ขุนพันธ์ 2 | ตำนานมือปราบจอมขมังเวทย์และเสือเมืองไทย

“ถ้าพวกมึงสัญญาว่าจะเลิกเป็นโจร แล้วไปบวชซะ กูสาบานว่าจะจับเป็นพวกมึง”

ประกาศิตจากปาก พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช หรือ บุตร พันธรักษ์ อดีตนายตำรวจชื่อดัง ผู้ปราบปรามโจรมาทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย และที่สร้างชื่อแถมยังเป็นตำนานที่สุดก็คงหนีไม่พ้นฉายา นายตำรวจมือปราบจอมขมังเวทย์

ด้วยชื่อเสียงอันเลื่องลือของยอดตำรวจไทย จึงได้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์โดยฝีมือของ ก้องเกียรติ โขมศิริ เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา รับบทเป็นขุนพันธ์ และในปี 2018 นี้ กำลังจะมีภาคต่อของขุนพันธ์ 2 เข้าฉายในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นเรื่องราวในยุคที่กฏหมายอ่อนแอ และคนชั่วครองเมือง ทุกพื้นที่ในภาคกลางถูกครอบครองโดยอิทธิพลของเสือฝ้ายและเสือใบ ในคลิปนี้ เราจะพาทุกท่านไปพบกับตำนานมือปราบจอมขมังเวทย์และเสือเมืองไทย!

คงกระพัน กำบังกาย ขุนพันธ์ มือปราบจอมขมังเวทย์ รับบทโดย อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม เจ้าของฉายาต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นนายพลตำรวจหนังเหนียวผู้จับเสือมือเปล่า ขุนพันธ์ดาบแดง รายอกะจิ จอมขมังเวทย์ นับว่ามีชื่อเสียงมากๆ จากการปราบปรามโจรต่างๆ ทั่วภูมิภาคของประเทศไทย โจรคนไหนที่คนอื่นปราบไม่ได้ ขุนพันธ์ก็กำราบได้หมด เคยมีคนเล่าขานกันว่าขุนพันธ์เคยนำกระโหลกของเสือมาทำที่เขี่ยบุหรี่ 

ขุนพันธ์ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นตำรวจผู้มีวิชาอาคมแกร่งกล้าสามารถมาก ศึกษาร่ำเรียนวิชาไสยเวทที่ สำนักเขาอ้อ ไม่ว่าจะเป็นการแช่ว่านอาบยาเอย กินข้าวเหนียวดำเอย เพื่อคงกระพันชาตรี และนอกจากปืน คาถาอาคมต่างๆ ที่ขุนพันธ์ใช้กำราบเสือและโจรรายต่างๆ ก็ยังมีอาวุธคู่กายที่ใช้ออกปราบอีกเช่นกัน นั่นคือ สนับมือและในตัวอย่างภาคสองเราก็จะได้เห็นอาวุธชิ้นนี้ นั่นก็คือ “ดาบแดง” ดาบเหล็กน้ำพี้ที่เชื่อว่าเป็นของพระยาพิชัยดาบหัก ฝักมีถุงผ้าสีแดงห่อหุ้มอยู่ โดยขุนพันธ์ได้รับมาจาก หลวงกล้า กลางณรงค์

ขุนพันธ์ฯ ได้ถึงแก่กรรมวันที่ 5 กรกฏาคม 2549 ที่บ้านในซอยราชเดช ตำบลเมือง อำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยขณะนั้นมีอายุ 103 ปี ถึงตัวจะจากไปก็ยัง เหลือไว้เป็นเรื่องเล่าและตำนานอันเป็นอมตะของวีรบุรุษที่ตำรวจไทยต่างยกย่องและนับถือเป็นอย่างยิ่ง

“เสือ” ในสมัยก่อนเป็นชื่อที่เหล่าโจรต่างเรียกตนเอง ไม่ว่าจะเป็น เสือฝ้าย เสือใบ เสือดำ เสือมเหศวร และอื่นๆ อีกมากมาย เหล่าเสือทั้งหลายต่างไม่เกรงกลัวกฏหมายแต่อย่างใด จึงน้อยนักที่จะเกิดการจับเป็น ถ้าไม่โดนยิงตายก็ยอมมอบตัว เหล่าเสือในสมัยก่อนมีการแบ่งออกเป็นหลายพรรคหลายพวก เป็นชุมต่างๆ ซึ่งขุนพันธ์ได้สร้างชื่อจากการปราบเสือคนแรกที่จังหวัดพัทลุงอย่าง เสือสังหรือเสือพุ่ม เสือร้ายที่แหกคุกมาจากเมืองตรัง และหลังจากนั้นท่านก็ได้ปราบปรามผู้ร้าย เหล่าเสือทั่วทุกสารทิศเมืองไทยอีกกว่าหลายสิบคน

ก่อนอื่นเราจะขอท้าวความไปในภาคแรกเราจะได้เห็นแล้วว่าขุนพันธ์ได้ปราบเสือไป 2 คน นั่นก็คือ “เสือกลับ” และ “เสือสัง” ส่วนอีกรายคือผู้ร้ายทางการเมืองนามว่า “อะแวสะดอ ตาและ” แต่ในหนังภาคแรกจะใช้ชื่อว่า “อัลฮาวียะลู” และในประวัติจริงๆ เสือสังไม่ได้เป็นลูกน้องของ “อะแวสะดอ ตาและ” หรือ "อัลฮาวียะลู" แต่อย่างใด

มาถึงเสือคนแรกที่ถูกปราบในตอนต้นเรื่อง “เสือกลับ” ถึงแม้ในหนังเสือกลับจะโดนขุนพันธ์ยิงตาย แต่ในประวัติศาสตร์จริงๆ แล้ว เสือกลับเป็นเสือที่แม้แต่ขุนพันธ์ก็ไม่อาจจับตัวได้

เสือกลับหรือชื่อจริง นายกลับ คำทอง เป็นโจรชาวพัทลุง นายตำรวจหลายนายพยายามตามจับใช้เวลาเป็น 10 ปีก็ไม่สามารถจับได้ โดยเชื่อกันว่า เสือกลับมีวิชาล่องหนหายตัว และเป็นศิษสำนักเขาอ้อเช่นเดียวกับขุนพันธ์อีกด้วย ขุนพันธ์พยายามไล่จับอยู่หลายครั้งคราก็จับไม่ได้เสียที

จนในที่สุดมีเหตุการณ์ล้อมจับเสือกลับในเวลาก่อนเช้า เสือกลับโดนตำรวจยิงล้มลงไปนอน แต่พอขุนพันธ์และตำรวจคนอื่นๆ จะเข้าประชิดตัว เสือกลับดันหายไปซะดื้อๆ วันถัดมาขุนพันธ์ก็ไปค้นบ้านนายกลับใหม่แต่ไม่เจอ แต่แท้จริงแล้วใช้วิชาอาคมพลางกายอยู่จึงไม่เห็น เลยเจอแต่ลูกเลี้ยง จึงได้ถามไถ่ ลูกเลี้ยงจึงบอกว่าเสือกลับได้เดินทางไปแล้ว และมีแผลโดนยิงด้วย

หลายปีต่อมาขุนพันธ์ได้ย้ายไปจังหวัดพัทลุง ทำให้ทราบว่าเสือกลับอยู่ที่นี่ จึงอยากจะพบ แต่เสือกลับฝากคนมาบอกว่า “นายร้อยคนนี้ไว้ใจไม่ได้ มันยิงกูทีหนึ่งแล้ว กูไม่ขอพบ” และก็ไม่มีใครพบเห็นเสือกลับอีกเลย

เสือสัง หรือเสือพุ่ม รับบทโดยเดี่ยว ชูพงษ์ เป็นเสือสุดโหดเหี้ยม ทารุณ แถมยังแหกคุกเมืองตรังออกมาได้ คนแดนใต้ล้วนแล้วแต่กลัวกันทั้งนั้น ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ทั่ว ใครเคยเจอหรือเอาไปบอกตำรวจ ก็จะโดนตามฆ่าอย่างไม่ปราณี เสือสังมีรูปร่างใหญ่โต แถมยังอยู่ในการปกครองของกำนันและคนใหญ่คนโตอีกมากมาย จึงยากต่อการเข้าปราบปราม แต่ขุนพันธ์หาได้สนไม่ และปราบได้ภายในปีแรกที่เข้ามารับราชการเท่านั้น

การปราบเสือสังข์นั้นได้ใช้มือเปล่าต่อสู้ปลุกปล้ำกัน แถมยังกัดกันไปคนละแผล ในที่สุดเสือสังข์ก็พ่ายเสียชีวิต จากการช่วยเหลือของ พลเผือก และนายขี้ครั่ง แต่ตำรวจกล่าวหาว่าขุนพันธ์ไม่ได้ต่อสู้แต่อย่างใด แผลทั้งหมดแกล้งทำขึ้นมาเอง ทำให้ขุนพันธ์ไม่ได้รับความดีความชอบอะไรเลยแต่เพื่อนตำรวจทั้งสองได้เต็มๆ ขุนพันธ์จึงสักรูปรอยฟันทับรอยที่เสือสังข์กัดไว้บนแขน เพื่อเตือนใจตัวเอง และนั่นคือการปราบเสือครั้งที่สร้างชื่อให้กับขุนพันธ์เป็นอย่างมาก

คนต่อมาคือการปราบผู้ร้ายทางการเมืองจากนราธิวาส “อะแวสะดอ ตาและ” หรือในหนังถูกเรียกว่า “อัลฮาวียะลู” รับบทโดย น้อย วงพรู ที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาบูโด ถือได้ว่าเป็นจอมขมังเวทย์หนังเหนียวที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้ามาก มีเรื่องกล่าวขานมากมายถึงอิทธิฤทธิ์ของโจรผู้นี้ ทั้งเคยหนีออกจากการจับกุมปลดโซ่ตรวนด้วยไสยศาสตร์

จอมโจรผู้โหดเหี้ยมมาก มีอาวุธประจำตัวเป็นกริช หลบหนีจากการจับกุมของตำรวจได้ตลอด ขุนพันธ์เคยต่อสู้ยิงกันเป็นสิบนัด ก็มิสามารถปราบมันได้ ยิงไม่ออกบ้างก็มี ต้องต่อสู้ประชิดตัวเท่านั้น ขุนพันธ์ต้องยิงกระสุนต่อหน้าต่อตาจนหมด โจรผู้นี้ก็ยังสามารถลุกมายืนได้อีก เลยต้องเข้าไปต่อยด้วยหมัด ตะลุมบอน และใช้เวลากว่า 30 นาทีกว่าจะปราบโจรร้ายผู้นี้ได้

ตามบันทึกของขุนพันธ์ยังกล่าวอีกว่าที่ยิงไป 9 นัด โจรร้ายผู้นี้อมกระสุนไว้ในปากทั้งหมด เสื้อผ้า ตามตัวไม่มีขาด ไม่มีบาดแผลทั้งสิ้น เครื่องรางที่ อะแวสะดอ ตาและ พกติดตัวไว้มี ตับคนเป็นเหล็ก 2 ชั้น, เคราคนเป็นทองแดง 1 แผ่น ช้องหมูป่า 1 อัน และผ้าประเจียดคนไทย 1 ผืน แขวนอยู่ที่คอโดยใช้ลวดผูกไว้

อะแวสะดอตาและเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายในห้องขังด้วยการกินยาพิษด้วยตัวเอง ก่อนที่จะถูกประหาร ด้วยการปราบโจรภาคใต้ผู้นี้ ทำให้ขุนพันธ์ได้รับฉายาที่ชาวไทยอิสลามตั้งให้นั่นคือ “รายอกะจิ” หรืออัศวินเล็กพริกขี้หนู

“โจรเมืองสุพรรณ” ถ้าถามรุ่นพ่อ รุ่นแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คงจะคุ้นเคยและตอบได้ไม่ยากว่าคือใคร “ชุมโจร” เยอะแยะมากมายต่างอยู่ในเมืองนี้ แต่เราจะมาขอพูดถึงเสือที่ปรากฏในหนังขุนพันธ์ 2 กัน นั่นคือ “เสือใบ” และ “เสือฝ้าย” ถ้าพูดถึงวีรกรรมของเสือทั้งหลาย ก็คงพูดได้ว่าเปรียบเสมือน โรบินฮูด เมืองไทยเลยก็ว่าได้

เริ่มจากคนแรก อดีตโจรผู้เลื่องชื่อลือชาในเมืองสุพรรณ “เสือฝ้าย” รับบทโดย พันเอก วันชนะ สวัสดี หรือผู้พันเบิร์ด

เสือฝ้าย หรือชื่อจริงว่า ฝ้าย เพ็ชนะ มีฉายาว่า “พ่อเสือ” “จอมพลเสือฝ้าย” หรือแม้กระทั่ง “ครูฝ้าย” ตัวเขานั้นไม่ได้เป็นโจรมาตั้งแต่แรก จุดเริ่มต้นการเป็นโจรของเสือฝ้ายนั้น เรียกได้ว่าเกิดขึ้นเพราะความซวย เนื่องจากโดนใส่ร้ายโดยหลานเขยของตำรวจนายหนึ่ง ว่าพาโจรหลบหนี ทำให้ต้องติดคุกเป็นเวลาถึง 8 ปี เจ้าตัวเลยบอกกับตัวเองไว้ว่า “เมื่อรัฐเล่นตลกกับข้า ข้าก็จะสร้างเสียงหัวเราะให้พวกมัน!”

เสือฝ้ายต่างเป็นที่ยำเกรงของคนทั่วไปในยุคนั้นและเช่นเดียวกัน ก็เป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านเหมือนกัน นั่นก็เพราะวิธีการปล้นของเสือฝ้าย ไม่ใช่การปล้นแบบโจรทั่วไป หรือนี่อาจกล่าวได้ว่า “โรบินฮูดของเมืองไทย” เพราะเขา “ปล้นคนรวย ให้คนจน” เขาจะปล้นเฉพาะคนรวย เศรษฐี หรือผู้มีอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะพวกที่โกงกินบ้านเมือง ขูดรีดชาวบ้าน ด้วยเหตุนี้ ทำให้ชาวบ้านยากจนหรือคนธรรมดา รอดพ้นจากการปล้นของเสือฝ้าย แถมบ่อยครั้งยังได้ ทรัพย์ จากเสือฝ้าย ที่นำมาแจกจ่ายให้ชาวบ้านอีกด้วย จึงทำให้ชาวบ้านรัก และนั่นจึงทำให้ทางการตำรวจ ไม่สามารถจับตัวเสือฝ้ายได้ เพราะมีชาวบ้านคอยปกป้องนั่นเอง

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เสือฝ้ายได้รู้ข่าวว่าขุนพันธ์ได้ปราบเสือต่างๆ มากมาย จึงทำให้เสือฝ้ายส่งสารผ่านตำรวจมาบอกว่า "อย่าให้ขุนพันธ์เข้ามาในเขตเมืองสุพรรณหล่ะ" แต่ขุนพันธ์ก็หาได้กลัวไม่

ต่อมาขุนพันธ์ก็ได้เข้ามาเที่ยวเมืองสุพรรณ ในสมัยนั้นต้องเดินทางผ่านทางเรือ และก็ผ่านบ้านของเสือฝ้าย ทำให้เกิดการยิงปืนต่อสู้ปะทะกัน ขุนพันธ์รอดออกมาจากการปะทะนั้น และหลังจากเหตุการณ์นั้น ก็ทำให้ขุนพันธ์ไปตามล่าจับลูกน้องและพี่ชายของเสือฝ้ายมาได้ แต่ในระหว่างการควบคุมตัว ลูกน้องเสือฝ้ายโดนมือดียิงตายคาที่ ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาเสือฝ้ายก็ส่งจดหมายมาว่า “ไม่รักษาสัญญาที่รับรองจะไม่เข้ามาเขตสุพรรณ ทั้งๆ ที่ผมจ่ายเงินให้แล้วถึงสองหมื่นบาท”

ภายหลังเสือฝ้ายก็ได้มาช่วยเหลือทางตำรวจ ปราบชุมโจรอื่นๆ โดยมีข้อแม้เดียวว่า “ไม่ต้องการพบขุนพันธ์!” หลังจากนั้นก็ได้มอบตัวกับทางการ แต่ในระหว่างที่ถูกคุมตัวไปกรุงเทพ เสือฝ้ายได้ถูกสังหารระหว่างทาง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บ้างก็ว่าเป็นลูกน้องเสือฝ้าย บ้างก็ว่าเป็นตำรวจที่คุมตัวตั้งใจฆ่าทิ้ง ทำให้เสือฝ้ายเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2490 ด้วยอายุ 60 ปี

คนต่อมา “เสือใบ” ในหนังเรื่องนี้คนที่มารับบทตำนานเสือผู้นี้คือ เป้ อารักษ์ จริงๆ เราได้เห็นเขาแล้วในตอนจบของขุนพันธ์ภาคแรก

เสือใบ หรือชื่อจริงนายใบ สะอาดดี เสือใบได้เริ่มต้นเป็นโจรก็เพราะว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งโจรได้เข้ามาปล้นควายที่บ้านเขา และฉุดน้องเมียไป เลยทำให้เสือใบโกรธมาก และตามไปล้างแค้น จนช่วยน้องเมียกลับมาได้ และได้ปลิดชีพโจรไป 2 ราย ทำให้นั่นเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นโจรของเสือใบ

เสือใบเป็นเสือในสังกัดชุมโจรของเสือฝ้าย มักจะออกปล้นในภาคกลาง โดยจะแต่งกายด้วยสีดำทั้งชุด และสวมหมวกดำ เป็นเอกลักษณ์ประจำกาย แต่เสือผู้นี้จะออกปล้นด้วยความสุภาพ จนได้รับขนานนามว่า “สุภาพบุรุษเสือใบ” เป้าหมายคือจะเลือกปล้นเฉพาะรวย ที่โกงคนจนมา และทุกการปล้นจะเอาทรัพย์แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น จะเรียกว่าปล้นซะทีเดียวก็ไม่ถูก จะใช้การ “ขอ” ถ้าไม่ให้ก็จะไม่เอา และไม่ทำร้าย เพราะเป็นกฏของเสือและถือคติไว้เลยว่า ห้ามทำร้ายเจ้าของทรัพย์เด็ดขาด ยกเว้นจะขัดขืนหรือต่อสู้ และเงินบางส่วนที่ปล้นมาก็จะมาใช้ช่วยเหลือคนจนอีกด้วย

แต่ถึงจะเก่งกล้าสามารถแค่ไหน ก็ยังต้องแพ้ให้กับยอดมือปราบอย่าง ขุนพันธรักษ์ราชเดช และโดนตัดสินให้ประหารชีวิต แต่เจ้าตัวสารภาพจึงได้ลดหย่อนผ่อนโทษ ให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต และในที่่สุดก็เหลือเพียง 20 ปี เนื่องจากในระหว่างจำคุกได้ช่วยเหลือผู้คุมจากการถูกนักโทษคนอื่นทำร้ายอีกด้วย

ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2558 เสือใบ ก็กลายเป็นตำนานเหลือเพียงแต่ชื่อและเรื่องราวที่ถูกเล่าต่อๆ กันมา เสือใบได้เสียชีวิตด้วยวัย 94 ปี ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง ที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

ขุนพันธ์ได้ปราบเสือและโจรร้ายต่างๆ มากมายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย แต่มีอีกหนึ่งเสือที่ขุนพันธ์ปราบไม่ได้ นั่นก็คือ "เสือดำ" มีวิธีการปล้นเหมือนกับเสือใบ และได้รับฉายาว่าสุภาพบุรุษเสือดำ เช่นเดียวกัน เนื่องด้วยมีวิชาอาคมทั้งคู่ ยิงกันไม่เข้า กินกันไม่ลง ขุนพันธ์เลยเสนอให้ไปบวช แล้วก็จะไม่จับกุม สุดท้ายเสือดำก็ไปบวช ได้ชื่อว่าพระครูสุนทรธรรมวิมล หรือ หลวงพ่อทวีศักดิ์

ในอีกด้านหนึ่งบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นเสือใบ ก็บอกว่าหลวงพ่อทวีศักดิ์ก็มิใช่เสือดำเหมือนกัน เพราะเสือดำได้โดนไม้พลองฟาดคอ โดยชายที่ชื่อ พรานบุญ สืบเนื่องจากทางการต้องการจะสังหารเสือดำ เลยข่มขู่ผู้ใหญ่บ้าน แผน ผู้ใหญ่บ้านที่ใกล้ชิดกับเสือดำ ให้สังหารเสือดำซะ โดยการจับตัวบิดามารดาของผู้ใหญ่บ้าน แผน ไว้ 

ในการกินเลี้ยงคืนหนึ่ง ลูกน้องผู้ใหญ่แผนหยิบไม้พลางที่หามหมูมาฟาดเข้าเสือดำอย่างจัง จากนั้นก็โดนลุมฟาดจนตายคาที่

ถึงอย่างไรก็ตามเรื่องราวของเสือร้าย โจร และขุนพันธ์ ต่างก็มีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง ก็อาจจะมีการเสริมเติมแต่งตามแต่ผู้เล่า ผู้เขียนบ้างไม่มากก็น้อย แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เราก็กล่าวได้ว่านี่แหละคือ “ตำนาน” ที่ถูกเล่าขานกันมาอย่างไม่รู้จบ

ติดตามความมันส์แบบเต็มรูปแบบ ดวลด้วยศรัทธา ล่าด้วยอาคม กับขุนพันธ์ 2 /23 สิงหาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

ตัวอย่างขุนพันธ์ 2