ข้อดี | ข้อสังเกต |
ใช้งานง่าย รองรับการสั่งงานผ่านรีโมท/แอปพลิเคชัน เสียงการทำงานเบา ดูแลรักษาง่าย | ขนาดตัวเครื่องค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักมาก รองรับ Wi-Fi ระบบ 2.4G เท่านั้น ราคาสูง |
ในยุคนี้เมื่อพูดถึง “เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier)” ก็แทบจะกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกสิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนมีติดบ้านกันเสียแล้ว เพราะฝุ่นละอองและมลพิษในอากาศที่มีปริมาณสูงจนน่ากลัวนั้นก็กระทบการใช้ชีวิตของเราอยู่ไม่น้อย และการใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดทั้งวันก็ไม่ค่อยตอบโจทย์มากนัก เพราะหน้ากากอนามัยที่มีความสามารถในการกัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 นอกจากจะมีราคาที่สูงแล้วบางรุ่นยังใส่แล้วหายใจไม่สะดวกอีกต่างหาก ดังนั้น เครื่องฟอกอากาศจึงเป็นอุปกรณ์ตัวช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เพราะเครื่องฟอกอากาศนั้นมีความสามารถในการดูดอากาศภายในห้องเข้าไปในตัวเครื่องและปล่อยอากาศที่ผ่านการกรองแล้วมา ทำให้อากาศที่ไหลเวียนภายในห้องที่เปิดใช้งานเครื่องฟอกอากาศนั้นมีความสะอาดมากกว่าอากาศในพื้นที่อื่นๆ อยู่ค่อนข้างมาก
ทีนี้เรามาดูกันต่อเลยว่า ภายในบทความรีวิวฉบับนี้ มีเนื้อหาอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง ...
การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศนั้นก็ควรคำนึงถึงความสามารถในการกรองอากาศของเครื่องฟอกอากาศ ที่จะสามารถดูได้จากชนิดของ “ฟิลเตอร์” หรือแผ่นกรองอากาศภายในเครื่อง โดยแผ่นฟิลเตอร์นั้นจะมีการแบ่งเกรดตามความสามารถในการกรองอนุภาคขนาดเล็ก และหากยึดตามมาตรฐาน EN 1822 แล้วก็จะสามารถแบ่งเกรดแผ่นกรองอากาศได้ ดังนี้
แต่ถึงแม้ว่าจะมีการแบ่งมาตรฐานแผ่นกรองอากาศถึง U17 แต่ก็ยังไม่มีการพบเห็นว่ามีเครื่องฟอกอากาศชนิดใดที่ใช้ฟิลเตอร์กรองอากาศเกรด ULPA เนื่องจากราคาที่สูง และเพียงแค่ แผ่นกรองอากาศ HEPA ก็ถือว่าเป็นเกรดที่ได้รับการยอมรับจากสถานพยาบาลว่าเพียงพอต่อการใช้งานเพื่อกรองอากาศบริสุทธิ์และสามารถขึ้นทะเบียนเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เครื่องฟอกอากาศทั่วไปที่เรามักพบเห็นวางขายตามท้องตลาดส่วนมากนั้นก็มีการใช้งานแผ่นฟิลเตอร์เกรดทั่วๆ ไปเพื่อคุมราคาของเครื่องฟอกอากาศไม่ให้สูงจนเกินไป และมีเครื่องฟอกอากาศส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้ฟิลเตอร์ HEPA เกรด H13-H14 และเป็น เครื่องฟอกอากาศเกรดการแพทย์ ที่สามารถกรองอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และนอกเหนือไปจากเกรดของฟิลเตอร์แล้วนั้น “วัสดุ” ที่ใช้ในการผลิตกรอบฟิลเตอร์เองก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะทางศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ได้ระบุเอาไว้ว่า วัสดุยอดนิยมอย่างกระดาษ, ไม้ หรือ Styrofoam เมื่อใช้งานไประยะหนึ่งก็อาจสัมผัสกับความชื้นในอากาศที่เล็ดรอดผ่านตัวเครื่องเข้ามาจนก่อให้เกิดเชื้อราได้
ทาง CDC จึงได้ออกมาแนะนำว่าควรเลือกใช้วัสดุที่สามารถป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไม่ก่อให้เกิดการเติบโตของเชื้อราอย่างโลหะ (Metal) ในการผลิตกรอบฟิลเตอร์กรองอากาศเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน และแนะนำว่า ไม่ควรล้างแผ่นฟิลเตอร์ ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากมันจะทำให้มีประสิทธิภาพในการกรองอากาศที่ต่ำลงแล้ว ยังมีโอกาสที่สปอร์ของเชื้อราจะฝังติดอยู่ภายใน และทำให้เราอาจต้องสูดดมละอองเชื้อราจากแผ่นกรองอากาศแทนอากาศบริสุทธิ์ได้นั่นเอง
Airgle (อ่านออกเสียงภาษาไทยว่า "แอร์เกิล") เป็นแบรนด์เครื่องฟอกอากาศที่ได้รับประกาศนียบัตรการันตีคุณภาพจากหลายสถาบันทั่วโลกว่าเป็นเครื่องฟอกอากาศที่มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ CADR (Clean Air Delivery Rate) จากสมาคมผู้ผลิตเครื่องใช้ภายในบ้าน AHAM (Association of Home Appliance Manufacturers) ในระดับสูงสุดเป็นเวลา 12 ปีติดต่อกัน อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนว่าเป็น “อุปกรณ์ทางการแพทย์” จากองค์กรอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา FDA (Food and Drug Administation) อีกด้วย
Airgle AG600 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์จาก FDA พร้อมได้รับการการันตีจาก AHAM
ซึ่งเครื่องฟอกอากาศ Airgle รุ่น AG600 นี้ ไม่เพียงแต่จะใช้อลูมิเนียมเป็นวัสดุในการผลิตกรอบฟิลเตอร์ตามมาตรฐานการแนะนำของ CDC เท่านั้น ยังมีการใช้งานแผ่นฟิลเตอร์ H14 ที่ถือได้ว่าเป็นเกรดสูงสุดของ HEPA เพียงเจ้าเดียวในโลก ณ ตอนนี้ พร้อมด้วยการซีลสุญญากาศระหว่างแผ่นฟิลเตอร์และตัวเครื่อง จึงทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าไม่เพียงแต่จะได้อากาศที่บริสุทธิ์แล้ว เครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 ช่วยยังลดโอกาสที่จะเกิดเชื้อราภายในตัวเครื่องได้อีกด้วยเช่นกัน
ขนาดตัวเครื่อง (รวมล้อ) Dimension (With Wheel) | 520 x 380 x 390 มม. |
ขนาดตัวเครื่อง (ไม่รวมล้อ) Dimension (Without Wheel) | 460 x 380 x 390 มม. |
วัสดุหลัก Material | อลูมิเนียม |
น้ำหนัก Weight | 16 กิโลกรัม |
Gas & Odor Filter | 1.6 กิโลกรัม |
HEPA Filter | cHEPA 2.4 ตร.ม. |
แท่ง Titanium Pro UV Titanium Pro UV Module | 10 W, UVC |
อัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ (CADR) ตามมาตรฐาน AHAM และ GB/T (ลบ.ม./ชม.) AHAM and GB/T Clean Air Delivery Rate (m3/hr) | ควัน 325 |
พื้นที่ครอบคลุม (ต่อ 12 นาที / 5 ACH) Area covers per 12 min ; 5 ACH | 296 ตร.ฟุต |
พื้นที่ครอบคลุม (ต่อ 20 นาที / 3 ACH) Area covers per 20 min ; 3 ACH | 493 ตร.ฟุต |
พื้นที่ครอบคลุม (ต่อ 30 นาที / 2 ACH) Area covers per 30 min ; 2 ACH | 740 ตร.ฟุต |
ความแรงพัดลม [1-5] Speed | |
อัตราการส่งอากาศ (ลบ.ม./ชม.) Air Delivery (m3/hr) | 65 / 112 / 196 / 280 / 386 |
ระดับเสียง | 33 / 41 / 50 / 58 65 dB |
การใช้พลังงาน | 18 / 22 / 29 / 39 / 56 W |
เครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 นี้สามารถใช้งานเพื่อฟอกอากาศภายในห้องได้ที่พื้นที่สูงสุดถึง 70 ตารางเมตร และถือได้ว่าเป็น “เครื่องฟอกอากาศเกรดการแพทย์” ที่มีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศสูงด้วยแผ่นกรองถึง 3 ชั้น ผสานกับนวัตกรรมการกำจัดเชื้อโรคด้วย UVC จึงทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าอากาศที่ไหลเวียนภายในห้องจะเป็นอากาศบริสุทธิ์อย่างแน่นอน โดยรายละเอียดของแผ่นกรองอากาศ และฆ่าเชื้อโรคชั้นต่างๆ ที่มีอยู่ดังต่อไปนี้
ส่วนนี้จะเป็นตะแกรงกรองสำหรับดักจับอนุภาคขนาดใหญ่ เช่น เส้นผม, ขนสัตว์ หรือฝุ่นละอองขนาดใหญ่ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ภาพจาก : https://www.airglethailand.com/ag500-900?lang=en
ผลิตจากถ่านกัมมันต์กะลามะพร้าว ก็สามารถดูดซับสารฟอร์มาลดีไฮด์, ไนโตรเจน, สารระเหย, VOCs, สารก่อมะเร็ง, ควันต่างๆ และกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปจากอากาศได้ถึง 564 ลบ.ม./ชม. (ตามการวัดค่า CADR) และสูงกว่าระดับ F4 (กำจัดสารฟอร์มาลดีไฮด์ได้มากกว่า 1,500 มิลลิกรัมตามการตรวจวัดค่า CCM)
หรือแผ่นกรอง HEPA เกรด H14 ของแบรนด์ Airgle นี้ ไม่เพียงแต่จะสามารถกรองและดักจับมลพิษที่มีขนาดเล็กถึง 0.003 ไมครอน (ระดับเดียวกับที่ใช้งานในห้องปลอดเชื้อ) เท่านั้น แต่มันยังได้รับการรับรองจากสถาบัน LMS ว่าเป็นแผ่นฟิลเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการกรองที่มากกว่าแผ่นกรอง HEPA เกรด H14 โดยทั่วไปอีกด้วย (cHEPA มีความสามารถในการกรองฝุ่นได้ถึง 99.999% ในขณะที่ HEPA เกรด H14 ทั่วไปสามารถกรองได้ที่ 99.995%)
แผ่น cHEPA ที่ได้รับการรับรองว่าสามารถกรอง อนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 99.999%
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีแท่ง Titanium Pro UV เทคโนโลยีการฆ่าเชื้อด้วย UVC ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกา ด้วยหลอดไฟ UV ภายในตัวเครื่องจะเคลือบด้วยไททาเนียมไดออกไซด์ระดับนาโนที่ก่อให้เกิดออกซิไดซ์ไฮดรอกซิลแบบเข้มข้นภายใต้แสง UV ช่วยกำจัดสารฟอร์มาลดีไฮด์, สารระเหย, กลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมทั้งย่อยสลายเชื้อไวรัสและแบคทีเรียขนาด 0.01 ไมครอนได้ถึง 99.9999%
ซึ่งตัวแท่ง Titanium Pro UV นี้จะใช้ PCO (Photocatalytic Oxidation) ในการการฆ่าเชื้อที่อาจเล็ดรอดออกมาจากแผ่น HEPA เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนส่งผ่านอากาศบริสุทธิ์ออกไปให้กับผู้ใช้ และการฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV (UV Sterilization) นี้ก็ได้รับการยอมรับจาก CDC ว่าเป็นเทคโนโลยีการฆ่าเชื้อที่ดีและทันสมัยที่สุดในตอนนี้เลยทีเดียว
ภาพจาก : https://www.airglethailand.com/ag600?lang=en
นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองจากคณะกรรมการทรัพยากรทางอากาศของแคลิฟอร์เนีย CARB (California Air Resources Board) อีกด้วยว่าเป็นเครื่องฟอกอากาศที่ ไม่ก่อให้เกิดโอโซน (Zero O3) ในอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของผู้ใช้ได้
และไม่เพียงแต่จะสามารถฟอกอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น เครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 นี้ยังได้รับการรับรองจากสถาบัน Energy Star ว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานสูง โดยกินไฟเท่ากับการเปิดใช้งานไฟ LED เพียงแค่ 1 ดวง
อีกทั้งยังใช้งานมอเตอร์ที่มีการทำงานเงียบเป็นพิเศษ (ระดับความดังอยู่ที่ 33-65 dB เท่านั้น) จึงเหมาะกับการใช้งานในห้องนอน, ห้องทำงาน หรือสถานที่ที่ต้องการความเงียบได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากมอเตอร์พัดลมที่นำเข้าจากเยอรมนีแล้ว วัสดุส่วนอื่นๆ ก็นำเข้าจาก USA ทุกชิ้นและได้ใบรับรองมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งานจาก ETL อีกด้วย
ด้วยประสิทธิภาพการกรองและฆ่าเชื้อที่ปะปนมากับอากาศทำให้ เครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 นี้เหมาะกับการใช้งานทั้งในบ้าน, สำนักงาน, โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่ต้องการควบคุมคุณภาพอากาศให้สะอาดอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานภายในห้องทันตกรรมและห้องผ่าตัดได้ด้วยการต่อ Flex เพิ่มเติมเพื่อดูดละอองฝอยระหว่างทำหัตถการ ช่วยลดการกระจายของเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี
ภาพจาก : https://www.airglethailand.com/ag500-900?lang=en
อุปกรณ์ภายในกล่องของ เครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 นี้ก็ประกอบไปด้วย ตัวเครื่องฟอกอากาศ, ล้อเลื่อน, รีโมทควบคุม (พร้อมถ่าน - ใช้ถ่านกระดุมกลมใหญ่), คู่มือการใช้งาน และใบรับประกันที่ผู้ใช้ต้องกรอกข้อมูลลงทะเบียนรับประกันแบบออนไลน์ผ่านการสแกน QR Code และต้องทำการลงทะเบียนภายใน 10 วันนับจากการซื้อสินค้าเท่านั้น โดยระยะการรับประกันสินค้ารุ่นนี้จะอยู่ที่สูงสุดถึง 3 ปี
ตัวเครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 มีลักษณะคล้าย “กล่อง” สีเงินขนาดใหญ่ที่มีดีไซน์เรียบง่าย ทำให้สามารถวางร่วมกับของใช้อื่นๆ ภายในห้องได้อย่างไม่ขัดตา แต่เนื่องด้วยขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักมาก (หนักถึง 16 กิโลกรัมเลยทีเดียว) มันจึงมาพร้อมกับล้อพลาสติกที่มีความแข็งแรงและสามารถหมุนได้แบบ 360 องศา ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายไปยังห้องต่างๆ ได้อย่างสะดวก และล้อพลาสติกนี้ยังสามารถติดตั้งได้ง่ายๆ เพียงเสียบเข้ากับช่องเสียบล้อด้านล่างตัวเครื่องเท่านั้น (ไม่มีเกลียวหมุน ล้อยึดแน่นด้วยซิลิโคน)
โดยบริเวณด้านหน้าตัวเครื่องก็ประกอบไปด้วยหน้าจอแสดงผลและแผงควบคุมที่สามารถกดปรับระดับความแรงลม, ตั้งเวลาเปิด - ปิดเครื่องล่วงหน้า หรือตั้งค่าการทำงานด้านต่างๆ ของตัวเครื่องได้ ถัดลงไปเป็นช่องลมปล่อยอากาศบริสุทธิ์ที่ผ่านการกรองแล้วออกมา
ด้านขวาของตัวเครื่องจะมีเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ (สามารถแกะออกมาเช็ดทำความสะอาดได้)
ด้านบนและด้านซ้ายของตัวเครื่องก็สามารถรองรับน้ำหนักได้สูงสุดราว 15 - 20 กิโลกรัม ทำให้ผู้ใช้สามารถวางตั้งเพื่อใช้งานแทนชั้นวางของภายในห้อง หรือจัดวางซ้อนบนชั้นเพื่อประหยัดพื้นที่ภายในห้องก็สามารถทำได้เช่นกัน
สำหรับด้านหลังจะเป็น Pre Filter หรือแผ่นตะแกรงกรองสำหรับเส้นผม, ขนสัตว์ หรือฝุ่นละอองต่างๆ ก่อนดูดอากาศเข้าไปฟอกภายในเครื่อง ซึ่งถ้าหากดึงฝาหลังของตัวเครื่อง (Pre Filter) ออกมาก็จะพบกับแผ่นกรองคาร์บอน (Gas & Odor Filter), แผ่น cHEPA Filter ที่ยึดติดกับตัวเครื่องด้านในแบบสุญญากาศ และแท่ง Titanium Pro UV
ในส่วนของการใช้งาน เครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 นี้ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานได้ 3 ช่องทาง ทั้งจากบริเวณแผงควบคุมหน้าตัวเครื่อง, รีโมทคอนโทรล หรือสั่งงานผ่านแอปพลิเคชันก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยมาเริ่มกันที่ละส่วนเลย
โดยการใช้งานแผงควบคุมหน้าตัวเครื่องนี้ เมื่อผู้ใช้หมุนบิดปุ่มควบคุม [airgle] ก็จะเป็นการเปิดเครื่อง และสามารถปรับระดับความแรงของพัดลมได้ตามต้องการตั้งแต่ระดับ 1 - 5 ซึ่งปุ่มควบคุมนี้สามารถหมุนได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว
เมื่อเปิดการใช้งานเครื่องแล้วจะสังเกตได้ว่าหน้าจอแสดงผลจะปรากฏค่าต่างๆ ขึ้นมา ดังต่อไปนี้
ด้านบนสุดจะเป็นแถบ Air Quality ที่แสดงผลคุณภาพอากาศภายในห้องที่วัดได้จากเซนเซอร์ข้างตัวเครื่อง
ระบุอายุใช้งานของแผ่นกรอง (ทั้งอายุของแผ่นคาร์บอนและ cHEPA) ซึ่งหากแถบ Filter Life นี้ลดจนเหลือแถบสุดท้ายและเริ่มกระพริบก็แสดงว่าอายุการใช้งานของแผ่นกรองเริ่มเสื่อมสภาพและควรถอดเปลี่ยนใหม่แล้ว โดยการเปลี่ยนแผ่นกรองนี้แนะนำให้เปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 2 ชนิดเพื่อประสิทธิภาพในการกรองอากาศที่ดี
จะมีการใช้งานทั้งหมด 3 ระดับ (Low-Moderate-High) สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ใช้งานในบ้านหรืออาคารสำนักงานที่ไม่ได้มีคนพลุกพล่านแนะนำให้ใช้โหมด Low แต่หากเป็นในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลก็แนะนำให้ใช้โหมด Moderate หรือ High
ด้านขวาจะมีตัวเลขแสดงความแรงลม (Speed) ตั้งแต่ระดับ 1 - 5 ส่วน Timer ด้านล่างจะแสดงเวลาตั้งเปิด-ปิดเครื่อง (หากไม่ได้ตั้งเวลาไว้จะแสดงผลเป็นเลข 00.00) และไอคอนรูปหลอดไฟด้านล่างจะปรากฏขึ้นเมื่อเปิดการใช้งานแท่ง Titanium Pro UV (หากไอคอนเริ่มกระพริบก็ควรเปลี่ยนแท่ง UV)
สำหรับปุ่มควบคุมบริเวณด้านหน้าของตัวเครื่องก็จะประกอบไปด้วย
สำหรับตั้งเวลาเปิด - ปิดเครื่อง โดยสามารถตั้งเวลาได้สูงสุดถึง 12 ชั่วโมง และหากกดที่ปุ่ม Timer ค้างก็จะเป็นการปรับระดับ Control Setting
ที่สามารถกดเพื่อปรับการตั้งค่าความแรงลมได้ทั้งแบบ Auto (อัตโนมัติ) และ Manual (หมุนปรับด้วยตนเอง) และ Sleep (ปิดแสงหน้าจอ) โดยเมื่อเปิดใช้โหมด Auto จะมีตัวอักษรขึ้นบริเวณมุมขวาบนบริเวณจอแสดงผล และเครื่องจะปรับ Speed พัดลมเป็นเบอร์ 3 ก่อนปรับลดลงมาเป็นเบอร์ 1 หรือถ้ากดที่ Mode ค้างไว้ก็จะเป็นการเปิด - ปิดการใช้งานของแท่ง Titanium Pro UV
ปุ่ม Reset หรือปุ่มล้างการตั้งค่า จะอยู่ที่ด้านล่างสุดใช้เฉพาะหลังจากการเปลี่ยนฟิลเตอร์หรือกดเพื่อเชื่อมต่อการใช้งานเข้ากับแอปพลิเคชันเท่านั้น
ตัวรีโมทคอนโทรลของ Airgle จะมีทั้งหมด 4 ปุ่ม ได้แก่
โดยรวมๆ แล้วก็มีฟังก์ชันการทำงานที่เหมือนกับปุ่มควบคุมที่หน้าเครื่อง (สามารถกดค้างเพื่อตั้งค่าใช้งานได้) ซึ่งด้วยการใช้งานระบบอินฟราเรด ทำให้มีระยะการสั่งการที่ไกลถึง 10 เมตรเลยทีเดียว
สำหรับการเชื่อมต่อตัว เครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 เข้ากับแอปพลิเคชันนั้นก็สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน Airgle (ทั้งระบบ Android และ iOS) ผ่าน Wi-Fi ในระบบ 2.4G เท่านั้น โดยหลังจากติดตั้งแอปพลิเคชันเรียบร้อยให้ทำการลงทะเบียนการใช้งานแอปพลิเคชันด้วยอีเมล
เมื่อลงทะเบียนสำเร็จก็จะสามารถเพิ่มอุปกรณ์ (เครื่องฟอกอากาศ) ได้โดยการกดไปที่ Add Device หรือกดที่เครื่องหมาย [+] จากนั้นเลือกรุ่นของเครื่องฟอกอากาศที่ต้องการเชื่อมต่อ (หรือกดที่ Auto Scan เพื่อสแกนค้นหาอุปกรณ์ผ่านแอปพลิเคชันก็ได้เช่นกัน)
โดยเมื่อเริ่มการเชื่อมต่อเครื่องกับแอปพลิเคชันจะต้องปิดเครื่องก่อน จากนั้นกด "ปุ่ม Reset" ด้านหน้าตัวเครื่องค้างไว้เพื่อให้เครื่องเชื่อมต่อ Wi-Fi และเมื่อมีสัญลักษณ์ Wi-Fi ปรากฏขึ้นให้สังเกตการกระพริบ หากกระพริบช้าให้กดที่ Reset ค้างอีกรอบ จะเห็นว่า Wi-Fi เริ่มกระพริบเร็วขึ้น
จากนั้นกรอกรหัส Wi-Fi (2.4G) เพื่อทำการเชื่อมต่อ และเมื่อเชื่อมต่อสำเร็จแล้วก็จะสามารถใช้งานแอปพลิเคชันแทนรีโมทคอนโทรลระยะไกลได้แล้ว โดยภายในแอปพลิเคชันจะแบ่งออกเป็น 2 หน้า คือ
หน้า Data ใช้แสดงผลคุณภาพอากาศภายในห้อง ที่จะมีแถบอายุการใช้งานของแผ่นฟิลเตอร์และแท่ง Titanium Pro UV ระบุอยู่ด้านล่างด้วย
หน้านี้จะเป็นการควบคุมและตั้งค่าที่สามารถแตะบริเวณคำสั่งและปรับค่าเพื่อสั่งงานตัวเครื่องได้คล้ายกับการกดปุ่มด้านหน้าเครื่อง (และรีโมท) ซึ่งการตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่องภายในแอปพลิเคชันนั้นจะสามารถกำหนดช่วงเวลาเป็นนาที หรือเลือกตั้งตารางเวลาตามวันเวลาที่ต้องการและเพิ่มโน้ตหมายเหตุได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ภายในแอปพลิเคชันจะมีฟังก์ชัน Child Lock ที่เมื่อเปิดการทำงานจะขึ้นตัวอักษร L บริเวณหน้าจอและไม่สามารถใช้งานแผงควบคุมได้
และภายในแอปพลิเคชันนี้ผู้ใช้ยังสามารถเลือกเปลี่ยนชื่อหรือรูปอุปกรณ์ได้ตามต้องการ รวมทั้งสามารถแชร์อุปกรณ์ให้ผู้อื่นสามารถสั่งการเครื่องฟอกอากาศได้จากระยะไกลโดยไม่ต้องทำการเชื่อมต่อกับตัวเครื่องโดยตรง เพียงแค่กรอกอีเมลของผู้ใช้ที่ต้องการเพิ่มสิทธิการใช้งานเข้าไปเท่านั้น โดยผู้ใช้อีกคนจะต้องมีบัญชี Airgle จึงจะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ในลักษณะนี้ได้ แต่จะไม่สามารถตั้งค่าชื่อหรือเปลี่ยนรูปอุปกรณ์ได้เหมือนกับแอคเคาท์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องโดยตรง
ในส่วนของการดูแลรักษาตัวเครื่องก็ไม่ยุ่งยาก เพราะวัสดุภายนอกตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมทั้งหมด จึงทำให้สามารถใช้ ผ้าชุบน้ำเช็ดรอบตัวเครื่อง ได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาพลาสติกกรอบหรือลอกหลุดแต่อย่างใด และเนื่องด้วยเทคโนโลยีซีลสุญญากาศจึงทำให้ไม่มีฝุ่นละอองหรือความชื้นเล็ดรอดเข้าไปในตัวเครื่อง หมดปัญหาเรื่องการเกิดเชื้อราและฝุ่นละอองเกาะติดตามแผ่นฟิลเตอร์และมอเตอร์เครื่อง
ผู้ใช้เพียงแค่คอยสังเกตอายุการใช้งานของฟิลเตอร์และแท่ง Titanium Pro UV บริเวณด้านหน้าตัวเครื่องหรือภายในแอปพลิเคชันและเปลี่ยนตามอายุการใช้งานเท่านั้น โดยทางผู้ผลิตระบุว่าอายุการใช้งานฟิลเตอร์จะอยู่ที่ราว 12 - 16 เดือน ส่วนแท่ง Titanium Pro UV มีอายุใช้งานเฉลี่ยราว 6,000 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับการเปิดใช้งานของผู้ใช้ด้วย)
โดยการ ถอดเปลี่ยนฟิลเตอร์ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปิดเครื่องและดึงฝาด้านหลังของตัวเครื่อง (Pre Filter) ออกมา จากนั้นทิ้งเวลาระยะหนึ่งเพื่อให้สุญญากาศคลายตัวและดึงแผ่นฟิลเตอร์อันเก่าออกมาแล้วเปลี่ยนฟิลเตอร์อันใหม่เข้าไป (แผ่น cHEPA จะต้องอยู่ด้านในเสมอ สามารถสังเกตได้จากซีลบริเวณกรอบฟิลเตอร์)
ส่วนการเปลี่ยนแท่ง Titanium Pro UV ก็ให้ผู้ใช้ทำวิธีเดียวกับการเปลี่ยนฟิลเตอร์ โดยเมื่อดึงแผ่นฟิลเตอร์ออกมาก็สามารถทำการเปลี่ยนใส่แท่ง Titanium Pro UV อันใหม่เข้าไปได้เลย จากนั้นปิดฟิลเตอร์และตัวเครื่องก็เป็นอันเรียบร้อย
ซึ่งหลังจากการถอดเปลี่ยนฟิลเตอร์หรือแท่ง Titanium Pro UV นั้น ผู้ใช้จะต้องกด "ปุ่ม Reset" ด้านหน้าตัวเครื่องเพื่อปรับการทำงานของระบบด้วยทุกครั้ง
จากการใช้งาน เครื่องฟอกอากาศ Airgle AG600 นี้ก็พบว่าเสียงการทำงานของตัวเครื่องค่อนข้างเบา และหลังจากเปิดใช้ไประยะหนึ่งคุณภาพอากาศในห้องก็ดีขึ้น (สังเกตได้จากแถบ Air Quality) ทำให้หายใจสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังใช้งานง่ายและมีฟังก์ชันการทำงานที่ครบครัน สามารถตั้งเวลาการทำงานล่วงหน้าและควบคุมผ่านรีโมทหรือแอปพลิเคชันได้ และยังทำความสะอาดได้ง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาจุกจิกในการใช้งาน เรียกได้ว่าลงทุนซื้อเครื่องเพียงครั้งเดียวและคอยเปลี่ยนฟิลเตอร์ตามอายุการใช้งานก็เพียงพอแล้ว
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |