รีวิว Canon EOS M6 มิลเลอร์เลสระดับจริงจัง กะทัดรัดเบาสบาย ได้ภาพสวย

Canon EOS M6 กล้องมิลเลอร์เลสระดับจริงจัง ที่เป็นภาคต่อจากรุ่น EOS M5 ที่ออกวางจำหน่ายไปเมื่อปีที่แล้ว กลับมาคราวนี้ Canon คงอยากเอาใจตลาดกล้องมิลเลอร์เลสที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความกะทัดรัดของตัวกล้อง ด้วยการจับเอาเจ้า M5 มาหั่นช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EVF ออกไป และปรับวางตำแหน่งปุ่มควบคุมเสียใหม่ ปรับขนาดจอให้เล็กลงนิดนึง ทำให้รุ่น M6 มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาว่าเก่า M5 อยู่พอควร (EOS M5 [119x89x61 มม. หนัก 427 กรัม] EOS M6 [112x68x44.5 มม. หนัก 343 กรัม]) ทำให้ M6 น่าจะถูกจริตสาวกกล้องมิลเลอร์เลส ที่ให้ความสำคัญกับขนาดกล้องที่เล็กและเบา รวมถึงน่าจะถูกใจตากล้องมืออาชีพ ที่อยากจะได้กล้องตัวสำรองไว้ใช้งานเผื่อกล้องหลักขัดข้อง จะได้ไม่ต้องแบก DSLR ไปออกงานถึง 2 ตัว

มาว่ากันถึงเรื่อง ตำแหน่งทางการตลาดของ เจ้า EOS M6 กันบ้าง จากการที่เราได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของทาง Canon เขาบอกว่าวางตำแหน่ง M6 ไว้เทียบเท่ากล้อง DSLR ฟูลเฟรมระดับกึ่งมืออาชีพอย่าง 5D Mark III นั่นเลยทีเดียว แต่เมื่อดูจากระดับราคาของเจ้า M6 ที่ใกล้เคียงกับกล้อง DSLR ค่ายเดียวกัน อย่างรุ่น EOS 70D ก็ต้องบอกว่า EOS M6 ดูมีแต้มต่อที่ดีกว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าอย่างหน่วยประมวลผล DIGIC 7 ที่จัดการกับ Noise ได้ดีกว่าหน่วยประมวลผลรุ่น DIGIC 5+ ที่อยู่ในรุ่น 70D ทำให้ M6 เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า สำหรับกล้องที่ราคาเฉพาะบอดี้เปล่าไม่เกิน 30,000 บาทครับ

คุณสมบัติของกล้อง CANON EOS M6

• ประเภทกล้อง Semi-Pro Mirrorless
• หน่วยประมวลผลภาพ DIGIC 7
• ความละเอียดภาพ 24.2 ล้านพิกเซล
• ชนิดของเซ็นเซอร์ CMOS
• ขนาดของเซ็นเซอร์ APS-C (22.3 x 14.9 มิลลิเมตร)
• การตั้งค่า ISO รองรับทั้งแบบ Auto หรือปรับเองในช่วง  100 - 25,600
• เลนส์เม้าท์ Canon EF-M
• ตัวคูณระยะเลนส์ 1.6X
• แฟลชหัวกล้อง Guide Number 5m ที่ ISO 100
• รองรับแฟลชเสริมตระกูล Speedlite ระบบวัดแสงแบบ E-TTL II
• ขนาดจอ LCD 3 นิ้ว ความละเอียด 1,040,000 จุด รองรับระบบสัมผัส
• ชัตเตอร์สปีด 1/4000 - 30 วินาที (รองรับ Shutter Bulb)
• รูปแบบไฟล์วิดีโอ MP4 (H.264)
• รองรับการ์ดความจำ SD/SDHC/SDXC (รองรับการใช้งานกับการ์ดความเร็วสูง UHS-I)
• เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน Wi-Fi/NFC/Bluetooth
• แบตเตอรี่รองรับการถ่ายภาพนิ่ง 295 ภาพ ต่อรอบการชาร์จ
• แบตเตอรี่รองรับการถ่ายวิดีโอ 85 นาที ต่อรอบการชาร์จ
• น้ำหนักกล้อง รวมแบตเตอรี่ และการ์ดหน่วยความจำ 390 กรัม
• ขนาดตัวกล้อง 112x68x44.5 มิลลิเมตร

(ข้อมูลจาก https://www.usa.canon.com/internet/portal/us/home/products/details/cameras/eos-m-series-digital-cameras/eos-m6-ef-m-15-45mm-is-stm-kit)

ระบบเลนส์ที่น่าสนใจ หยิบเลนส์ DSLR มาใช้ได้เลยผ่านอะแดปเตอร์ EF-EOS M

ความน่าสนใจของมิลเลอร์เลสตระกูล EOS M คือ เราหยิบเลนส์ของกล้อง DSLR ที่เป็นเม้าท์แบบ EF หรือ EF-S มาใช้งานกับกล้องตระกูล EOS M ได้เลย โดยเชื่อมต่อเลนส์เข้ากับกล้อง ผ่านตัวอะแดปเตอร์ EF-EOS M ที่มีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทเท่านั้น โดยที่เลนส์แบบ EF หรือ EF-S สามารถทำงานได้เต็มฟังก์ชั่นบน EOS M6 ไม่ว่าจะเป็นการปรับค่า F ผ่านตัวกล้อง ระบบออโต้โฟกัสยังคงใช้งานได้ รวมถึงระบบกันสั่น IS ของชิ้นเลนส์ยังคงทำงานได้ด้วย และเลนส์สามารถส่งกลับค่า EXIF กลับมายังตัวกล้องได้ด้วย ทำให้ค่าทางยาวโฟกัสสามารถบันทึกไปพร้อมกับไฟล์ภาพได้สมบูรณ์แบบ

ทำให้ EOS M6 เหมาะมากที่จะเป็นกล้องสำรอง สำหรับตากล้องมืออาชีพที่ใช้ DSLR ของค่าย Canon ไม่ต้องพก DSLR ขนาดใหญ่ 2 ตัวไปออกงานอีกต่อไป หรือตากล้องมือสมัครเล่นที่เป็นสาวกค่าย Canon ที่กำลังอยากจะย้ายจาก DSLR มาเล่นมิลเลอร์เลส EOS M6 ก็ตอบโจทย์ได้ดีด้วยขนาดกล้องที่เล็กกว่า เบากว่า ไฟล์ภาพสวย และไม่ต้องขายเลนส์ทิ้ง แค่ซื้ออะแดปเตอร์  EF-EOS M ก็สามารถนำเลนส์ทั้งหมดมาใช้กับ M6 ได้เลย

กล้อง EOS M6 ที่เราได้รับมารีวิว มาพร้อมกับเลนส์คิท EF-M 15-45mm IS STM ซึ่งเป็นเลนส์แบบคอมแพค ที่มีข้อดีตรงที่รูปทรงสั้นกว่าเลนส์คิทของมิลเลอร์เลสแบรนด์อื่น แต่สำหรับคนที่ไม่เคยใช้เลนส์แบบคอมแพคมาก่อน ก็มีเรื่องให้ต้องปรับตัว คือ ก่อนที่จะเริ่มถ่าย เราจะต้องดันสลักล็อกที่ตัวเลนส์ และหมุนให้กระบอกเลนส์ยื่นออกมาซะก่อน ถึงจะเริ่มถ่ายได้ และเมื่อเลิกถ่ายก็ต้องดันสลักล็อก และหมุนให้กระบอกเลนส์หดกลับเข้าไป ซึ่งต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคย

และโดยส่วนตัว ผมใช้เทคนิค แขวนกล้องไว้กับคอโดยไม่ต้องหมุนล็อกเลนส์ และเมื่อต้องการถ่าย ก็เปิดสวิตซ์กล้อง เปิดฝาเลนส์แล้วเริ่มต้นบันทึกภาพได้เลย ทำให้เริ่มการถ่ายภาพได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาหมุนปลดล็อกเลนส์ ก็เป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการเริ่มต้นถ่ายภาพแรกได้เป็นอย่างดีครับ และจะหมุนปิดล็อกเลนส์เมื่อจะเก็บกล้องเข้ากระเป๋าเท่านั้น ซึ่งระบบล็อกเลนส์นอกจากจะช่วยให้เลนส์มีขนาดกะทัดรัดลง จัดเก็บได้ง่ายแล้ว ก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้เลนส์หัก ในกรณีที่อาจมีอะไรมากระแทกตอนที่มันอยู่ในกระเป๋าครับ

ใช้งานสะดวกด้วยมือเดียว

ทาง Canon เขาเคลมมาว่า EOS M6 เป็นกล้องที่ออกแบบมาให้เหมาะกับการจับถือใช้งานด้วยมือเดียว ทำให้ถ่ายภาพในขณะที่มือข้างหนึ่งเกาะเสา หรือโหนราวรถเมล์ได้แบบชิลๆ กันเลย โดยมีการขยายกริปมือจับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่น EOS M3 มีลูกบิด และปุ่มควบคุมจำนวนมากที่วางตำแหน่งให้นิ้วชี้ และนิ้วโป้งมือขวาเข้าถึงได้ง่าย ตามแบบฉบับของกล้องระดับมืออาชีพ

จากการลองใช้งานจริง ต้องบอกว่ามีความเหมาะสมในการจับใช้งานด้วยมือข้างเดียวอยู่ไม่น้อยครับ กล้องมาพร้อมกับเลนส์คิทที่นำหนักเบา ทำให้กล้องยังคงมีความสมดุลเมื่อจับถือ หรือเล็งถ่ายด้วยมือขวาเพียงข้างเดียว (แต่ในจังหวะที่ต้องปรับช่วงซูมเลนส์ ก็ต้องใช้มือซ้ายมาช่วยแบบหลีกเลี่ยงไม้ได้) และถ้ามีการใส่อะแดปเตอร์แล้วเอาเลนส์ตัวโตๆ ของกล้อง DSLR มาใส่ ก็ต้องเอามือซ้ายมาช่วยประคองกล้องอย่างแน่นอน

โดยบนไหล่ขวาของตัวกล้อง เป็นศูนย์รวมของปุ่มหมุนปรับตั้งค่าการถ่ายถึง 3 ตัว ที่ช่วยให้ปรับตั้งค่าการถ่ายได้รวดเร็วตามสไตล์กล้องโปร ได้แก่ปุ่มหมุนปรับค่าชัตเตอร์สปีด [หมายเลข 1] , ปุ่มหมุนปรับค่าการชดเชยแสง [หมายเลข 2] และปุ่มหมุนปรับตั้งค่า f หรือใช้ปรับตั้งค่า ISO ในโหมดการถ่าย Av และ Tv [หมายเลข 3] แต่ก็มีจุดที่ต้องติคือ ปุ่มหมุนปรับค่าการชดเชยแสง นั้นมีน้ำหนักการหมุนที่ค่อนข้างแข็ง ทำให้ต้องใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้มาช่วยกันบิด ถึงจะทำให้หมุนปุ่มชดเชยแสงได้อย่างนุ่มนวล

และอีกจุดที่ขอติคือ อาจจะด้วยขนาดตัวกล้องเล็กกะทัดรัด ทำให้ต้องนำปุ่มหมุนปรับค่า f มาซ้อนอยู่ใต้ปุ่มหมุนชดเชยแสง (ซึ่งถ้าเป็นการถ่ายโหมด AV หรือ TV ปุ่มปรับค่า f จะเปลี่ยนไปใช้ปรับค่า ISO) ซึ่งตัวผมเองชอบถ่ายภาพในโหมด AV และพบว่าในบางครั้งจะหมุนปุ่มปรับค่าชดเชยแสงที่อยู่ทางด้านบน แต่ว่านิ้วดันพลาดไปหมุนปุ่มปรับค่า ISO ที่อยู่ด้านล่างด้วย ทำให้เป็นการปรับค่า ISO ไปที่ระดับสูงๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ภาพถ่ายใบนั้นเสียไปเลย ต้องเสียเวลาถ่ายใหม่อีกรอบ ทางออกคือต้องใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้น เมื่อจะหมุนปุ่มปรับชดเชยแสง หรือจะใช้วิธีการเข้าเมนูปรับตั้งค่า (Custom Controls) เพื่อปิดการทำงานของปุ่มหมุนอันล่างในโหมดการถ่ายแบบ AV และ TV ก็ช่วยแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดีครับ

ปุ่ม M-Fn และหน้าเมนู Custom Controls ที่ใช้ปรับแต่งฟังก์ชั่นของปุ่มต่างๆ บนตัวกล้อง

พูดถึงเรื่องที่ขอติไปแล้ว มาพูดถึงเรื่องที่ต้องขอชมกันบ้าง ต้องบอกว่าถึงแม้ EOS M6 จะเป็นกล้องมิลเลอร์เลสตัวเล็กๆ เบาๆ แต่ก็สวมหัวใจกล้องโปร เพราะนอกจากจะมีปุ่ม M-Fn เป็นปุ่มสารพัดประโยชน์ ที่เราสามารถปรับตั้งฟังก์ชั่นให้มันได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นการกดเพื่อเข้าถึงการปรับตั้งค่า White balance, Picture style (ใส่ฟิลเตอร์ปรับโทนสีภาพ) หรือใช้เพื่อปรับ Drive mode (ถ่ายภาพเดียว, ถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่อง) แล้ว ปุ่มกดอื่นๆ ที่อยู่บนตัวกล้อง ก็สามารถปรับตั้งฟังก์ชั่นใหม่ให้มันได้ตามต้องการเลย ตัวอย่างเช่น ผมชอบที่จะปรับตั้งปุ่มถังขยะ (ซึ่งปุ่มนี้ไม่มีหน้าที่อะไรในขณะที่ทำการถ่ายภาพ) ให้เป็นปุ่มสำหรับการเซ็ต Drive mode และปรับตั้งปุ่ม M-Fn ให้เป็นปุ่มสำหรับเซ็ตค่า White balance ก็ช่วยทำให้ปรับตั้งค่าการถ่ายได้เร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเข้าเมนูกล้องที่ซับซ้อน

มาดูรายละเอียดทางด้านหน้า ด้านหลัง และด้านบนตัวกล้องกัน

โฟกัสเร็วด้วยระบบ Dual Pixel CMOS AF

อีกหนึ่งความเหนือชั้นที่น่าสนใจของ EOS M6 เมื่อเทียบกับรุ่นเล็กที่ออกมาก่อนอย่าง EOS M3 คือการเปลี่ยนมาใช้ระบบออโต้โฟกัสแบบ Dual Pixel ทำให้ลบข้อครหาที่ว่ากล้องมิลเลอร์เลสของ Canon นั้นหาโฟกัสช้าไปได้โดยสิ้นเชิง และจากที่ได้ลองใช้งาน EOS M6 ต้องบอกว่าในสภาพแสงตอนกลางวันนี่หาโฟกัสได้รวดเร็วทันใจดีมาก กดชัตเตอร์ลงครึ่งทางแล้วโฟกัสมาทันทีแบบไม่ต้องรอเลย

แต่สำหรับการถ่ายภาพตอนกลางคืน หรือการถ่ายในสภาพแสงน้อย ด้วยความที่กล้องที่เราได้รับมาทดสอบ จับคู่กับเลนส์คิท ทำให้มีความเร็วการโฟกัสในสภาพแสงน้อยที่ไม่ดีนัก กล้องมีการยิงไฟช่วยหาโฟกัสสีแดงไปยังวัตถุที่ต้องการถ่าย (AF Assist Beam) และกล้องต้องใช้เวลาสักอึดใจในการหาโฟกัส ซึ่งก็ไม่ได้ออกอาการช้าจนน่ารำคาญ หรือโฟกัสวืดวาดจนน่าเบื่อแต่อย่างใดครับ ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีแล้วสำหรับเลนส์คิท และถ้ามีการเปลี่ยนไปใช้เลนส์เกรดโปร ความเร็วของการหาโฟกัสในสภาพแสงน้อยต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

และอีกหนึ่งเทคโนโลยีการหาโฟกัสที่น่าสนใจของ Canon EOS M6 คือนอกจากสามารถตาม Tracking โฟกัสวัตถุที่เคลื่อนไหวผ่านเฟรมภาพในแนวซ้ายขวาได้แล้ว ก็ยังสามารถ Tracking โฟกัสวัตถุที่เคลื่อนที่เข้าหา หรือเคลื่อนถอยห่างออกจากกล้องได้ด้วย บวกกับการที่กล้องสามารถถ่ายภาพนิ่งต่อเนื่องแบบความเร็วสูงได้ 7 ภาพต่อวินาที (High-speed Continuous Shooting) ทำให้ตอบโจทย์ตากล้องสายช่างภาพกีฬา ที่ต้องการจับภาพในจังหวะที่นักวิ่ง หรือรถแข่งกำลังวิ่งเข้าหากล้อง ได้ค่อนข้างจะดีเลย (แต่ระวังรถแข่งจะวิ่งใส่ตากล้องนะครับ 555) เราลองมาดูตัวอย่างชุดภาพถ่ายที่ว่านี้กันครับ

สามารถคลิกเพื่อชมภาพขนาดใหญ่

ตัวอย่างการถ่ายถาพนิ่งต่อเนื่องในโหมด High-speed Continuous Shooting บวกกับการ Tracking โฟกัสตัวแบบที่วิ่งเข้าหากล้อง ทำให้ได้ภาพถ่ายที่ตัวแบบคมชัดน่าพอใจทุกภาพ

และอีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือ EOS M6 ออกแบบมาให้รองรับการใช้งานกับระบบโฟกัสแบบ Manual ได้เป็นอย่างดี ด้วยระบบ Peaking Focus ที่ไฮไลท์ให้เห็นจุดที่มีความคมชัดในเฟรมภาพ โดยมีสีไฮไลท์ให้เลือกถึง 3 สี คือ แดง, เหลือง และน้ำเงิน ทำให้ไม่เป็นข้อจำกัดในการใช้งาน ตอบโจทย์การใช้ในงานวิดีโอ หรือคนที่ต้องการจับ M6 ไปใส่อะแดปเตอร์เล่นเลนส์มือหมุนได้เป็นอย่างดี

DIGIC 7 ระบบการจัดการ Noise ที่ดีขึ้น

EOS M6 เลือกใช้หน่วยประมวลผลภาพรุ่นล่าสุด DIGIC 7 ที่ทาง Canon เขาเคลมว่ามีพัฒนาการในเรื่อง การจัดการกับเม็ดสีรบกวนหรือ Noise ในภาพได้ดีกว่าหน่วยประมวลผลภาพรุ่นก่อนอย่างชัดเจน โดยที่ DIGIC 6 ถูกนำไปใช้ในมิลเลอร์เลสระดับกลางอย่างรุ่น EOS M3 และ M10 ทำให้คาดหวังได้ว่าเจ้า M6 จะให้ภาพถ่ายที่เนียนใสกว่า ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องดัน ISO ขึ้นสูงๆ และตัวกล้องสามารถปรับ ISO ได้สูงสุดถึงระดับ 25,600 เรามาดูตัวอย่างภาพถ่ายที่ระดับ ISO ต่างๆ จาก M6 กันครับ

***มีการเซ็ตฟังก์ชั่นลดระดับ Noise ที่ระดับ ISO สูงๆ หรือ High ISO speed NR เอาไว้ที่ระดับ Standard

สามารถคลิกเพื่อชมภาพขนาดใหญ่

ในความคิดเห็นของผม การถ่ายภาพตอนกลางคืน หรือการถ่ายในสภาพแสงน้อย ระดับ ISO สูงสุดที่ยอมรับได้อยู่ที่ 6,400 ครับ ถ้าปรับเกินกว่านี้ จะเห็นอาการเม็ดสีแตกหยาบชัดเจนทั้งในส่วนมืดและส่วนสว่างของภาพ และ Canon EOS M6 มีโหมด ISO Auto ที่กล้องจะปรับค่า ISO ที่เหมาะสมกับสภาพแสงโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องพะวงหรือเสียเวลาปรับค่า ISO ด้วยตัวเอง ซึ่งจากการลองใช้งานจริง ก็ต้องบอกว่าโหมด ISO Auto ทำงานได้ดี ไว้ใจได้

สร้างสรรค์ภาพถ่ายแนวใหม่ด้วยโหมดการถ่าย Panning

โหมดการถ่ายภาพแบบสร้างสรรค์ที่ทาง Canon ภูมิใจนำเสนอในรุ่น EOS M5 และ M6 คือโหมดการถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนไหวแบบ Panning (เรียกใช้โหมด Panning ได้จากคำสั่ง SCN บนลูกบิดเลือกโหมดการถ่ายภาพ) โดยการถ่ายภาพรถวิ่งบนถนนให้เห็นฉากหลังที่มีความเคลื่อนไหว ต้องอาศัยเทคนิคจับจังหวะการแพนกล้องตามการวิ่งของรถ และต้องอาศัยการปรับระบบโฟกัส Tracking ของกล้องให้มีความเหมาะสม ถึงจะได้ภาพที่สมบูรณ์ แต่โหมด Panning ของ EOS M6 ทำให้การถ่ายภาพแนวนี้เป็นเรื่องง่ายขึ้น แค่เพียงแพนกล้องตามการเคลื่อนที่ของรถให้ทัน โดยที่รถต้องวางตำแหน่งอยู่ในกรอบโฟกัสเสมอ จากนั้นก็ลั่นชัตเตอร์ในจังหวะที่ต้องการ เพียงเท่านี้ก็ได้ภาพที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้ว และต้องออกตัวก่อนว่า ผมเองก็ไม่คุ้นเคยกับการถ่ายภาพแนว Panning เพิ่งมาลองครั้งแรกกับกล้องตัวนี้ ผลงานจะออกมาเป็นอย่างไร ไปดูกันครับ

***ภาพมีการ Crop ตามสมควร เพื่อความสวยงามและความเด่นชัดของตัวแบบนะครับ

สามารถคลิกเพื่อชมภาพขนาดใหญ่

จอภาพสัมผัส 3 นิ้ว ภาพแจ่ม แถมยังหมุนได้อีกต่างหาก

อีกจุดที่ชอบกล้องตัวนี้คือ จอ LCD ขนาด 3 นิ้วที่ออกแบบมาได้ดี ความละเอียด 1.04 ล้านจุด หน้าจอใช้งานได้ทั้งการเล็งถ่ายในร่ม และใช้เล็งถ่ายกลางแจ้ง กลางแดดได้ดีเลย สามารถใช้จัดองค์ประกอบภาพ และใช้ขยายดูภาพถ่าย เพื่อตรวจสอบความคมชัดได้เป็นอย่างดี ทำให้ถึงแม้ว่า EOS M6 จะไม่มีช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EVF ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นข้อจำกัดการใช้งานแต่อย่างใดครับ และเป็นจอภาพระบบสัมผัส สามารถแตะจอเลือกจุดโฟกัส รวมถึงแตะหน้าจอเพื่อปรับแต่งค่าการทำงานต่างๆ ของกล้องได้อย่างง่ายดาย

หน้าจอสามารถหมุนพับมาด้านล่างได้ 45 องศา เพื่อความสะดวกในการชูกล้องเล็งถ่ายเหนือหัว และพับกลับขึ้นไปทางด้านบนได้ 180 องศา เพื่อความสะดวกในการเล็งถ่ายดอกไม้บนพื้น และแน่นอนว่าเหมาะกับการเซลฟี่ด้วย จุดที่ต้องชื่นชมคือ กลไกบานพับหน้าจอ ให้ความรู้สึกในการพลิกหมุนที่นุ่มนวลใช้ได้เลย

ก็ในเมื่อกล้องออกแบบมาให้เหมาะสำหรับการเซลฟี่ เราก็ต้องมาลองกันหน่อยครับโดย EOS M6 มีโหมด Scene (SCN) ทั้งการถ่ายแบบ Portrait (ให้เพื่อนถือกล้องถ่ายให้) และโหมด Self Portrait สำหรับสาวๆ ที่ชูกล้องถ่ายภาพตัวเอง โดยในโหมดนี้สามารถปรับระดับความสว่างของใบหน้า ปรับระดับความเนียนของผิวได้ตามต้องการ เรามาชมตัวอย่างภาพเซลฟี่จาก Canon EOS M6 บวกเลนส์คิท EF-M 15-45mm IS STM กันครับ

สามารถคลิกเพื่อชมภาพขนาดใหญ่

เปลี่ยนโหมดมาลองถ่ายน้องนางแบบด้วยโหมด Scene แบบ Portrait กันบ้าง โดยผมเป็นคนถือกล้องถ่ายน้องนางแบบ เรามาดูกันว่า กล้อง Canon EOS M6 บวกเลนส์คิท EF-M 15-45mm IS STM จะทำได้ดีขนาดไหน

ผลงานการถ่าย Portrait ด้วย Canon EOS M6 บวกกับเลนส์คิท EF-M 15-45mm IS STM ต้องบอกว่าไม่เลวทีเดียวครับ ถ่ายทอดสีผิวได้ดีในสภาพแสงแบบ Outdoor ถ้าได้จับคู่กับเลนส์เกรดโปร ภาพถ่ายแนว Portarit จะออกมาดีกว่านี้อีกมากๆ อย่างแน่นอน และด้วยความที่เลนส์คิทค่า f ไม่กว้าง ควรเลือกฉากหลังที่เรียบๆ จะทำให้นางแบบดูเด่นขึ้นครับ

ภาพออกโทนอมฟ้าเมื่อถ่ายในร่มไม้ และผลงานมาโครของ EOS M6

ด้วยความที่เป็นคนชอบถ่ายภาพดอกไม้ใบหญ้าแนวมาโคร ทำให้สังเกตเห็นจุดอ่อนเล็กๆ ของ EOS M6 คือการถ่ายแบบสภาพแสงใต้ร่มเงาไม้ โทนภาพจะออกแนวติดอมฟ้านิดๆ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว จะชอบถ่ายภาพแนวมาโครให้มีโทนสีออกไปทางสีเหลืองอุ่นๆ ให้ความรู้สึกถึงแสงแดดอ่อนๆ ฉาบอยู่ในภาพ ก็สามารถแก้ปัญหาด้วยการปรับ White balance ให้เป็นแบบ Cloudy ก็จะทำให้โทนสีภาพอุ่นขึ้นตามต้องการครับ

เมื่อถ่ายมาโครใต้ร่มเงาไม้ โทนภาพจะติดอมฟ้าเกินความเป็นจริงไปนิดนึง

ปรับค่า White balance ให้เป็นแบบ Cloudy โทนภาพจะออกแนวอุ่น สวยถูกใจขึ้น

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เรามาชมตัวอย่างภาพถ่ายมาโครสวยๆ จาก EOS M6 บวกเลนส์คิท EF-M 15-45mm IS STM กันดีกว่าครับ เจ้าเลนส์คิทตัวนี้ใช้ถ่ายมาโครได้ดีระดับหนึ่งเลยหล่ะ

สามารถคลิกเพื่อชมภาพขนาดใหญ่

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 45 mm, 1/160 sec, f/6.3, ISO 100

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 45 mm, 1/60 sec, f/6.3, ISO 2500 | WB : Cloudy

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 45 mm, 1/60 sec, f/6.3, ISO 125

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 19 mm, 1/500 sec, f/5.6, ISO 100

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 45 mm, 1/80 sec, f/6.3, ISO 100

และกล้อง EOS M6 มีโหมด Scene (SCN) แบบ Food สำหรับการถ่ายภาพเมนูอาหารให้ออกมาสีสันสดใส หน้าชัดหลังเบลอแบบเราไม่ต้องปรับค่ากล้องเอง อำนวยความสะดวกให้ Blogger สายกินสายเที่ยว หรือคนที่ชอบถ่ายภาพเมนูอาหารในร้านเก๋ๆ ได้ดีที่เดียว เรามาดูกันว่าผลงานการถ่ายในโหมด Scene แบบ Food ของกล้องตัวนี้จะออกมาเป็นยังไง 

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 22 mm, 1/60 sec, f/4, ISO 1250

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 26 mm, 1/60 sec, f/4.5, ISO 6400 | +1.3 EV

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 26 mm, 1/60 sec, f/4.5, ISO 3200 | +0.3 EV

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 26 mm, 1/60 sec, f/4.5, ISO 4000 | +0.3 EV

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 26 mm, 1/60 sec, f/4.5, ISO 1600

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 17 mm, 1/60 sec, f/4, ISO 800 | +0.7 EV

ข้อสังเกตสำหรับการถ่ายภาพอาหารด้วย EOS M6 ในโหมด Food คือ โทนภาพจะออกแนวมืดนิดๆ ตามสภาพแสงจริงในร้าน ให้ปรับชดเชยแสงไปทางด้านบวกได้ตามความเหมาะสม ในส่วนเรื่องของมิติภาพ ถึงแม้จะจับคู่กับเลนส์คิทแต่ผลงานออกมาดีทีเดียวครับ ถ้าได้จับคู่กับเลนส์เกรดโปรอนาคตไกลแน่นอน

ตัวอย่างภาพถ่ายวิวทิวทัศน์ของ Canon EOS M6

สามารถคลิกเพื่อชมภาพขนาดใหญ่

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 17 mm, 1/320 sec, f/10, ISO 100

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 24 mm, 1/60 sec, f/11 ISO 640

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 15 mm, 1/50 sec, f/22 ISO 100

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 45 mm, 1/60 sec, f/11 ISO 320 | +0.3 EV

Canon EOS M6 | Canon EF-M 15-45mm f3.5-6.3 IS STM | 35 mm, 1/60 sec, f/6.3 ISO 100 | +1.0 EV

รองรับการเชื่อมต่อไร้สายครบทั้ง Wi-Fi , NFC และบลูทูธ

สมกับที่เป็นมิลเลอร์เลสระดับสูงด้วยความที่เจ้า EOS M6 รองรับการเชื่อมต่อไร้สายครบทั้ง Wi-Fi , NFC และบลูทูธ ซึ่งการเชื่อมต่อแต่ละรูปแบบก็มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันนะ

เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi เพื่อการดูภาพ Live view ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน และใช้เป็นรีโมทชัตเตอร์ได้เลย

เรามาดูการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi กันก่อน การเชื่อมต่อไร้สายแบบนี้ เราจะสามารถใช้สมาร์ทโฟน (รองรับทั้งสมาร์ทโฟน Android และ iOS เชื่อมต่อผ่านแอป Canon Camera Connect) เพื่อใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นรีโมทชัตเตอร์ (Remote live view shooting) โดยภาพ Live view จากกล้องจะมาแสดงที่หน้าจอสมาร์ทโฟน เพื่อการจัดองค์ประกอบภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมาะมากในกรณีไปเที่ยวไหนแล้วไม่มีคนถ่ายภาพให้ ก็ตั้งกล้องบนขาตั้ง แล้วเราก็ไปยืนอยู่ในเฟรมภาพ แล้วสั่งให้กล้องลั่นชัตเตอร์ ผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนได้เลย โดยที่เราสามารถแตะเลือกจุดโฟกัสในเฟรมภาพ ปรับค่าการชดเชยแสง ได้ตามต้องการ

เชื่อมต่อ Wi-Fi เพื่อการ Copy ภาพจากกล้อง มาเก็บไว้ในสมาร์ทโฟนเพื่อการแต่งภาพ และแชร์ขึ้นโซเชียล

และการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ก็รองรับการ Copy ไฟล์ภาพจากกล้องมาเก็บไว้ในสมาร์ทโฟนด้วย และในส่วนของเทคโนโลยี NFC จะช่วยอำนวยความสะดวก คือเมื่อเราเอาสมาร์ทโฟน Android ที่รองรับเทคโนโลยี NFC มาแตะที่ด้านล่างของกล้อง (ตรงที่มีโลโก้ NFC กำกับอยู่) สมาร์ทโฟนก็จะเปิดแอป Canon Camera Connect แล้วเชื่อมต่อกับกล้อง EOS M6 โดยอัตโนมัติ

เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ เพื่อใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นรีโมทชัตเตอร์

ในส่วนของการเชื่อมต่อแบบบลูทูธนั้น จะรองรับเฉพาะการใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นรีโมทชัตเตอร์ เพื่อสั่งให้กล้องบันทึกภาพ หรือเริ่มต้นการถ่ายวิดีโอ โดยบนหน้าจอสมาร์ทโฟนจะมีเพียงปุ่มชัตเตอร์ให้แตะเท่านั้น ไม่มีการแสดงภาพ Live view แต่อย่างใด รวมถึงไม่สามารถปรับตั้งค่าการทำงานใดๆ ของกล้องผ่านสามาร์ทโฟน ถึงแม้การเชื่อมต่อผ่านบลูทูธจะมีข้อจำกัดเยอะ แต่ก็มีข้อดีตรงที่ประหยัดแบตฯ กล้องมากกว่าการเชื่อมต่อ Wi-Fi ครับ

ถ่ายวิดีโอ Full HD 60p พร้อมระบบ Combination AF

ตัวอย่างวิดีโอที่ถ่ายจาก Canon EOS M6 เชิญชมวิดีโอความละเอียดสูงได้เต็มๆ ในคลิปรีวิวกล้องเลยครับ

ทาง Canon ให้เหตุผลที่ EOS M6 ยังคงรองรับการถ่ายวิดีโอที่ระดับความละเอียดสูงสุด Full HD 60p เอาไว้ว่า ถ้าออกแบบให้กล้องสามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงถึงระดับ 4K ก็จะทำให้ผู้ซื้อต้องลงทุนเพิ่มเติมอีกเยอะ กับสเปคเครื่องคอมฯ ที่จะสามารถตัดต่อไฟล์ 4K ได้ รวมถึงจอภาพขนาด 4K ยังคงมีราคาสูงและยังไม่แพร่หลายในปัจจุบัน ดังนั้นการถ่ายวิดีโอที่ระดับ Full HD 60p ก็เพียงพอแล้วในปัจจุบัน ซึ่งผลงานการถ่ายวิดีโอ Full HD ของกล้องตัวนี้ก็ให้ไฟล์ที่สวยใช้ได้เลย และมีช่องเสียบไมค์นอก ในแบบเดียวกับ DSLR ระดับโปร ทำให้ได้คุณภาพการบันทึกเสียงที่ดีขึ้น (แต่ไม่มีช่องเสียบหูฟังนะ)

ช่องเสียบไมค์ซ่อนอยู่ในฝาปิดบนขอบข้างตัวกล้อง

และอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าสนใจเกี่ยวกับงานถ่ายวิดีโอของ EOS M6 คือระบบ Combination IS ซึ่งเป็นระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ 5 แกนด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งระบบนี้จะทำงานเมื่อเราถ่ายวิดีโอด้วยเลนส์ที่ไม่มีระบบกันสั่น

สรุปผลการรีวิว Canon EOS M6

เป็นกล้องมิลเลอร์เลสตัวเล็กๆ ที่เราได้ลองเล่นแล้วก็ต้องบอกว่า ชอบในความกะทัดรัดหยิบใช้งานง่ายของมัน แถมใส่อะแดปเตอร์เพื่อแปลงไปใช้เลนส์เกรดโปรสำหรับ DSLR ของ Canon ได้แบบเต็มฟังก์ชั่น การปรับแต่งค่าการถ่ายก็ทำได้รวดเร็วผ่านผ่านปุ่มกด ปุ่มลูกบิดหมุน 3 ตัว รวมถึงการปรับตั้งค่าการทำงาน และเลือกจุดโฟกัสผ่านหน้าจอสัมผัส เรื่องการจัดการ Noise ก็ทำได้ดีเลย และเมื่อเทียบราคากับรุ่นที่มีสเปคเทียบเท่ากันอย่าง EOS M5 ที่มี EVF ในราคา Body เปล่าประกันศูนย์ที่ราคา 36,990 บาท กับ EOS M6 ที่ไม่มี EVF ในราคา Body เปล่าประกันศูนย์ที่ 29,900 บาท ซึ่งก็ถูกกว่ากันอยู่ประมาณ 7,000 บาท ก็ถือว่าเป็นราคาส่วนต่างที่น่าสนใจ เพราะจอ LCD ของเจ้า M6 ก็คุณภาพดีอยู่ ใช้เล็งถ่ายกลางแจ้งได้แบบไม่มีปัญหา