หลังจากที่ทาง Canon ได้ปล่อยกล้อง DSLR ระดับกึ่งโปรรุ่น EOS 70D ไปในปี 2013 หลังจากนั้นก็เว้นระยะห่างมาเกือบ 3 ปี จึงได้ฤกษ์เปิดตัวกล้องระดับกึ่งโปรรุ่นล่าสุด EOS 80D ที่เราได้รับมาทำการรีวิวในครั้งนี้ เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า Canon ไม่ได้ออกกล้องรุ่นใหม่พร่ำเพรื่อ และถ้ามีรุ่นใหม่ออกมา ย่อมต้องมีพัฒนาการที่เด่นชัดขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งหมัดเด็ดไม้ตายที่ EOS 80D เตรียมไว้มัดใจมืออาชีพที่ต้องการขยับกล้องของตนให้ดีขึ้นอีกระดับก็มี อาทิ ระบบโฟกัสแบบ Cross Type 45 จุด ที่โฟกัสได้อย่างรวดเร็วในสภาพแสงที่หลากหลาย มีช่องเสียบหูฟังทำให้รองรับงานถ่ายวิดีโอได้อย่างจริงจัง ความละเอียดภาพที่เพิ่มมากขึ้น และช่องมองภาพที่ใหญ่เต็มตา มองเห็นเฟรมภาพครบ 100% ทำให้จัดองค์ประภาพได้สมบูรณ์แบบกว่าเดิม โดยทาง Canon วางตำแหน่ง EOS 80D ให้เป็นกล้อง DSLR สำหรับตากล้องฟรีแลนซ์ที่รับงานถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ รวมถึงโปรดักซ์ชั่นเฮ้าส์ขนาดเล็กที่ต้องการงานระดับคุณภาพ ในราคากล้องที่ไม่แพงเกินเอื้อม
คุณสมบัติของกล้อง CANON EOS 80D
(ข้อมูลจาก https://www.usa.canon.com/internet/portal/us/home/products/details/cameras/dslr/eos-80d)
คลิปวิดีโอ รีวิว CANON EOS 80D กล้อง DSLR ระดับกึ่งโปร ที่รองรับการใช้งานในระดับมืออาชีพ
เรือนร่าง Canon EOS 80D
ดีไซน์ของ EOS 80D ดูบึกบึนตามสไตล์กล้อง DSLR ระดับกึ่งโปรจากค่าย Canon แต่ก็ได้มีการปรับขนาดตัวกล้องให้เล็กและเบากว่ากล้องรุ่นก่อนอย่าง 70D อยู่เล็กน้อย และบอดี้กล้องผลิตจากวัสดุพลาสติก Poly ที่ดูแข็งแรงดี มิติตัวกล้องใหญ่จับกระชับมือ บนตัวกล้องก็มีปุ่มปรับตั้งค่าการถ่ายให้ใช้งานได้เยอะตามสไตล์กล้องสำหรับมืออาชีพ เป็นข้อดีให้เซ็ตค่ากล้องได้ไว แต่สำหรับมือใหม่อาจจะงงกับปุ่มจำนวนเยอะๆ ในระยะแรก ว่าปุ่มไหนใช้ทำอะไร แต่ถ้าได้ลองหัดเล่นหัดถ่ายไปเรื่อยๆ ก็จะชินกับกล้องในที่สุดครับ
กล้องที่เราได้รับมาทดสอบ มาพร้อมกับเลนส์คิทรุ่นล่าสุด EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano) เป็นเลนส์ที่ออกแบบมาเพื่อการถ่ายวิดีโอด้วยระบบซูมเงียบไม่มีเสียงรบกวน ไม่ต้องกังวลว่าเวลาใช้ถ่ายวิดีโอจะเจอเสียงออโต้โฟกัสเข้ากล้องตอนถ่ายแน่นอน และยังโฟกัสได้รวดเร็วดีมากๆ แถมยังเป็นเลนส์คิทที่ให้ระยะซูมเอนกประสงค์ ใช้ตัวเดียวเที่ยวทั่วโลกได้สบายๆ
เรามาดูส่วนประกอบต่างๆ ของกล้องรุ่นนี้กันครับ
จอ LCD มีปุ่มเปิดไฟ Backlite สีส้ม ทำให้ตรวจสอบค่าการถ่ายภาพจากจอ LCD ขาวดำได้ดีในสภาพแสงน้อย
ขอบข้างของปุ่มลูกบิดเลือกโหมดการถ่ายภาพ ได้มีการหุ้มยางเอาไว้เพื่อความถนัดในการบิดหมุน ให้ความรู้สึกที่หรูหราดีทีเดียว
จอ LCD แบบสัมผัสขนาด 3.0 นิ้ว การเล็งถ่ายผ่านจอ LCD แบบ Live view สามารถแตะเลือกจุดที่ต้องการโฟกัสบนหน้าจอได้เลย สะดวกมากๆ และด้วยระบบเซ็นเซอร์แบบ Dual Pixel CMOS AF ที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญ ทำให้กล้องตัวนี้สามารถหาโฟกัสกับการเล็งถ่ายผ่านจอ LCD ได้รวดเร็วมากๆ ใครเคยใช้กล้อง Mirrorless หรือ DSLR ระดับราคาย่อมเยาที่โฟกัสผ่านจอ LCD ได้ช้า ต้องมาลองเล่น 80D รับรองว่าประทับใจแน่นอนครับ และระบบจอ LCD แบบสัมผัส ก็ยังทำให้การปรับตั้งค่าต่างๆ ของตัวกล้องทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้นด้วย
จอ LCD พลิกหมุนได้ของ Canon EOS 80D ทำให้การถ่ายภาพในมุมก้มและมุมเงยเป็นเรื่องง่าย สร้างสรรค์มุมมองภาพได้หลากหลาย แถมยังหันจอกลับไปด้านหน้าเพื่อถ่ายเซลฟี่ได้ด้วยนะ
อีกจุดที่ชอบ EOS 80D คือคุณภาพของจอ LCD ที่ให้ภาพสว่าง การแสดงผลละเอียดคมชัด สามารถใช้เล็งถ่ายแบบ Live view ในสภาพกลางแจ้งที่มีแดดได้ดีเลย ตอบโจทย์ตากล้องที่ไม่ชอบเล็งถ่ายผ่านช่องมองภาพ และยังใช้ตรวจสอบภาพ หรือเช็คภาพชัดภาพเบลอได้ดี ทำให้ถ่ายซ่อมได้ทัน
อีกหนึ่งข้อดีของกล้อง DSLR ระดับกึ่งโปรอย่าง EOS 80D คือนอกจากจะรองรับการติดตั้งแฟลชตระกูล Speedlite แล้ว ก็ยังมีแฟลชหัวกล้องทีมีค่า Guide Number 12m มาให้ ทำให้ตากล้องเอาตัวรอดได้ในบางสถานการณ์ที่ตัวแฟลชแยกเกิดปัญหาแบตเตอรี่หมด หรือในวันที่ลืมเอาแฟลชแยกไป และตอบโจทย์ตากล้องระดับสมัครเล่นที่ไม่อยากติดแฟลชอันใหญ่ๆ ได้เป็นอย่างดี
กล้องที่เราได้รับมาทดสอบ มาพร้อมกับแบตเตอรี่รุ่น LP-E6N ขนาดความจุกระแส 1,865mAh และจากสเปกระบุว่า สามารถใช้กับแบตเตอรี่รุ่นเดียวกับของกล้องรุ่นก่อนหน้าอย่าง EOS 70D (LP-E6) ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ทีมีความจุสูงกว่าได้ด้วย และกับการลองออกทริปถ่ายภาพด้วย EOS 80D กับแบตเตอรี่ LP-E6N แบบเน้นถ่ายภาพนิ่งผ่านช่องมองภาพเป็นหลัก และถ่ายคลิปวิดีโอบ้างนิดหน่อย มีเปิดเช็คภาพ ลบภาพเป็นช่วงๆ ก็ต้องต้องบอกว่าแบตอยู่ครบวันได้แบบสบายๆ ครับ
อีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดของ Canon EOS 80D คือนอกจากจะมีช่องเสียบไมค์นอกสำหรับการถ่ายทำวิดีโอแล้ว ก็ยังเพิ่มมีช่องเสียบหูฟังมาให้ด้วย ทำให้สามารถมอนิเตอร์เสียงขณะถ่ายวิดีโอได้เลย ว่าเสียงเข้าเทปหรือไม่ เสียงดังเสียงเบาขนาดไหน และยังใช้ฟังเสียงจากไฟล์วิดีโอถ่ายที่เก็บไว้ในกล้องได้ด้วย บอกเลยว่าเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่ต้องการใช้งานถ่ายวิดีโอแบบจริงจัง
จุดโฟกัส Cross Type 45 จุด และถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 7 ภาพต่อวินาที
สิ่งที่ Canon EOS 80D ได้รับการยกเครื่องมาใหม่ คือ เรื่องของจุดโฟกัสเพื่อการเล็งถ่ายผ่านช่องมองภาพ ที่มีจุดโฟกัสให้เลือกใช้ถึง 45 จุด และเป็นจุดโฟกัสแบบ Cross-type ทั้งหมด (EOS 70D มีจุดโฟกัส Cross-type 19 จุด) ด้วยความที่มีจุดโฟกัสแบบ Cross-type กระจายอยู่ทั่วจุดที่ต้องการของเฟรมภาพ และเมื่อมาจับคู่กับเลนส์ที่เราได้รับมาทดสอบอย่าง EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano) ทำให้กล้องหาโฟกัสได้รวดเร็วดีมากๆ แม้แต่กับการถ่ายภาพตอนกลางคืน หรือการถ่ายในสภาพแสงน้อย เรียกว่าโฟกัสเข้าในแทบจะทันทีที่กดปุ่มชัตเตอร์ลงครึ่งทาง ทำให้ไม่พลาดการเก็บภาพในช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหัน
และเมื่อระบบโฟกัสแบบ Cross-type 45 จุด ทำงานร่วมกับระบบการเลือกใช้โซนโฟกัสที่ยืดหยุ่น (จุดเดียว, โซนเล็ก, โซนใหญ่, เลือกจุดอัตโนมัติทั่วภาพ) บวกกับระบบการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 7 ภาพต่อวินาที เมื่อเล็งถ่ายผ่านช่องมองภาพ (แต่ถ้าถ่ายผ่าน Live view จะเหลือ 5 ภาพต่อวินาที) หากเราต่อเลนส์เข้ากับ Extender ที่ได้ค่า f/8 ระบบออโต้โฟกัสยังทำงานได้ถึง 27 จุด เป็น Cross-type 9 จุด ซึ่งดีขึ้นจาก EOS 70D ที่โฟกัสได้จุดกลางเพียงจุดเดียว ทำให้ Canon EOS 80D เป็นกล้องที่ถ่ายภาพกีฬา หรือภาพแอคชั่นชีวิตสัตว์ป่าได้ดีเลย
ภาพชุดนี้ถ่ายด้วยระบบ Tracking โฟกัสแบบ AI Servo บวกกับระบบการถ่ายความเร็วสูง 7 ภาพต่อวินาที สามารถหยุดภาพการเคลื่อนไหวของรถที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงได้อย่างคมชัด เลือกภาพแอคชั่นที่ดีที่สุดไปใช้งานได้อย่างสบายๆ
จัดการ Noise ได้เยี่ยมขึ้นอีก
อีกหนึ่งพื้นที่ที่ Canon เคลมว่า EOS 80D ทำได้ดีขึ้น คือเรื่องของการจัดการเม็ดสีรบกวน (Noise) ทำให้ตากล้องสามารถใช้ค่า ISO สูงๆ ได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกลัวว่าภาพจะเสีย ไหนๆ เราก็มี EOS 70D อยู่ในมือ เราเลยลองมาถ่ายรูปเทียบกันหน่อยดีกว่า
จากตัวอย่างภาพเปรียบเทียบ ก็เห็นได้ชัดเจนครับว่า 80D จัดการกับเม็ดสีรบกวนในภาพได้ดีกว่า 70D จริงๆ และจากความคิดเห็นส่วนตัวต้องบอกว่าที่ ISO 6400 เม็ดสีรบกวนในภาพยังอยู่ที่ระดับพอยอมรับได้ครับ
Canon EOS 80D f6.3 1/80Sec. ISO 3200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
ภาพนี้ลองถ่ายในสภาพแสงน้อยโดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง อาศัยทำมือให้นิ่งที่สุด ซูมถ่ายจากระยะไกล แล้วดัน ISO สูงๆ เพื่อช่วยไม่ให้ภาพสั่นเบลอ ด้วยกล้องตัวนี้ทำให้แม้จะไม่ใช้ขาตั้งกล้อง ก็ยังได้ภาพถ่ายสวยๆ ตอนกลางคืนนะ
Canon EOS 80D f5.6 1/60Sec. ISO 5000 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
เป็นอีกหนึ่งภาพที่ลองเล่นเรื่องความสามารถในการจัดการ Noise ภาพนี้ถ่ายดอกเฟื่องฟ้าตอนกลางคืน เห็นฉากหลังเป็นแสงไฟส่องทางสวยๆ โดยที่ไม่ใช้ขาตั้งกล้อง ภาพนี้ดัน ISO ถึง 5000 แต่เนื้อสีของภาพยังดูสวยอยู่เลย
มี Wi-Fi/NFC ให้โอนภาพไปสมาร์ทโฟนได้ง่ายๆ เลย
ตามแบบฉบับกล้องรุ่นใหม่ที่มักจะโอนภาพถ่ายสวยๆ ไปยังสมาร์ทโฟนเพื่อแชร์ลงโซเชียลได้ทันที และถึงแม้ Canon EOS 80D จะเป็นกล้องระดับกึ่งโปรที่ดูจริงจังกับการถ่ายภาพ แต่ก็ไม่พลาดที่จะใส่ฟีเจอร์ในรูปแบบนี้มาให้ด้วย ซึ่งดูไปแล้วก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับตากล้องรับงาน ที่พอถ่ายรูปแล้ว ก็ส่งภาพมาที่สมาร์ทโฟนเพื่อส่งตัวอย่างภาพผ่าน Line ไปให้ผู้ว่าจ้างได้ทันที
โดยความพิเศษคือนอกจากจะเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้แล้ว ก็ยังมี NFC เพิ่มเข้ามา เพื่ออำนวยความสะดวกในการที่เอาสมาร์ทโฟนเข้ามาแตะที่ด้านซ้ายของกล้อง (ตรงที่มีโลโก้ NFC กำกับอยู่) จากนั้นสมาร์ทโฟนก็จะทำการเปิดแอป Camera Connect แล้วเชื่อต่อกับกล้อง EOS 80D โดยอัตโนมัติ สามารถทำการส่งภาพถ่ายมายังสามาร์ทโฟนได้ทันที หรือจะใช้สมาร์ทโฟนเป็นรีโมทชัตเตอร์ เพื่อสั่งให้กล้องถ่ายภาพจากระยะไกลก็ยังได้ และแอป Camera Connect ที่ใช้เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับกล้อง ก็มีทั้งสำหรับ iPhone และแอนดรอยด์ครับ
จากตัวอย่างหน้าจอการใช้งานของแอป Camera Connect เราสามารถใช้สมาร์ทโฟนเรียกดูรายการภาพและคลิปวิดีโอทั้งหมดที่อยู่ในกล้อง (ภาพซ้าย) และเลือกภาพที่ต้องการเพื่อส่งมายังสมาร์ทโฟนได้เลย (ภาพกลาง) และส่วนในภาพขวานั้น เป็นฟังก์ชั่นรีโมทชัตเตอร์ ใช้สมาร์ทโฟนควบคุมกล้องจากระยะไกล บนหน้าจอจะมี Live view ให้จัดองค์ประกอบภาพและเลือกจุดโฟกัส และมีปุ่มชัตเตอร์ให้กดถ่ายภาพจากหน้าจอได้เลย
คลิกที่ปุ่มนี้เพื่อดาวน์โหลดแอป Canon Camera Connect ได้เลยครับ
ถ่ายภาพ ถ่ายคลิปสวยๆ แบบไม่ต้องง้อโปรแกรมตกแต่งภาพด้วยโหมด Creative filter
อีกสิ่งที่ Canon ภูมิใจนำเสนอใน EOS 80D คือโหมดการถ่ายแบบใส่เอฟเฟกต์โทนสีสวยๆ คล้ายอินสตาแกรมแบบจบหลังกล้อง ไม่ต้องง้อโปรแกรมแตกแต่งภาพในคอมฯ ซึ่งโหมดนี้น่าจะเหมาะกับตากล้องที่ต้องการโทนภาพสวยๆ แปลกใหม่ เพื่อการนำไปแชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ซึ่งการถ่ายภาพนิ่งก็มีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้งานถึง 10 แบบ ได้แก่
ไม่เพียงแค่ภาพนิ่ง เพราะ EOS 80D ยังสามารถใส่ฟิลเตอร์ให้กับงานถ่ายวิดีโอ ทำให้ได้คลิปสวยแปลกตาแบบจบหลังกล้องไม่ต้องง้อโปรแกรมตัดต่อกันเลยทีเดียว ซึ่งก็มีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้ 5 แบบ จะสวยแปลกตาขนาดไหนเราลองไปดูกันครับ
วิดีโอฟิลเตอร์แบบ Memory อารมณ์ภาพนุ่นนวล เหมาะกับคลิปงานแต่งงาน
วิดีโอฟิลเตอร์แบบ Dream นุ่มนวลชวนฝัน
วิดีโอฟิลเตอร์แบบ Old Movies ให้อัตราส่วนภาพแบบจอกว้าง และมีขึ้นเส้นภาพเหมือนฟิล์มหนังยุคเก่า
วิดีโอฟิลเตอร์แบบ Dramatic B&W
วิดีโอฟิลเตอร์แบบ Miniature effect movie คลิปวิดีโอแบบเมืองตุ๊กตาเร่งสปีด ดูน่ารักๆ
ถ่ายวิดีโอได้ทั้งแบบ MOV และ MP4 ปรับความเร็วการโฟกัสได้ด้วย
อีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่เพิ่มเข้ามาสำหรับงานถ่ายวิดีโอ คือนอกจากจะถ่ายวิดีโอระดับ Full HD 1080p (30/24 fps) ได้ในฟอร์แมต MOV แล้ว ก็ยังรองรับการถ่าย Full HD (60/30/24 fps) ในฟอร์แมต MP4 ได้ด้วย เพิ่มความยืดหยุ่นในการนำไฟล์วิดีโอไปใช้งานหรือการนำไปตัดต่อ แต่ก็น่าเสียดายเล็กน้อยที่ กล้องรุ่นนี้ยังไม่สามารถถ่ายคลิปวิดีโอที่ความละเอียดสูงระดับ 4K
อีกหนึ่งลูกเล่นงานถ่ายวิดีโอที่เจ๋งมากๆ คือการปรับความเร็วการเข้าโฟกัสของการถ่ายวิดีโอให้เร็ว หรือช้าได้ตามความต้องการ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เพิ่มมีเพิ่มเข้าใหม่ใน EOS 80D บางคนอาจจะงงว่าเราจะปรับความเร็วการโฟกัสให้ช้าลงเพื่ออะไร ก็ต้องบอกว่าฟีเจอร์นี้ออกแบบมาให้ตอบโจทย์งานถ่ายวิดีโอที่ต้องการอารมณ์ภาพดราม่านุ่มนวล
ลองนึกถึงฉากในหนังที่พระเอกยืนอยู่ฉากหน้า และนางเอกยืนอยู่ฉากหลังไกลๆ ในซีนนี้ถ้าเราเปลี่ยนจุดโฟกัสชัดจากพระเอก ไปหานางเอกที่อยู่ฉากหลังแบบไวๆ อารมณ์ภาพก็คงขาดความนุ่มนวล แต่ถ้าเราปรับให้การเข้าโฟกัสเป็นไปอย่างช้าๆ ก็จะให้อารมณ์ภาพที่ดราม่านุ่มนวลดีทีเดียวจริงไหมครับ ซึ่งเดิมที ถ้าเราต้องการให้โฟกัสเข้าช้าแบบนุ่มนวล ตากล้องก็ต้องยุ่งยากกับการปรับโฟกัสด้วยมือซึ่งอาจจะขาดความแม่นยำ แต่กล้องรุ่นนี้สามารถปรับการเข้าโฟกัสให้ช้าหรือเร็วได้ตามใจชอบเลย เจ๋งไหมหล่ะ
ตัวอย่างการปรับความเร็วการเข้าโฟกัสงานวิดีโอให้เป็นแบบ : เร็วปกติ
ตัวอย่างการปรับความเร็วการเข้าโฟกัสงานวิดีโอให้เป็นแบบ : ช้านุ่มนวล
ถ่าย Time-lapse ได้ง่ายๆ ด้วย Canon EOS 80D
การถ่าย Time-lapse ให้คลิปวิดีโอที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ อย่างเช่นการเร่งเวลาการขึ้นหรือการตกของดวงอาทิตย์ เร่งความเร็วของก้อนเมฆที่ลอยอ้อยอิ่งบนท้องฟ้า หรือคลิปเร่งเวลาการผลิบานของดอกชบาในยามเช้า ซึ่งจริงอยู่ที่การถ่าย Time-lapse ให้ผลงานที่น่าตื่นตา แต่ขั้นตอนการทำก็ยุ่งยากไม่น้อย ไหนจะต้องลงทุ่นกับอุปกรณ์รีโมตชัตเตอร์ เพื่อตั้งเวลาให้กล้องลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพโดยอัตโนมัติทุกๆ เวลากี่วินาที และพอได้ภาพถ่ายจำนวนมากมาแล้ว ก็ยังต้องวุ่นวายกับการนำภาพถ่ายมาเรียงต่อกันเป็นไฟล์วิดีโอแบบเร่งเวลาด้วยโปรแกรมตัดต่อวิดีโออีกขั้นตอนหนึ่ง และด้วยขั้นตอนที่มากมายนี้ ทำให้ตากล้องระดับทั่วไปยังยากที่จะสร้างสรรค์คลิปวิดีโอแบบ Time-lapse
ชมตัวอย่างคลิป Time-lapse ได้แบบเต็มๆ ในวิดีโอรีวิว
แต่เมื่อมี Canon EOS 80D อยู่ในมือ ก็ต้องบอกเลยว่า การถ่าย Time-lapse จะง่ายขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยมีโหมดการถ่ายที่เตรียมไว้ให้แบบสำเร็จรูป และได้ไฟล์วิดีโอออกมาจากกล้องเรียบร้อยเลย ไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์เสริมรีโมทชัตเตอร์ ไม่ต้องเป็นนักตัดต่อวิดีโอชั้นเซียน คุณก็มีผลงานวิดีโอแบบ Time-lapse สวยๆ ไว้เชยชมได้ โดยที่กล้องจะให้เราตั้งค่าว่า จะให้ทำการถ่ายภาพทุกๆ กี่วินาที และต้องการให้ถ่ายทั้งหมดกี่ภาพ จากนั้นกล้องก็จะทำการคำนวณให้เราเสร็จสรรพว่าต้องตั้งกล้องทิ้งไว้กี่นาที และจะได้คลิปที่มีความยาวกี่นาที
คลิปวิดีโอเร่งเวลาแบบ Time-lapse สามารถประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราตั้งให้กล้องถ่ายทุกๆ 2 วินาที เป็นจำนวน 800 ภาพ เราก็จะต้องตั้งกล้องถ่ายภาพวิวทิ้งไว้ 26 นาที กับอีก 38 วินาที แล้วเราก็จะได้คลิปยาว 32 วินาทีเป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าการที่ต้องตั้งกล้องถ่ายภาพทิ้งไว้นานหลายๆ นาที (หรือบางทีอาจจะนานหลายชั่วโมง) เราก็ควรใช้ขาตั้งกล้อง เพื่อที่จะจัดองค์ประกอบภาพได้อย่างอิสระ และได้ผลงานคลิป Time-lapse ที่ดีครับ
HDR Movie ถ่ายแจ่ม แม้ความเปรียบต่างแสงสูง
Canon EOS 80D มาพร้อมโหมดการถ่ายวิดีโอแบบ HDR ทำให้ได้คลิปวิดีโอที่สามารถเก็บรายละเอียดภาพได้ดีขึ้น เมื่อมีการถ่ายในที่ที่มีแสงแดดจัด หรือมีความเปรียบต่างแสงสูง คือในเฟรมภาพมีทั้งส่วนที่สว่างมากๆ และส่วนที่มืดมากๆ เหมาะสำหรับการถ่ายคลิปเก็บวิวสวยๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว
HDR Movie จาก Canon EOS 80D (ขอบคุณคลิปจากยูทูปแชแนล slrclubreview)
HDR Movie จาก Canon EOS 80D (ขอบคุณคลิปจากยูทูปแชแนล slrclubreview)
ตัวอย่างภาพสวยๆ จาก Canon EOS 80D
อีกหนึ่งจุดขายสำคัญที่มีการอัพเกรดมาจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง 70D คือมีการเพิ่มขนาดความละเอียดของเซ็นเซอร์ภาพจากเดิมที่ 20 ล้านพิกเซล ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 24.2 ล้านพิกเซลในรุ่น 80D และผลงานภาพถ่ายที่ได้จากกล้องตัวนี้ ก็ต้องบอกว่าถ้าได้สภาพแสงดีๆ สวยๆ ก็จบหลังกล้องได้เลยครับ ไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมกันอีกแล้ว และกับการถ่ายในสภาพแสงน้อย ด้วยระบบจัดการ Noise ที่ดี ก็ยังทำให้ได้ภาพถ่ายสวยๆ กลับบ้านโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง
เรามาชมตัวอย่างภาพถ่ายสวยๆ จาก Canon EOS 80D กันดีกว่า ส่วนตัวอย่างคลิปสวยๆ ที่ถ่ายด้วยกล้องตัวนี้ ไปดูกันได้ในส่วนของคลิปวิดีโอรีวิวนะครับ
***หมายเหตุ : ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Canon EOS 80D ทั้งหมดที่ลงในรีวิวนี้ เป็นภาพถ่ายแบบจบหลังกล้อง ไม่ได้ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพใดๆ เพิ่มเติม แต่ทำแค่เพียงการย่อไซส์ของไฟล์ภาพ และใส่โลโก้ครับ
Canon EOS 80D f10 1/250Sec. ISO 100 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
Canon EOS 80D f5.6 1/100Sec. ISO 800 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
Canon EOS 80D f5.6 1/160Sec. ISO 800 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
Canon EOS 80D f5.6 1/125Sec. ISO 200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
กับเลนส์คิทก็ยังมีโบเก้สวยๆ ให้เชยชม
Canon EOS 80D f5 1/4000Sec. ISO 200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
Canon EOS 80D f22 1/60Sec. ISO 200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
Canon EOS 80D f5.6 1/80Sec. ISO 200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
ช่วงปลายๆ ซูมของเลนส์คิทใช้ถ่ายแคนดิทได้ดีมากๆ ภาพเก็บแสงบนตัวแบบได้ดีเลย
Canon EOS 80D f5.6 1/250Sec. ISO 200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
อีกหนึ่งภาพแคทดิทจากช่วงปลายซูมของเลนส์คิท กล้องตัวนี้เก็บแสงยามเย็นบนตัวแบบได้สวยมากๆ
Canon EOS 80D f3.5 1/400Sec. ISO 200 WB fluorescent เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
ภาพนี้ถ่ายแสงยามพระอาทิตย์ตกดิน มีการเล่น White balance เพื่อย้อมสีท้องฟ้าสวยๆ
Canon EOS 80D f5.6 2.6Sec. ISO 250 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano) บนขาตั้งกล้อง
Canon EOS 80D f11 5Sec. ISO 200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano) บนขาตั้งกล้อง
ที่ค่า f11 ของเลนส์คิท ให้แฉกไฟที่สวยงามดีทีเดียว
Canon EOS 80D f5.6 1/320Sec. ISO 200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
Canon EOS 80D f5 1/320Sec. ISO 200 เลนส์ EF-S 18-135mm f/3.5-5.6 IS USM (Nano)
Canon EOS 80D f2.8 1/125Sec. ISO 800 เลนส์ Tamron 17-50 mm F2.8 VC
ภาพนี้ลองเปลี่ยนไปใช้เลนส์ของค่าย Tamron ก็ให้ผลงานออกมาสวยดี
สรุปผลการรีวิว Canon EOS 80D
ข้อดี
ข้อสังเกต
Canon EOS 80D เป็นกล้องระดับกึ่งโปร ที่มีฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ เทียบเคียงกล้องระดับโปรในราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยาก เหมาะมากสำหรับตากล้องฟรีแลนซ์รับงานที่ต้องการขยับอุปกรณ์ของตัวเองให้โปรขึ้นอีกระดับ รวมถึงโปรดักซ์ชั่นเฮ้าส์ขนาดเล็ก ที่ต้องการอัพเกรดเนื้องานของตัวเองให้ดีขึ้น และสำหรับคนรักการถ่ายภาพที่ต้องการอัพเกรดคุณภาพงานถ่ายของตัวเองในงบที่ไม่สูงจนเกินไป ผมว่าในชั่วโมงนี้ Canon EOS 80D เป็นกล้องที่ไม่ควรมองข้ามด้วยประการทั้งปวง
|
ไม่เสพติดไอที แต่ชอบเสพข่าวเทคโนโลยี หาความรู้ใหม่ๆ มาใส่สมอง |
ความคิดเห็นที่ 1
7 กุมภาพันธ์ 2563 16:16:30
|
||
GUEST |
VitEvisa
Hello. And Bye.
|
|