ตอนนี้ไม่ว่าจะอยู่ทุกมุมไหนของโลกทุกคนจะต้องได้ยินเกี่ยวกัหนัง ภาพยนตร์บาร์บี้ที่มาแรงแซงทางโค้งทุกเรื่องในปีนี้ หนัง ภาพยนตร์ Barbie (บาร์บี้) ที่กำกับโดย Greta Gerwig สามารถกลายเป็นภาพยนตร์ที่สามารถทำรายได้เปิดตัวสัปดาห์แรกสูงสุดในปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) นอกจากนี้รายได้ล่าสุดของภาพยนตร์เรืองบาร์บี้ได้ทะลุไปมากกว่าหนึ่งพันล้านแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ส.ค. ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566)) ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากทางด้านได้รายได้เมื่อเทียบกับทุนสร้างเพียง 145 ล้านดอลลาร์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกหนึ่งความสำเร็จของภาพยนตร์บาร์บี้มาจากการตลาด ซึ่งทาง Warner Bros. และ Mattel ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ลงทุนในส่วนนี้ถึง 155 ล้านดอลลาร์ถือเป็นจำนวนที่มากกว่าทุนสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้เสียอีก การทำการตลาดของภาพยนตร์บาร์บี้จึงเป็นอีกตัวอย่างการทำการตลาดที่น่านำมาศึกษา วันนี้ Tumwai จึงขอมาสรุปประเด็นการทำการตลาดที่น่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน
ทาง Mattel เจ้าของแบรนด์บาร์บี้ได้เลือกใช้สีชมพู "Pantone 219C" เป็นเอกลักษณ์และเครื่องหมายการค้าของแบรนด์บาร์บี้ เนื่องจากสีชมพูมีความเชื่อมโยงกับความเป็นผู้หญิง นับจากนั้นมาสีชมพูถือเป็นภาพจำของแบรนด์บาร์บี่้ในของทุก ๆ คน เราจึงจะได้เห็นการตลาดสีชมพูของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ได้พยายามตอกย้ำภาพจำของแบรนด์ผ่านการร่วมผลิตสินค้าแบรนด์ชื่อดังหลาย ๆ แบรนด์ทั้งแบรนด์อาหาร เครื่องสำอางค์และอีกหลากหลายแบรนด์ เช่น Burger King, NYX, Crocs การ Collab กับหลาย ๆ แบรนด์ ที่นอกจากจะเป็นการเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์นั้น ๆ อีกด้วย
และในทางกลับกัน ก็จะช่วยทำให้แบรนด์บาร์บี้ กลับมาเป็นกระแสมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างการ Collab ระหว่างภาพยนตร์บาร์บี้และแบรนด์ที่น่าสนใจคือ Barbie’s Malibu Dreamhouse ที่พักตามแบบฉบับบ้านของเล่นบาร์บี้ที่สามารถเข้าพักได้จริง นอกจากนี้ยังมีเทียนหอมกลิ่น Barbie’s Dreamhouse ของแบรนด์ที่ทำให้เกิดกระแสผ่านทางโชเชียลของผู้คนจำนวนมากที่พากันสงสัยในกลิ่นของเทียนหอมกลิ่นนี้ หรือแม้กระทั่ง Google ยังเป็นสีชมพู เวลาค้นหาคำว่า Barbie ใน Google ก็จะมีประกายสีชมพูโผล่ขึ้นมา จนทำให้หลาย ๆ คนที่ต้องการพิสูจน์ต้องเข้ามาลองค้นหา Barbie เพิ่มขึ้น
Barbie’s Malibu Dreamhouse และตัวอย่างห้องพักที่เปิดให้เช่าทาง Airbnb
เทียนหอม Barbie’s Dreamhouse จากแบรนด์ Homesick
อีกแคมเปญที่ทำให้ภาพยนตร์บาร์บี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์คือ "Barbie Selfie Generator" ผ่าน https://www.barbieselfie.ai/th/ ที่คุณสามารถตกแต่งโปสเตอร์ภาพยนตร์บาร์บี้ในแบบฉบับของคุณเอง โดยเอารูปใครก็ได้ไม่ว่าจะเป็นดาราที่คุณชอบ หมาแมวที่คุณรักหรือแม้กระทั่งตัวคุณเองก็สามารถนำมาใส่กรอบ รวมถึงสามารถใส่ข้อความประกอบได้ตามใจชอบ ทำให้สามารถเข้าถึงผู้คนจำนวนมากที่ได้สร้างประสบการณ์ร่วมกับภาพยนตร์เรื่องนี้ อีกทั้งยังมีสื่อหรือแบรนด์ชื่อดังต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น HBO หรือ Oreo และแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมายที่ต่างมาเข้าร่วมแคมเปญนี้ยิ่งเป็นการสร้างกระแสให้ภาพยนตร์บาร์บี้
การฉายพร้อมกันระหว่างภาพยนตร์บาร์บี้ กับภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Oppenheimer ที่กำกับโดย Christopher Nolan ความแตกต่างระหว่างเนื้อหาอย่างสุดขั้วของภาพยนตร์สองเรื่องนี้ทำให้เกิดกระแส “Barbenheimer” เป็นอีกปรากฎการณ์ที่ชาวโซเชียลต่างนำเอาภาพยนตร์สองเรื่องนี้มาเปรียบเทียบอย่างสนุกสนานผ่านทางโซเชียลโดยเฉพาะช่องทางแอปพลิเคชันอย่าง Tiktok ทั้งทำเป็นคลิปล้อเลียน หรือทำเป็น Meme จากฉากในภาพยนตร์ จนตอนนี้ยอดคนดูคลิปที่มี Keyword คำว่า Barbenheimer มียอดรับชมมากกว่าหนึ่งพันล้านครั้ง กระแส Barbenheimer ทำให้เกิดเป็น Free marketing ระหว่างภาพยนตร์สองเรื่องนี้ร่วมกันจากการที่กระแสล้อเลียนจากผู้คนทั่วไปจนเกิดกลายเป็นไวรัลขึ้นมาเอง โดยทางทีมงานไม่ได้มีส่วนร่วมเป็นคนทำการตลาดเองแม้แต่น้อย
ตุ๊กตาบาร์บี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในขวัญใจของเล่นในวัยเด็กของคนจำนวนมาก การที่ได้เห็นการตลาดสีชมพูของภาพยนตร์บาร์บี้ที่เนรมิตภาพในความทรงจำในตอนเด็กที่ทำให้ผู้คนสามารถจับต้องสิ่งของต่าง ๆ เหล่านี้ได้จริงล้วนไม่ว่าจะของใช้ประจำวันอย่างรองเท้าบาร์บี้ กล่องบาร์บี้ขนาดเท่าคนจริงหรือการเนรมิตบ้านของบาร์บี้ที่เปิดให้ใครก็ได้สามารถเข้าไปเช่าพัก และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยการทำการตลาดที่ทำให้ผู้คนจำนวนมาก ได้มีประสบการณ์ร่วมกับความเป็นบาร์บี้ ผ่านการทำการตลาด จึงทำให้คนหลาย ๆ คนได้เหมือนได้ย้อนไปความทรงจำในวัยเด็กรวมถึงการได้สัมผัสสิ่งของที่เคยอยู่ในภาพจิตนาการจึงทำให้หลาย ๆ คนได้เหมือนเติมเต็มความฝันเล็ก ๆ ในช่วงวัยเด็ก นอกจากนี้การทำตลาดของภาพยนตร์บาร์บี้ยังสามารถทำ การตลาดแบบปากต่อปาก (Viral Marketing) จนส่งเสริมให้ภาพยนตร์บาร์บี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามแบบที่เราเห็นกันในทุกวันนี้
|