ความฝันเป็นสิ่งที่เกิดในตอนที่เราหลับ บางครั้งมันจะมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณกำลังใคร่ครวญอยู่ในช่วงนั้น สิ่งที่เราเห็นในโลกแห่งความฝันมักมีบุคคลที่สาม และสถานที่ที่เรารู้จักมาผสมปนเปกันไป มันเป็นโลกแห่งจินตนาการที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ
แต่เคยสงสัยไหมว่า คนที่ตาบอดตั้งแต่เกิด เขาฝันได้หรือไม่ แล้วถ้าได้ พวกเขาเห็นอะไรในความฝันบ้างหรือเปล่า
ภาพจาก https://flic.kr/p/71bMvo
ผลการศึกษาพบว่า เวลาที่เรานอนร่างกายจะมีปฏิกิริยาที่เรียกว่า Rapid eye movement (REM) มันเป็นสภาวะที่สมองตื่นตัวทำงานใกล้เคียงกับเวลาที่เราตื่นอยู่ ซึ่งความฝันมักจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ มันเหมือนกับสมอง "ฉายภาพยนตร์" ให้เราชมอยู่ในหัว เราสามารถรู้สึกได้ถึงสัมผัสทั้ง 5 อันประกอบไปด้วย การมองเห็น, ได้ยิน, ลิ้มรส, กลิ่น และสัมผัส เพียงแต่ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในความฝันเท่านั้นเอง เบื้องหลังการทำงานทั้งหมดนั้น มาจากสมองล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับดวงตาเลยแม้แต่นิดเดียว (ถ้ามีคนนอนฝันแล้วลืมตาโพลงคงน่ากลัวมากทีเดียว)
ความฝันเกิดจากการทำงานของสมอง ดังนั้นคนตาบอดก็สามารถฝันได้เช่นกัน
แต่ความฝันของคนตาบอดจะมีความแตกต่างไปจากคนสายตาปกติ อย่างที่เราบอกไว้ที่ย่อหน้าบน ความฝันของคนสายตาปกติจะเหมือนเราอยู่ในภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ในสมอง แต่คนตาบอดที่ไม่เคยเห็น "ภาพ" มาก่อนในชีวิต พวกเขาเห็นอะไรในความฝัน?
ภาพจาก https://flic.kr/p/E1jX7E
คำถามนี้สามารถตอบว่า ได้ และไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับว่าเขาตาบอดตั้งแต่เมื่อไหร่ ในกรณีเราจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
จากการศึกษาพบว่าคนที่ตาบอดตั้งแต่กำเนิดจะไม่เห็นอะไรเลยในความฝัน ส่วนผู้ที่ตาบอดก่อนอายุ 5 ขวบ ส่วนใหญ่ก็จะไม่เห็นอะไรเลยเหมือนกัน ในขณะที่ผู้ที่ตาบอดหลังอายุ 5 ขวบ จะมีภาพปรากฏในความฝันบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเขาตาบอดในตอนไหน หากมีเหตุให้ตาบอดตอนที่มีประสบการณ์ต่างๆ มีความทรงจำมากพอ ก็จะมีความฝันที่ไม่แตกต่างไปจากคนสายตาปกติ
ภาพจาก https://flic.kr/p/2VUE9R
นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลว่า สมองในส่วนที่จำเป็นต่อการสร้างภาพในความฝัน จะเริ่มต้นขึ้นหลังจากอายุผ่านพ้น 5-6 ปี มันจะเก็บข้อมูลสิ่งที่เคยเห็นเอาไว้ใช้สร้างภาพจำลองขึ้นในฝัน ทำให้แม้ว่าตาจะบอดหลังจากนั้นไปแล้ว สมองก็ยังมีข้อมูลสำหรับสร้างภาพให้ปรากฏขึ้นมาในฝันได้ แต่สำหรับคนที่ตาบอดตั้งแต่กำเนิด หรือตอนที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ มันเหมือนสมองไม่มีฐานข้อมูลเรื่อง "การมองเห็น" ทำให้ไม่สามารถสร้างภาพขึ้นมาในความฝันได้นั่นเอง
เรารู้แล้วว่า ในความฝันคนตาบอดก็มองไม่เห็นเหมือนในชีวิตจริง ดังนั้นสัมผัสที่มีในความฝันก็จะเหลืออยู่ 4 อย่าง คือ การได้ยิน, ลิ้มรส, กลิ่น และสัมผัส สิ่งเหล่านี้ทำให้ความฝันของพวกเขาแตกต่างไปจากคนทั่วไปที่อาจจะฝันเห็นหน้าคนรัก หรือการผจญภัยสุดเพ้อเจ้อ ฯลฯ ที่แน่ๆ คือ "สิ่งที่เห็น" เป็นองค์ประกอบหลักของความฝันสำหรับคนที่สายตาปกติ
นักวิจัยพบว่า ความฝันของคนตาบอดมักจะเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัส การเคลื่อนไหว, รสชาติ และกลิ่นมากกว่าคนที่สายตาปกติ ในกลุ่มอาสาสมัครเกินกว่าครึ่งได้ระบุว่าเขามักได้ยินในความฝันอยู่บ่อยๆ เรื่องน่าสนใจ คือ ผู้หญิงตาบอดมักจะฝันเกี่ยวกับกลิ่น และรสชาติ ในขณะที่ผู้ชายตาบอดมักฝันเกี่ยวกับเสียง และความเจ็บปวด
คนตาบอดฝันร้ายบ่อยกว่าคนสายตาปกติ
งานวิจัยพบว่าผู้ที่ตาบอดมักจะฝันร้ายบ่อยมากกว่าคนสายตาปกติถึง 4 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ตาบอดตั้งแต่กำเนิด ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเป็นผลมาจากที่คนตาบอดอาจจะมีประสบการณ์ที่อันตรายบ่อยครั้งกว่าที่คนสายตาปกติเผชิญ ส่งผลให้เกิดฝันร้ายง่ายขึ้น เรื่องน่าสนใจ คือ การฝันว่าสุนัขนำทางหายเป็นฝันร้ายที่คนตาบอดส่วนใหญ่มักจะเคยเจอ (ในต่างประเทศคนตาบอดนิยมใช้สุนัขนำทาง นอกเหนือไปจากการใช้ไม้เท้า)
ภาพจาก https://flic.kr/p/5xZmtn
อันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังเกี่ยวกับคนตาบอดอยู่ดี หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาว่าคนตาบอด หูจะดีกว่าปกติ หรือการหลับตาฟังจะช่วยให้ได้ยินเสียงได้ดียิ่งขึ้น ในโลกภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโรอย่าง Daredevil ที่ตาบอดก็ใช้พลังจากประสาทสัมผัสเหนือธรรมชาติในการปกป้องโลก แล้วในความเป็นจริงล่ะ?
คำตอบ คือ คนตาบอด "ส่วนใหญ่" ไม่ได้หูดีไปกว่าคนสายตาปกติหรอก เพียงแต่การฟังเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องใช้มันมากกว่าคนสายตาปกติ พวกเขาอาศัยการฟังเสียงเครื่องยนต์ในการระวังรถ ตั้งใจฟังล้อเสียดสีกับรางเพื่อให้รู้ว่ารถไฟกำลังเทียบชานชาลาหรือยัง ในขณะที่คนสายตาปกติจะไม่ใส่ใจรายละเอียดด้านเสียงมากเท่ากับการใช้สายตา
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่พบว่าสมองของคนตาบอดมีการเปลี่ยนแปลง สมองส่วนที่ต้องใช้ในการมองเห็นได้ถูก "ปล้น" ไปใช้ช่วยในการประมวลผลข้อมูลอื่นอย่างเช่น การได้ยิน และการสัมผัสแทน
มีคนตาบอดบางคนสามารถใช้เสียงสะท้อนในการสร้างภาพจำลองภาพของสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวได้ เหมือนกับเทคนิคที่ค้างคาว และปลาโลมาใช้ เทคนิคนี้เรียกว่า Echolocation โดยพวกเขาสามารถใช้ในการระบุว่าด้านหน้าของพวกเขามีสิ่งกีดขวางหรือไม่ แทนการใช้ไม้เท้า บางคนถึงขั้นเคลมว่าสามารถประเมินระยะ, ขนาด และพื้นผิวได้เลยทีเดียว ด้วยการใช้เสียงเดาะลิ้นสามครั้งแต่วินาที
Daniel Kish เป็นคนตาบอดที่เชี่ยวชาญเทคนิค Echolocation เป็นอย่างมาก เขาได้ออกรายการโทรทัศน์หลายรายการ พูดบนหลายเวที และก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร World Access for the Blind (WAFTB) เพื่อช่วยเหลือคนตาบอด และสอนเทคนิค Echolocation เพื่อให้คนตาบอดเดินทางได้สะดวกมากขึ้น
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |