าบริการขนส่งระหว่างประเทศของทาง DHL เริ่มต้นที่ 700 บาท โดยราคาและน้ำหนักจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของสินค้า (แบ่งตามขนาดของกล่องพัสดุ) และจุดหมายทาง ซึ่งทาง DHL ได้แบ่งออกเป็น 4 โซนให้บริการด้วยกัน และจุดนี้แหละ ที่เป็นบริการหลักของทาง DHL ที่คนไทยนิยมใช้บริการที่สุด
การให้บริการ
บริการของ DHL จะมีกล่องพัสดุให้บริการ 8 รูปแบบ โดยผู้ใช้บริการ สามารถนำของที่ต้องการส่งพัสดุมาที่เคาน์เตอร์บริการของ DHL ได้ทันทีไม่ต้องแพ็คล่วงหน้า ทางเจ้าหน้าที่ จะบริการแพ็คของให้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
แต่ถ้าใครแพ็คสินค้ามาก่อน ทางเจ้าหน้าที่จะขออนุญาตตรวจสอบก่อนรับส่งอีกด้วย เนื่องจากทาง DHL ได้มีข้อจำกัดของสินค้าในการรับบริการอีกด้วย โดยสินค้าที่ทาง DHL ไม่รับส่ง ได้แก่ เงินสด, สัตว์และพืช, อาหารสด, อาวุธทุกชนิด, ทองแท่ง, ยาเสพติด, อัญมณีที่ยังไม่ได้แปรรูปเป็นเครื่องประดับ, สินค้าอันตรายหรือที่ติดไฟได้ง่าย, วัตถุอนาจาร, ของลอกเลียนแบบหรือของปลอมทุกชนิด และสิ่งที่ต้องห้ามตามระเบียบของประเทศต่างๆ
ส่วนรอบการปิดถุงของทาง DHL เพื่อส่งต่อสินค้าไปยังกระบวนการส่งของนั้น ทางสาขาที่ไปรับบริการ จะอยู่ในช่วง 14.30 น. ของทุกวัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้บอกว่า เวลาของในแต่ละสาขาจะแตกต่างกันไป และเวลาในการขนส่งสินค้าภายในประเทศจะอยู่ที่ 1-2 วัน
ทางเราได้ทำการทดสอบบริการทั้ง 3 ผู้ให้บริการ โดยการส่งสินค้า ก็คือ แก้วเซรามิก ที่มีความเสี่ยงในการแตกระหว่างการขนส่ง ทางเราได้ทำการแพ็คสินค้าทั้ง 4 กล่องในลักษณะเดียวกัน ทั้งกล่องและแผ่นกันกระแทก เพื่อทดสอบการขนส่งของบริการทั้ง 3 โดยแบ่งออกเป็น การส่งทางไปรษณีย์ไทยด้วยบริการลงทะเบียนและ EMS, การส่งด้วยบริการ Kerry Express และ DHL
ซึ่งผลจะเป็นยังไงบ้างนั้น ไปรับชมผ่านคลิปสกู๊ปพิเศษนี้กันได้เลย
บริการจาก ไปรษณีย์ไทย เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม สำหรับการขนส่งภายในประเทศมาก เนื่องจากรูปแบบการส่งที่มีให้เลือก 2 ประเภท ทั้งการส่งแบบไปรษณีย์ธรรมดา และ การส่งแบบไปรษณีย์ด่วนพิเศษ ซึ่งราคาค่าบริการของการส่งทั้ง 2 ประเภทนั้น เรียกได้ว่าสมเหตุสมผล ไม่แพงจนเกินไป ทั้งยังมีมากกว่า 1000 สาขาทั่วประเทศให้เลือกใช้บริการ
นอกจากนี้ในด้านสถานที่ เนื่องจากไปรษณีย์ไทย มีพัฒนาที่ดีมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริการที่รวดเร็ว และสถานที่ที่กว้างขวางมากพอที่จะรองรับผู้ใช้บริการจำนวนมาก ทำให้ไปรษณีย์ไทย ยังคงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของคนไทยอยู่นั่นเอง
บริการจาก Kerry Express นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าคบหาไม่น้อย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขนส่งที่รวดเร็วฉับไว ทั้งยังมีราคาค่าบริการที่ใกล้เคียงกับไปรษณีย์ไทย โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 35 บาท ทั่วประเทศ ส่วนด้านสถานที่ ค่อนข้างคับแคบ มีจุดให้พักรอเล็กน้อย ซึ่งในบางเวลาอาจไม่เพียงพอต่อผู้เข้าใช้บริการ และจุดให้บริการจะหายากหน่อย เนื่องจากมีปริมาณน้อยกว่าไปรษณีย์ไทย
บริการจาก DHL คงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมเท่าไหร่ สำหรับการขนส่งภายในประเทศแบบทั่วไป เนื่องจากราคาค่าบริการที่ค่อนข้างสูง แต่มีความน่าสนใจ หากต้องการรับ-ส่งสินค้าระหว่างประเทศ และด้านการบริการตรวจเช็คสินค้าและการแพ็คสินค้าให้ มีมาตรฐานในการบริการสูง ส่วนด้านสถานที่ ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างคับแคบ ไม่มีจุดพักรอ แต่จำนวนความถี่ของผู้ใช้บริการก็คงไม่มากเท่า อีก 2 ผู้ให้บริการ จึงไม่เป็นปัญหาด้านสถานที่เท่าไรนัก
|
... |
ความคิดเห็นที่ 1
18 มีนาคม 2560 22:11:02
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
GUEST |
พิมพ์นารา
ขอให้มีการทดลองเปรียบเทียบการส่งระหว่างประเทศ ด้วยค่ะปณ. DHL FedEx TNT UPS ฯลฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||