Life is like a box of chocolates. You never know what you're gonna get
ชีวิตก็เหมือนกับช็อคโกแลตหนึ่งกล่อง คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะเปิดมาได้รสอะไร
เมื่อวันที่ 6 กรกฏาคม 1994 ได้มีหนังเรื่องนึงที่ยังคงถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้ แถมยังเป็นหนังในดวงใจของใครอีกหลายคน กับเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่เริ่มต้นดำเนินชีวิตจากการ "วิ่ง" เขามีชื่อว่า Forrest Gump
หากมีใครสักคนมาให้เราแนะนำหนังดีๆ สักเรื่อง แน่นอนว่า Forrest Gump จะเป็นหนึ่งในหนังที่เราจะต้องแนะนำให้คนๆ นั้นได้ดูสักครั้งก่อนตาย จริงๆ ในตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าหนังเรื่องนี้มันดียังไง แต่พอได้ดูแล้วก็คงจะบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้มันก็คือกล่องช็อคโกแลตเนี่ยแหละ และรสชาติที่เราได้จากหนังเรื่องนี้เราก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะเรียกมันว่ารสอะไร เราบอกได้เพียงแต่ว่ามัน "กลมกล่อม"
Forrest Gump เป็นหนังที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 13 สาขา และคว้ารางวัลไปถึง 6 สาขาด้วยกัน
- Best Pictures (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
- Best Actor in a Leading Role (นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม)
- Best Writing, Screenplay Based on Material Previously Produced or Published (ดัดแปลงบทยอดเยี่ยม)
- Best Film Editing (ตัดต่อยอดเยี่ยม)
- Best Effects, Visual Effects (เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม)
ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะผ่านมาแล้วถึง 2 ทศวรรษกว่าๆ (25 ปี) แต่เรื่องราวทั้งหมดมันไม่เคยเก่าหรือล้าหลังสำหรับปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย เรื่องราวในทุกวินาทีของมัน ยังคงสามารถถ่ายทอดและนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตเราได้เสมอ
Forrest Gump เป็นหนังที่มีแทบทุกอย่างที่หนังเรื่องนึงควรจะมี ทั้ง ความรัก ตลก ดราม่า ชีวิต หนังถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นมาได้อย่าง "เรียบง่าย" และ "เข้าใจได้ไม่ยาก" แถมมันยังสนุกและน่าติดตาม เพียงแค่การบอกเล่าเรื่องราวย้อนต้นจากปากของ Forrest Gump กับเหล่าคนที่มานั่งข้างเขาที่ป้ายรถประจำทางเท่านั้น ตลอดทุกวินาทีของหนังมีความหมายหมด เต็มไปด้วยคำสอน คำคม และแนวทางในการใช้ชีวิตมากมาย รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ ในประวัติศาสตร์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการเดินทางในชีวิตของตัวเขาเอง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่ทำให้หนังมีเสน่ห์ และเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีกคือตัวนักแสดงที่รับบท Forrest Gump อย่าง Tom Hanks ชายผู้เล่นบทนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นเขาแน่นอน และต้องยอมรับเลยว่าเขาแบกหนังไว้ทั้งเรื่องจริงๆ ทั้งการแสดง และการเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงที่บริสุทธิ ทำให้ Forrest Gump กลายเป็นชายที่เราอยากจะเอาใจช่วยและเต็มเปี่ยมด้วยความหวังให้กับคนดู จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้
Robert Zemeckis คือผู้กำกับยอดอัจฉริยะ ที่สามารถสร้างหนังที่ทรงคุณค่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่ Back to the Future ที่ยอดเยี่ยมมากๆ แล้ว จนกระทั่งมาเรื่องนี้ที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน และทั้งสองได้รับเลือกจาก หอสมุดรัฐสภา ให้เก็บรักษาเอาไว้ในสภถาบัน National Film Registry ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็น “วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ หรือ ความสุนทรีย์ที่มีความสำคัญ”
ตลอดทั้งเรื่องหนังได้สอดแทรกแนวทางการใช้ชีวิตมามากมาย ผ่านคำสอนของแม่ Forrest Gump ที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเรื่องราวชีวิตที่เขาต้องเผชิญ "My mama always said..."
Life is like a box of chocolates. You never know what you're gonna get.
ชีวิตก็เหมือนกับช็อคโกแลตหนึ่งกล่อง คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะเปิดมาได้รสอะไร
ประโยคง่ายๆ ที่เข้าใจได้ไม่ยาก ถ้าสังเกตดีๆ Forrest ไม่เคยรู้มาก่อนว่าชีวิตจะพาเขาไปสู่จุดไหน แต่เขาก็พร้อมที่จะใช้ทุกชีวิตที่มันเป็นไป โดยไม่ตั้งคำถามกับมันสักนิด
บางคนอาจจะมองหารสที่ตัวเองชอบก่อนแล้วกินมัน บางคนอาจจะกินรสที่ตัวเองไม่ชอบก่อนเพื่อกินรสที่ตัวเองชอบทีหลัง แต่บางคนกินทุกรสไม่ว่ามันจะเป็นรสอะไรก็ตาม และนั่นคือสิ่งที่ Forrest ทำ
I've worn lots of shoes.
ผมสวมรองเท้ามาหลายคู่
ประโยคที่ Forrest ได้บอกเล่าให้กับหญิงผิวสีคนแรกฟังว่าเขาได้ "สวมรองเท้ามาหลายคู่" ในแง่นึงมันก็สื่อได้ว่าเขาได้สวมรองเท้ามาหลายคู่จริงๆ จากงานต่างๆ หรือหน้าที่ที่เขาทำ แต่ในอีกแง่ มันคือหน้าที่ ความรับผิดชอบที่เขาได้ "สวม" มันมาตลอด
จริงอย่างที่ Forrest กล่าว ชีวิตคนเราจวบจนถึงทุกวันนี้ สวมทั้งรองเท้าและความรับผิดชอบมามากมายเหลือเกิน ตั้งแต่เป็นเด็ก เรียนหนังสือ จนโตแล้วทำงาน เราได้ใส่รองเท้าที่ใส่แล้วสบายบ้าง ใส่แล้วเดินไม่สะดวกบ้าง และแน่นอนบางคู่ใส่แล้วเจ็บด้วยซ้ำ เราอาจจะต้องเปลี่ยนรองเท้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอคู่ที่เหมาะสมนั่นแหละ
Run Forrest Run!
วิ่ง ฟอร์เรสท์ วิ่ง!
คำสั้นๆ ของ Jennie หญิงผู้เป็นที่รักของ Forrest กลับเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายในชีวิตของเขา ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปหลังจากนั้น หลังจากเขาได้เริ่มต้น "วิ่ง" และตลอดทั้งเรื่องเราก็มักจะเห็นเขาวิ่งอยู่เสมอๆ แรกๆ เขาก็วิ่งเพียงเพราะคำพูดของคนที่เขารัก แต่ภายหลังเขาวิ่งเพราะเหตุผลง่ายๆ ว่า "เขารู้สึกอยากวิ่ง" เท่านั้น และนั่นแหละ เพราะบางครั้งชีวิตเราก็แค่อยากทำในสิ่งที่เราอยากทำ ไม่มีเหตุผลอื่นใดแค่เท่านั้นจริงๆ
I'm not a smart man, but I know what love is.
ผมไม่ใช่คนฉลาด แต่ผมรู้ว่าความรักคืออะไร
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างหนังสักเรื่องที่แสดงออกถึงคำว่า "รัก" Forrest Gump เนี่ยแหละ คือตัวแทนคำว่ารักบริสุทธิ์อย่างแท้จริงเลย เพราะตลอดทั้งเรื่องเขารักเพียงแต่ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือ Jenny ไม่ว่าเขาจะผ่านอะไรมา เขาจะนึกถึง Jenny เสมอ เขาพูดถึงชื่อเธอกว่า 40 ครั้งด้วยกัน ตัว Jenny เคยบอกเขาไว้ว่า "Forrest เธอไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร" แต่หารู้ไหม ว่าตัวของ Forrest เองรู้จักและรู้สึกกับคำนั้นมาตลอด แต่ทั้งเรื่องเขาไม่เคยพูดเลยว่าเขารัก Jenny จนกระทั่งเขามั่นใจและพูดมันออกมาในตอนท้ายเรื่อง
You got to put the past behind you before you can move on.
คุณต้องทิ้งอดีตไปข้างหลัง ก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้า
ถ้าจะให้คิดว่าทำไม Forrest ถึงเริ่มวิ่งจริงๆ น่าจะเป็นเพราะผิดหวังจากความรัก และนั่นเป็นประโยคง่ายๆ ที่แม่ของ Forrest สอนไว้ ดังนั้นเขาจึงหยุดวิ่ง ทิ้งเรื่องราวในอดีตเพื่อ move on ต่อไป
Is he smart or...(like me)
เขาฉลาด หรือว่า...
เป็นฉากที่กินใจมาก ฉากตอนที่ Forrest ได้เจอกับ Jenny อีกครั้ง และรับรู้ว่าเธอมีลูกแล้ว เธอได้ตั้งชื่อตามพ่อของเด็กว่า Forrest Gump ด้วยเหตุนั้นทำให้ตัวเขาช็อคไปสักแปบนึง เขาไม่เคยตั้งคำถามกับสิ่งใดเลยจนกระทั่งสิ่งนี้นี่แหละ แต่ไม่ใช่ว่าเพราะไม่แน่ใจว่าเป็นพ่อของลูกหรือเปล่านะ เพียงแต่เขากลัวว่าลูกจะเป็นเหมือนเขา เขาได้ถามเพียงแต่ว่า "Is he smart or...(like me)" ส่วนหลังเขาไม่ได้พูด แต่แน่นอนว่าเขารู้สึกแบบนั้นแน่นอน ที่เขาถามออกไป เหตุผลง่ายๆ คือเขา "รัก" และ "เป็นห่วง" ลูกของเขาเท่านั้นจริงๆ
I don't know if we each have a destiny or if we're all just floating around accidental like on a breeze.
ผมไม่รู้ว่าเราต้องลิขิตชีวิตตัวเองไหม หรือเราแค่ล่องลอยไปตามลม?
but I think maybe it's both. Maybe both get happenning at the same time.
แต่ผมคิดว่าไม่แน่อาจจะถูกทั้งคู่ ทั้งสองอย่างอาจจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
ประโยคที่ Forrest ได้กล่าวไว้หน้าหลุมศพของภรรยาอันเป็นที่รักของเขา Jenny ที่ขัดแย้งกันระหว่างแนวคิดของผู้หมวด Dan และคำสอนของแม่เขา แต่สุดท้ายเขาก็ตระหนักได้ว่า "ชีวิตเราต้องลิขิตเองและต้องไหลไปตามลมเรื่อยๆ"
ใช่แล้ว ประโยคนี้ตอบทุกอย่างของหนังเรื่องนี้หมดแล้ว...ตั้งแต่คำสอนแรกของแม่เลยทีเดียว เราไม่รู้ว่าชีวิตข้าหน้าต้องมาเจอกับอะไร ถ้าเจอแล้วเราก็ต้องยอมรับมันให้ได้ ขีดเขียนให้มันเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น และทำมันให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง
หนังเปิดเรื่องด้วย "ขนนก" ที่ปลิดปลิวไปตามแรงลม และนั่นคือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของชายที่ชื่อว่า Forrest Gump เพราะชายคนนี้ทำแทบจะทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา โดยที่เขาไม่เคยขัดขืน หรือตั้งคำถามกับมันว่าเขาทำไปทำไม เพราะเขาเชื่อว่าทุกอย่างมันก็ขึ้นก็ให้มันเกิดไป เราทำในสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
และหนังจบลงได้แบบสุขปนทุกข์ เขาส่งลูกขึ้นรถโรงเรียนและทิ้งท้ายประโยคไว้ว่า "I'll be right here" เพราะการเดินทางของเขาได้จบลงแล้ว ถึงแม้เขาจะโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของคนที่เขารักมากที่สุด แต่การเดินทางครั้งใหม่ของผลผลิตจาก ความรักและความห่วงใยของเขา Little Forrest Gump กำลังเริ่มต้นขึ้น และแน่นอนว่าเด็กน้อยคนนั้นต้องเติบโตมาได้เป็นอย่างดี ภายใต้การเลี้ยงดูของ Forrest Gump และเด็กคนนั้นจะเป็นขนนกที่ปลิดปลิวไปตามแรงรมดั่งที่ตัวเขาเป็นได้อย่างยั่งยืนเลยจริงๆ
ถึงแม้ Forrest Gump จะมีสติปัญญาที่ด้อยกว่าคนอื่น แต่เขาคือชายผู้มีหัวใจที่สมบูรณ์แบบ มองโลกในแง่ดี ไม่เคยตั้งคำถามกับสิ่งที่ทำ และไม่เคยรู้สึกย่อท้อต่อเหตุการณ์ที่เจอเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จะสัก 50 ปี 100 ปี เชื่อว่าทุกครั้งที่หยิบเรื่องนี้มาดู เราก็ยังคงต้องตกหลุมรักเรื่องนี้แบบเดิมๆ อยู่ดี
|
สบายสบายให้มันสมายเวลาสบายแล้วจะได้สบายสมาย... :) |