5 หนังกีฬา ที่เราจะได้รู้จักคำว่า ไม่ยอมแพ้

"กีฬากีฬาเป็นยาวิเศษ" คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด เพราะไม่เพียงแต่เล่นกีฬาเท่านั้น การดูหนังกีฬาก็เป็นยาวิเศษเช่นกัน เพราะสิ่งสำคัญของหนังกีฬาคือการสร้างแรงบันดาลใจให้เราสู้ พยายาม ไม่ท้อถอย และไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้

หลายๆ คน ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ต่างก็ย่อมรู้จัก และคุ้นเคยกับกีฬา กันมาบ้าง และเช่นเดียวกันก็คงคุ้นเคยกับหนังเกี่ยวกับกีฬาเช่นกัน โดยส่วนตัวแอดมินก็ได้ผูกพันกับหนังกีฬาและเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ (สมัยยังไม่ได้นั่งอยู่หน้าคอมไปวันๆ เหมือนทุกวันนี้) เปิดทีวีดูหนังก็จะเจอหนังประเภทนี้เยอะมาก ดังนั้นแอดมินจึงอยากมาแนะนำหนัง 5 เรื่องกับกีฬา 5 ประเภทให้ทุกท่านได้ไปลองรับรู้รับชมกัน 

1. Football - Goal!

นับว่าเป็นกีฬาอันดับต้นๆ ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ กับ ฟุตบอล แต่ถ้าจะให้พูดถึงหนังฟุตบอล หลายๆ คนคงมีหนังเกี่ยวกับฟุตบอลในดวงใจกันอย่างเป็นแน่แท้ ไม่ว่าจะเป็น Victory เตะแหลกแล้วแหกค่าย, United เรื่องราวอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงที่สุดของสโมสร ManUTD, หรือหนังตลกโปกฮาอย่าง นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่ และก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้ก็คงเป็นหนึ่งในหนังที่ใครหลายๆ คนชื่นชอบเช่นกัน กับชื่อที่เราคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับ Goal! เกมส์หยุดโลก

ต้องขอบอกว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นไตรภาค ที่ยิ่งทำออกมายิ่งแย่ โดยเฉพาะภาค 3 เรียกได้ว่าแย่สุดๆ แต่ภาคแรกทำออกมาได้โคตรดี โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ซานติเอโก้ มูเนส เด็กหนุ่มเม็กซิโกผู้ยากไร้ แต่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักฟุตบอลระดับโลก จนในที่สุดเขาได้มีโอกาสไปเข้าร่วมทีมกับ นิวคาสเซิล มันเจ๋งตรงนี้ เนื้อเรื่องนี้ไม่ได้ให้เรื่องราวมันง่ายจนเกินไป ไม่ได้ให้พระเอกเก่งเทพ จนได้มาอยู่กับลิเวอร์พูล หรือแมนยู แต่กลับให้อยู่รองลงมากว่านั้นอย่าง นิวคาสเซิล แต่ในยุคนั้นนิวคาสเซิลก็ถือเป็นทีมที่ไม่ธรรมดา และอยู่ระดับต้นๆ ของลีคเช่นกัน แถมยังมีซุปตาร์วงการลูกหนังมาร่วมแจมด้วยเช่นกัน โดยเด็กหนุ่มคนนี้ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆ มากมาย เป็นหนังที่ให้เราได้เห็นกับผลของคำว่า ไม่ยอมแพ้ ได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว

2. Basketball - Coach Carter

บาสก็เช่นกัน เป็นกีฬาที่หลายๆ คนก็ได้สัมผัส และเล่นมันไม่แพ้ฟุตบอลเลยทีเดียว ก็เหมือนกับฟุตบอลที่เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยม ก็ต้องเป็นธรรมดาที่จะต้องมีหนังออกมาเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังไมเคิลจอแดนต้องมาเจอกับเหล่าลูนี่ตูนอย่าง Space Jam, หนังที่ Kevin Durant เล่นอย่าง Thunder Struck, White Men Can’t Jump, Glory Road และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ที่ผมอยากจะหยิบยกมาให้ได้ชมกันก็คือเรื่องนี้ครับ Coach Carter หนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงของ Ken Carter รับบทโดย Samuel L. Jackson โคชผิวสีผู้ที่ได้รับทั้งเสียงชื่นชมและก็วิพากษ์วิจารณ์ไปในขณะเดียวกัน เพราะว่าตัวเขาเองไม่ยอมให้นักกีฬาของเขาลงแข่ง หรือแม้กระทั่งซ้อม จนกว่าจะทำผลการเรียนให้ดีขึ้น เพราะเขาเป็นห่วงอนาคตของนักกีฬาแต่ละคนเป็นอย่างมาก ไม่อยากให้ออกไปเป็นอัธพาล กุ้ย ขี้ยา ติดคุก เขาอยากให้เด็กๆ ของเค้ามีอนาคตที่ดี และด้วยเรื่องราวเหล่านี้ก็ทำให้เด็กๆ ได้เกิดความสามัคคีกันอย่างน่าเหลือเชื่อ

3. Boxing - Million Dollar Baby

นอกจากบาส บอล ก็มวยนี่แหละครับ ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนของไทยก็มักจะได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นกางเกงมวย หรือสนามมวย Thai Fight เอย หรือนักมวยชื่อดังต่างๆ บ้าง ต่อยกันข้างถนนบ้าง (หรือแม้กระทั่งต่อยกันในสภา) เห็นไหมครับว่าเราผูกพันกับมวยแค่ไหน รวมถึงหลายๆ ประเทศด้วยก็เช่นกัน โดยเฉพาะหนังมวยในตำนานอย่าง Rocky ที่ยิ่งทำออกมาเรื่อยๆ ก็แป้กมาเรื่อยๆ และก็ Southpaw, Creed, Alli, Cinderella man แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมจะขอพูดถึงหนังที่กินใจและทรมานใจเป็นอย่างยิ่งกับเรื่อง Million Dollar Baby

หนังเล่าเรื่องราวง่ายๆ เกี่ยวกับนักมวยหญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในโรงยิมเพียงเพื่อต้องการจะเป็นนักชกด้วยจิตใจที่แน่วแน่ของเธอ แต่เธอต้องมาเจอกับผู้ฝึกสอนสุดโหด ที่ปิดตัว เก็บตัว ไม่ยอมสอนใครอีก และไม่เคยแม้กระทั่งฝึกนักมวยหญิง แต่ด้วยความแน่วแน่ของเธอ เขาก็ใจอ่อน หนังเหมือนจะมีพล็อตที่ธรรมดา และไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่เชื่อเถอะ หนังโคตรดีจริงๆ การันตีด้วย 4 รางวัลออสการ์ จากการเข้าชิง 7 รางวัล ไม่ว่าจะเป็น สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม เรื่องนี้กวาดเรียบ

4. Racing - Rush

เราอาจได้เห็นหนังแข่งรถมามากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็นแฟรนไชส์ The Fast ที่ไม่มีทีท่าว่าจะจบจะสิ้นและเหมือนถ้ายังทำต่อ มีหวังเราได้เห็นรถบินไปอวกาศแน่ๆ หรือแข่งรถแบบใต้ดิน หนีตำรวจ Need For Speed เอย อะไรเอย แต่จะมีหนังสักกี่เรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งรถจริงๆ

ผมบอกได้เต็มปากเลยว่า นี่คือหนังแข่งรถที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา ซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริงของวงการรถสูตร 1 หรือ F1 ในช่วงปี 70 เป็นปีที่รถ F1 บูมมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวของการขับเคี่ยวของสองนักขับที่ต่างกันสุดขั้ว ผลัดกันแพ้บ้าง ชนะบ้าง ของ เจมส์ ฮันท์ นักแข่งชาวอังกฤษผู้บ้าบิ่น กับ นิกกิ เลาดา นักแข่งสัญชาติออสเตรีย สุดอัจฉริยะ ทำให้ทั้งคู่ต้องขับเคี่ยวกันไม่เพียงแต่ในสนามแข่งเท่านั้น ยังขับเคี่ยวกันภายนอกสนามแข่งอีกด้วย ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

5. Horse - Seabiscuit

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ชัดเจนที่สุดกับคำว่า “ไม่ยอมแพ้” เพราะหนังเรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยความ “ไม่พร้อม” ไปเสียทุกอย่าง แต่ด้วยความไม่พร้อมนั่นแหละ ทำให้ไม่รู้จักพอ และเติมเต็มให้พร้อมเท่าที่จะทำได้ ทำให้ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น หนักกว่าคนอื่น และนั่นแหละเมื่อเราไม่ยอมแพ้ผลที่ได้ก็เป็นดั่งหนังเรื่องนี้ครับ

Seabiscuit คือเรื่องราวสุดแสนจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหลายๆ คน ซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริงของ ชาร์ล โฮเวิร์ด อดีตช่างซ่อมรถเขามีม้าแคระตัวหนึ่งชื่อเดียวกับชื่อเรื่องนั่นก็คือ Seabiscuit จนเขาได้มาเจอกับอดีตนักมวยที่ตาเสียไปหนึ่งข้างอย่าง เรด พอลลาร์ด ซึ่งจะมาเป็นจ๊อกกี้แข่งม้าให้กับเขา พร้อมด้วยอดีตจ๊อกกี้ชื่อดังอย่าง ทอม สมิธ ที่จะมาเป็นครูฝึกให้ เรื่องราวของผู้คนเหล่านี้ต่างมีเบื้องหลังที่เจ็บปวดและสุดแสนจะทรมานมาด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เจ้าม้า Seabiscuit เราจะได้เห็นการล้มลุกคลุกคลาน ความพยายาม การต่อสู้ดิ้นรนของพวกเขา และผลตอบรับของคำว่า “ไม่ยอมแพ้” จนทำให้ม้าแคระตัวนี้มีชื่อเสียงและนับเป็นฮีโร่และสัญลักษณ์แห่งความหวังของชนชาติอเมริกันในยุคเศรษกิจตกต่่ำช่วง 1933-1947 เลยทีเดียว

ประโยคของหนังหลายๆ ประโยคมันก็ช่างกินใจเสียเหลือเกิน โดยมีฉากหนึ่งมีคนบอกว่า “ม้าที่วิ่งไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับม้าที่ตายแล้ว” และกำลังจะฆ่าทิ้ง แต่ด้วยประโยคนั้นทำให้ทั้งหมดฮึดสู้อีกครั้ง และได้รู้จักกับคำว่าชัยชนะ และความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

“เราคงไม่ทิ้งทั้งชีวิต เพียงเพราะแค่บาดเจ็บนิดหน่อยหรอกนะ”

จริงๆ หนังเกี่ยวกับกีฬายังมีอีกเยอะมากมายหลายเรื่องและอีกหลายประเภทกีฬา แต่ที่มาแนะนำนี้คือหนังที่แอดมินชอบเป็นการส่วนตัวเสียมากกว่า 

หนังกีฬาแต่ละเรื่องไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตามมันจะมีความรู้สึก "ไม่ยอมแพ้" ไว้ในเรื่องนั้นๆ ทุกเรื่อง การฮึดสู้ ไม่ย่อท้อ และฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย นี่แหละคืออัตลักษณ์ของหนังกีฬาที่ทรงคุณค่าแก่การรับชมอย่างยิ่ง