ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าทุกวันนี้ ผมหยิบ iPhone ขึ้นมาดูหน้าจอวันละกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือน ผมก็อดใจไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาดูเกือบทุกรอบ เพื่อดูว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับผมบ้างหรือไม่ ทั้งๆ ที่ในใจผมรู้ดีว่า ส่วนใหญ่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวผมเลยสักนิด แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็จะกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก เหมือนใจมันพะวงเสมอว่า เรื่องนั้นมันอาจจะเกี่ยวกับเราก็ได้ ...ผมปล่อยให้ชีวิตของผมเป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว
เช้าเมื่อตื่นมา ผมจะต้องหยิบมือถือมากดปิดเสียงนาฬิกาปลุก แล้วก็เปิดแอป LINE ดูว่ามีใครทักมาหรือไม่ ในกลุ่มเพื่อนๆ คุยอะไรกัน จากนั้นก็เปิด Facebook ดูแจ้งเตือน ไถหน้า News Feed แล้วก็ปิดท้ายด้วยการเช็ค Instagram ว่ามีใครเข้ามากด Likes รูปแมวตัวโปรดที่เราเพิ่งอัปโหลดขึ้นไปบ้าง จนถึงตอนกลับบ้านระหว่างเดินทางบนรถ ผมก็ยังคงวนลูปกับกิจกรรมเช่นเดิมอยู่
ผมปล่อยให้สายตาของตนเองจมอยู่ในหน้าจอมือถือวันละหลายชั่วโมง
ผมลืมไปแล้วว่าเคยรู้สึกดีใจขนาดไหน เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น แล้วปลายสายคือเสียงเพื่อนที่โทรมาคุยด้วย
ผมลืมความรู้สึกที่ต้องรับกลับบ้านไปเปิดคอมเพื่อเปิด MSN ไปแชทกับเพื่อนๆ เพราะทุกวันนี้เราทำสิ่งนั้นได้ตลอดเวลาผ่านมือถือที่มีติดตัวเกือบทุกคน แต่น่าแปลกที่ความสะดวกสบายที่ทำให้เราติดต่อสื่อสารกันง่ายขึ้น กลับทำให้ผมรู้สึกห่างไกลกันมากกว่าเดิม
การสื่อสารที่สะดวกขึ้น กลับทำให้ความสัมพันธ์ลดลง
ทุกวันนี้ผมเจอเพื่อนน้อยลง การแชทบ่อยครั้งที่เป็นการส่งสติ๊กเกอร์เพื่อตอบกลับไปให้เพื่อนรู้ว่า "เออ อ่านแล้วนะ" สังคมในกลุ่มเพื่อนของผมดำเนินอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ จนไม่นานมานี้ผมเริ่มรู้สึกตัวว่า ไอที่เราเป็นกันอยู่เนี่ย มันแปลกนะ ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้สิ ซึ่งผมรู้สึกถึงความแปลกนี้เมื่อผมได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มด้วยกัน
ปัท (นามสมมติ) เป็นคนที่คุยสนุก เจอหน้ากันทีไรก็เม้าท์มอยกันสนุกสนานตามปกติ ไปเที่ยวด้วยกันก็เฮฮาดี แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งสังเกตพบคือ ปัทเป็นคนที่ไม่เคยตอบ LINE หรือโพสต์ Facebook เลย หากไม่ได้มีการนัดเจอกัน กล่าวได้ว่าปัทไม่เคยเข้ามาคุยอะไรเลย ส่วน Facebook นอกจากรูปที่ถูกเพื่อนๆ Tag มา ปัทไม่เคยโพสต์ ไม่เคยเช็คอินเลย
มันมีความรู้สึกเคืองเล็กน้อยเกิดขึ้นในใจ เพราะบางครั้งที่จะชวนเล่นเกมหรือไปไหน ผมต้องโทรไปทุกครั้ง (ก็ทักไลน์แล้วมันไม่ตอบ) เมื่อผมถามปัท คำตอบที่ได้ก็มีแค่ว่า "ก็โทรมาดิ xูไม่ได้เปิดแจ้งเตือนไว้ มันน่ารำคาญ ดังทั้งวัน" แต่ผมกลับมาอยู่คนเดียว หลังจากนั่งตกตะกอนอยู่สักพัก ผมก็ตั้งคำถามให้ตัวเองว่า "ในแต่ละวัน เราเสียเวลาให้ Social network เยอะเกินไปป่าววะ?"
ผมได้คำตอบให้ตัวเองว่า ผมกลัวที่จะไม่ได้คุยกับเพื่อน ผมกลัวว่าจะสูญเสียตัวตนในกลุ่มเพื่อนไป ทำให้ผมพยายามที่จะทำสิ่งที่ทุกคนทำ นั่นก็คือการเล่น Social network แต่ปัททำให้ผมรู้ว่า มันไม่เกี่ยวหรอก มิตรภาพมันไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น
ไม่เล่นโซเชียล ก็ไม่ทำให้เสียมิตรภาพ
ในขณะที่ทุกคนทานข้าว และพยายามถ่ายรูปอาหารให้ออกมาดูดีเพื่อเช็คอินว่าได้มาเหยียมร้านนี้แล้ว ปัทก็นั่งรออย่างใจเย็นคิดอะไรของมันไปเรื่อยเปื่อย รอจนเพื่อนถ่ายรูปจนเสร็จ แล้วมันค่อยเริ่มทานข้าว คุยเฮฮาตามปกติ ผมมองย้อนกลับไปเกิดเป็นความรู้สึกเกรงใจที่ทำให้เพื่อนบางคนต้องรอ
หรือครั้งหนึ่งที่พวกเราไปดูคอนเสริฐกัน ทุกคนต่างหยิบมือถือขึ้นมาอัดวิดีโอเพื่ออัปโหลดไปอวดบน Social network มาคิดตอนนี้ผมก็รู้สึกว่า ทำไมเราไม่ใช้เวลาในการเสพย์ดนตรีสด และบรรยากาศตรงหน้าให้เต็มอิ่ม แทนที่จะมามัวตั้งใจถ่ายคลิปเพื่อแชร์ลง Social network ด้วยนะ
ถึงตอนนี้ ด้วยหน้าที่การงานจะทำให้ผมไม่สามารถถอนตัวออกจาก Social network ได้ทั้งหมด แต่หลังจากผมได้เรียนรู้จาก "ปัท" ซึ่งหลังจากผมพยายามลดการใช้ Social network มาสักพัก ผมไม่รู้สึกว่าเสียอะไรไปนะ กลับรู้สึกว่าได้อะไรกลับมาด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็...เวลาล่ะ
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |