สตีฟ จอบส์ ถูกยกย่องจากคนจำนวนมากมายตลอดช่วงชีวิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นผู้นำนวัตกรรม, นักลงทุนมือฉกาจ, ผู้นำ หรือแท้แต่ตัวพ่อแห่งวงการไอที แต่ย้อนกลับไปตอนที่เขาปรากฏตัวครั้งแรกที่หน้าตึก Atari สาขาลอสแกทัส (เมืองในแซนตาแคลราเคาน์ตี รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา) ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1974 สภาพของเขาแทบไม่ต่างจากคนจรจัดเลย เขาไม่ได้อาบน้ำ, หนวดเผ้ารุงรัง ใส่รองเท้าแตะ เรียนก็ไม่จบ ไม่มีภาพลักษณ์ของคนที่สามารถเปลี่ยนโลกได้เลยสักนิด
ภาพจาก https://abcnews.go.com/International/steve-jobss-death-world-reacts/story?id=14679556
ขณะนั้นจอบส์เพิ่งอายุ 19 เขาได้ตรงไปที่ล็อบบี้ของ Atari เพื่อหางานทำ ตอนนั้น อลลัน อัลคอร์น หัวหน้าทีมวิศวกรของ Atari เป็นคนที่สัมภาษณ์เผยว่าสตีฟ จอบส์ในตอนนั้นมีทัศนคติที่ชัดเจน และไม่ซับซ้อน เขาทำให้ผมสัมผัสได้ในทันทีเลยว่า เขาจะไม่ออกไปจากล็อบบี้นี้อย่างแน่นอนจนกว่าเขาจะได้งานทำที่นี่
อลลัน อัลคอร์น เผยในภายหลังว่าเขาถูกจอบส์ "ปั่นหัว" ให้ตัวเขาพยายามเชื่อว่าที่สภาพเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าเขากำลังทานอาหารมังสวิรัติอยู่ ซึ่งพืชผักที่เขาเลือกทานค่อนข้างอ่อนไหวต่อกลิ่นจากร่างกาย เขาจึงไม่ค่อยได้อาบน้ำ และฉีดน้ำหอม และถึงแม้ว่า อลลัน อัลคอร์น จะพบในระหว่างการสัมภาษณ์ว่าจอบส์นั้นไม่มีประสบการณ์ด้านวิศวกรรมเลยสักนิด แม้จะมีความรู้จากมหาวิทยาลัยมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับงานที่เขาจะต้องทำอยู่ดี อย่างไรก็ตาม สตีฟ จอบส์ ได้แสดงให้เห็นว่าเขาหลงใหลในเทคโนโลยีมากขนาดไหน สุดท้ายเขาก็ได้งานทำที่ Atari โดยเป็นพนักงานคนที่ 40 ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่อง "กลิ่นตัว" และพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของจอบส์ ตัวอย่างเช่น เขาบอกกับเพื่อนร่วมงานว่าเขากำลังลดน้ำหนักด้วยเทคนิคอากาศ และน้ำอยู่ หากว่าเขาสลบไปก็ไม่ต้องเรียกตำรวจ หรือรถพยาบาล ทิ้งผมไว้บนม้านั่งก็พอ นั่นทำให้เกิดปัญหาความไม่สบายใจต่อทีมงานคนอื่นๆ ในบริษัท Atari จนมีการร้องเรียนเกิดขึ้น
ร้อนไปถึง โนแลน บุชเนลล์ หัวหน้าของจอบส์ และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Atari ด้วย ต้องแก้ปัญหาด้วยการจับจอบส์ไปทำงานกะดึกเพียงคนเดียว (ภาพด้านล่างนี้ อลลัน อัลคอร์น ยืนอยู่ซ้ายสุด และถัดมาคือ โนแลน บุชเนลล์) สาเหตุที่จอบส์ยังไม่โดนไล่ออกนั้นก็เพราะว่า โนแลน บุชเนลล์ เล็งเห็นความฉลาด, ความมุ่งมั่น และเป้าหมายที่ชัดเจนจากจอบส์
ภาพจาก https://vgpavilion.com/mags/1982/12/vg/from-cutoffs-to-pinstripes/
อนึ่ง สาเหตุที่จอบส์ในตอนนั้นพยายามหาเงินก็ค่อนข้างแปลก เขาไม่ได้ต้องการรวบรวมเงินมาเปิดบริษัทหรืออะไรทำนองนั้นแต่อย่างใด เหตุผลจริงๆ คือ เขาต้องการไปแสวงหาจิตวิญญาณที่ประเทศอินเดียตามคำแนะนำของ โรเบิร์ต ฟรายด์แลนด์ เพื่อนสนิทสมัยที่จอบส์ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ซึ่งตัวโรเบิร์ตนั้นเคยติดคุกหลังจากโดนจับข้อหาลอบขนยาเสพติด LSD หลังพ้นโทษ เขาได้เดินทางไปอินเดียเพื่อแสวงหาจิตวิญญาณจาก Neem Karoli Baba (ศาสดาชื่อดังในอินเดียที่มีคนศรัทธาเป็นอย่างมาก) และกลับมาด้วยบุคลิคใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และมีความเป็นผู้นำที่น่าเคารพ ทำให้ตัวจอบส์ที่ตอนนั้นยังเป็นชายหนุ่มขี้อายต้องการที่จะไปศึกษากับ Neem Karoli Baba บ้าง
Neem Karoli Baba ที่มาภาพ https://www.facebook.com/NeemKaroliBabaNJ/
หลายเดือนถัดมา อลลัน อัลคอร์น ต้องบินไปแก้ปัญหาให้ลูกค้าที่ประเทศเยอรมนี แต่มันเป็นปัญหาขี้ผงที่เขาขี้เกียจเดินทางไปเอง เขาจึงไปบอกจอบส์ว่า "เฮ้ นายรู้เปล่า ว่าตั๋วบินไปอินเดียจากเยอรมนี มันถูกกว่าบินไปจากอเมริกานะ ถ้านายทำงานให้ฉันที่เยอรมันสักวันสองวัน นายเอาตั๋วบินไปเยอรมนีนี้ไปฟรีๆ เลย" ซึ่งจอบส์ก็ตอบตกลงในทันที พร้อมกับบินไปหาลูกค้าในสภาพ "ยุ่งเหยิง" เหมือนที่เขาเป็นอยู่เสมอนั่นแหละ
หลายเดือนถัดมา เขาได้กลับมาของานทำในตำแหน่งเดิมที่บริษัท Atari อีกรอบ ในสภาพที่โกนหัว ห่มจีวร พร้อมหนังสือ Be Here Now ของ Ram Dass (มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณโยคะ และการทำสมาธิ) ที่จอบส์ซื้อมาเป็นของฝากให้ Alcorn และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงอย่าง "Break Out" ได้เริ่มต้นขึ้น
ตอนที่จอบส์ไปฝึกงานที่บริษัท Hewlett Packard เขาได้เจอกับสตีฟ วอซเนียก ที่เป็นพนักงานประจำอยู่ที่นั้น ทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อนแล้วเมื่อหลายปีก่อนตอนที่จอบส์ยังเรียนอยู่ไฮสคูล ส่วนวอซเนียกเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย จากการแนะนำของบิล เฟอร์นานเดซ (ภายหลังเฟอร์นานเดซก็ได้เป็นพนักงานของ Apple และมีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่อง Apple I และ Apple II) การโคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัววอซเนียกนั้นเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ฝีมือฉกาจที่เก่งทั้งการออกแบบแผงวงจร และการเขียนโปรแกรม
ช่วงเวลานั้น Atari กำลังเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก เมื่อมีคู่แข่งเกิดขึ้นมากมาย แถมคู่แข่งที่ว่าบางรายก็เป็นอดีตวิศวกรของ Atari เองที่ขโมยข้อมูล และฮาร์ดแวร์ออกไปพัฒนาต่อเองอีกด้วย นั่นทำให้ทาง Atari ได้ตัดสินใจสร้างเกมใหม่ขึ้นมาทำตลาด แทนเกม Pong ที่เริ่มเสื่อมความนิยมแล้ว โนแลน บุชเนลล์ มีไอเดียในการทำเกม Pong แบบใหม่ที่สามารถเล่นได้คนเดียว มันมีชื่อว่า "Break Out" ที่ให้ผู้เล่นเด้งบอลไปทำลายกองอิฐที่อยู่ด้านบนให้หมด
ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ตู้เกม Break Out ต้นแบบนั้นมีความซับซ้อนกว่าตู้ Pong มาก ต้องใช้ชิป TTL (Transistor-Transistor Logic) ในการประมวลผล 150-170 ตัว ทำให้ต้นทุนในการผลิตเครื่องแพงมาก (ยุคนั้นในตู้เกมจะใช้ชิป TTL เฉลี่ยประมาณ 100 ตัว) บุชเนลล์ไม่พึงพอใจกับปัญหานี้จึงตั้งเงินรางวัลขึ้นมาให้กับคนที่แก้ปัญหานี้สำเร็จ โดยจะจ่ายให้ถึง $100 ต่อจำนวนชิปที่น้อยลง แถมด้วยเงินโบนัสอีกหากว่าจำนวนชิป TTL ลดลงจนถึงจำนวนที่กำหนด
จอบส์ในวัยหนุ่มรับอาสางานนี้ในทันที พร้อมได้เงินค่าจ้างในการออกแบบมา $750 หลายคนอาจจะแปลกใจว่า ทำไมบุชเนลล์ถึงเชื่อมั่นในตัวจอบส์ เพราะคนทั้งบริษัทรู้ดีว่าจอบส์ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบแผงวงจรเลยสักนิด เขาแค่พอมีความรู้ และทำมันได้นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะบุชเนลล์รู้ดีว่าสตีฟ วอซเนียกคู่หูคู่ซี้ของจอบส์นั้นสามารถทำได้ ก่อนหน้านี้สตีฟ วอซเนียกเคยออกแผงวงจรตู้เกม Pong ให้ใหม่ โดยใช้ชิป TTL แค่เพียง 30 ตัวเท่านั้น
ผลก็เป็นไปตามคาด จอบส์ชักจูงวอซเนียกที่ตอนนั้นกำลังยุ่งกับการออกแบบเครื่องคิดเลขรุ่นใหม่ให้ Hewlett-Packard มาช่วยได้สำเร็จ ทุกคืนชายทั้งสองคนจะง่วนอยู่ในห้องวิจัยที่ Atari โดยวอซเนียกทำหน้าที่ในการออกแบบ ส่วนจอบส์มีหน้าที่ทดสอบ
ตอนนั้น จอบส์ได้บอกกับวอซเนียกว่า นายสามารถเอาเงินรางวัล $700 ไปครึ่งหนึ่งได้เลย หากว่าพวกเราสามารถออกแบบให้ไอเครื่อง Break Out นี้ใช้ชิปต่ำกว่า 50 ตัว อันที่จริงงานนี้ ทาง Atari ไม่ได้รีบขนาดนั้น แต่เนื่องจากจอบส์มีทริปที่ต้องบินในอีกไม่กี่วัน ทำให้จอบส์ต้องไปกดดันวอซเนียกให้เร่งมือแก้ปัญหานี้ให้เร็วที่สุด หลังจากอดนอนกันอยู่ 4 คืน ความอัจฉริยะของวอซเนียกก็ได้ฉายแสงออกมา วงจรเครื่อง Break Out ของเขา ใช้ชิปในการทำงานแค่ 46 ตัวเท่านั้น
ซึ่งตอนนั้นผลงานของวอซเนียกที่ส่งให้ Atari ใช้ชิปทั้งหมด 42 ตัว แต่เครื่องที่ส่งให้ Atari นั้นใช้ 44 ตัว โดยเขาบอกว่า "งานนี้มันเหนื่อยมาก เราทำมันต่อไม่ไหวละ"
ในภาพเป็นบอร์ดของเครื่อง Apple I
จอบส์ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ เขามอบเงินให้วอซเนียกจำนวน $350 แต่จอบส์ไม่ได้บอกเรื่องสำคัญอีกเรื่อง ซึ่งกว่าวอซเนียกจะรู้ว่าความจริงว่า อันที่จริงจอบส์ได้เงินจากงานนี้ประมาณ $5,000 ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ว่า Atari จ่ายโบนัสให้ $700 หากใช้ชิปน้อยกว่า 50 ตัว, อีก $1,000 หากว่าใช้ชิปน้อยกว่า 40 ตัว และอย่าลืมว่ามี $100 ต่อตัวชิปที่ลดลงอีกด้วย ซึ่งจอบส์ได้เงินก้อนนั้นไปเกือบทั้งหมด โดยที่ไม่ได้ลงแรงมากนัก
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว Atari ก็ไม่ได้ใช้ดีไซน์ของวอซเนียก เนื่องจากมันมีความซับซ้อนในการผลิตมากจนวิศวกรของ Atari ไม่สามารถเลียนแบบได้ ซึ่งวอซเนียกได้ให้ความเห็นว่า "Atari ไม่เข้าใจศิลปะในการออกแบบ และอาจจะมีวิศวกรบางคนในนั้นพยายามจะปรับเปลี่ยนดีไซน์มากกว่า" โดยเครื่อง Break Out ของ Atari ใช้ชิป TTL ประมาณ 100 ตัว ซึ่งวอซเนียกได้ลองเล่นแล้วบอกว่ามันเล่นเหมือนกับที่เขาทำแป๊ะ และหาความแตกต่างไม่เจอ
วอซเนียกกล่าวว่า "ผมรู้สึกมีความสนุกที่ได้ออกแบบวิดีโอเกมที่ทุกคนอยากเล่น ผมคิดว่าสตีฟ จอบส์ในตอนนั้นน่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน แต่เขาไม่อยากจะบอกผม อันที่จริง หากเขาบอกผมแต่แรก ผมยินดีทำให้เขาฟรีเสียด้วยซ้ำ"
หลายคนอาจจะมองว่าวอซเนียกอาจจะแกล้งสัมภาษณ์ให้ดูหล่อไปอย่างนั้น แต่ความจริงแล้ว แกเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนที่ Apple เพิ่งก่อตั้งแรก ผู้ที่ถือหุ้นใหญ่มีแค่จอบส์ และวอซเนียกเท่านั้น ส่วนพนักงานยุคบุกเบิกคนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์ในการถือครองหุ้นแม้แต่นิดเดียว ก็เป็นวอซเนียกนี่แหละ ที่ยอมขายหุ้นของเขาให้กับพนักงานคนอื่นๆ เพราะอยากให้พนักงานมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทและทุ่มเททำงานมากขึ้น
กล่าวได้ว่า เขาช่างเป็นดีที่สนุกกับการทำงานโดยไม่หวังผลตอบแทนจริงๆ อนึ่งแม้ว่าปัจจุบันนี้ เขาจะมีทรัพย์สินไม่มากเท่ากับสตีฟ จอบส์ แต่ก็ยังมีทรัพย์สินประมาณ $100,000,000 ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตของเขาอย่างสบายๆ เลยล่ะ
สมัย Apple เข้า IPO สตีฟ วอซเนียก มีหุ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 3 เท่านั้น
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |