หลังจากมีภาพไอคอน AirPods Pro หลุดออกมาใน iOS 13.2 Beta เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้ทาง Apple ก็ได้เปิดตัว AirPods Pro อย่างเป็นทางการแล้วนะ ในราคา 9,490 บาท แพงกว่ารุ่นก่อน 2,000 บาท ราคาที่เพิ่มขึ้นมานี้ เราจะได้คุณสมบัติอะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง มาลองดูความแตกต่างของ AirPods ทั้งสองรุ่นนี้กัน
ดีไซน์ภายนอกโดยรวมแล้ว AirPods Pro ก็คล้ายคลึง
กั บ AirPods รุ่นเดิม แต่ว่า AirPods Pro นั้นเปลี่ยนดีไซน์มาเป็นหูฟังแบบ In-ear ที่กระชับหูกว่า และช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีกว่าดีไซน์แบบ Earbud ใน AirPods รุ่นดั้งเดิม จุกหูฟังมีให้สลับเปลี่ยนได้ 3 ขนาด เพื่อให้ผู้ใส่เลือกใช้ที่พอดีกับรูหูของตัวเองอย่างไม่อึดอัดภายในอัดแน่นไปด้วยฮาร์ดแวร์มากขึ้นกว่า AirPods รุ่นเดิม ทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 5.4 กรัม (หนักกว่า AirPods รุ่นเดิม 1.4 กรัม)
AirPods Pro ยังมาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำมาตรฐาน IPX4 สามารถกันเหงื่อ และน้ำกระเซ็นใส่ได้ (แต่ไม่สามารถเอาไปแช่น้ำ หรือใส่อาบน้ำได้นะ)
หลายคนไม่ชอบหูฟังแบบ In-ear เนื่องจากรู้สึกอึดอัดจนปวดหู จุดนี้ทาง Apple เคลมว่าได้แก้ปัญหาด้วยการออกแบบให้มีช่องอากาศไหลผ่านตัวหูฟัง ซึ่งจะช่วยลดแรงดันในหูทำให้สวมใส่ได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
แม้ AirPods จะเป็นหูฟังไร้สายที่ขายดีมากๆ แต่มันมีชื่อเสียงแค่ในด้านความสะดวกสบายในการใช้งาน ในขณะที่คุณภาพเสียงของมันนั้นอยู่ในระดับแค่พอฟังได้เท่านั้น ซึ่งใน AirPods Pro ทาง Apple ได้หันมาใส่ใจในส่วนนี้ และปรับปรุงคุณภาพเสียงให้ดีกว่าเดิม
ใน AirPods Pro มีไดร์เวอร์ลำโพงตัวใหม่แบบ High-excursion ที่เพิ่มพลังเบส และมีความผิดเพี้ยนต่ำกว่าไดร์เวอร์ลำโพงใน AirPods รุ่นก่อน ซึ่งมันทำงานร่วมกับชิป H1 ในการควบคุมเสียง และปรับ EQ เสียงเพลงให้เหมาะสมกับรูปทรงภายในหูของแต่ละคนให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติได้ด้วย
ชิป Apple H1 นี้มีหน้าที่ให้เราสามารถใช้งาน Siri ได้แบบ Always-on, ลดอัตราดีเลย์ของเสียง และช่วยให้การเชื่อมต่อกับ iDevices เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย แม้ว่าชิป Apple H1 จะมีอยู่ใน AirPods รุ่นดั้งเดิมด้วยก็ตาม แต่มันถูกใช้แค่กับ Siri, ลดดีเลย์ และยืดอายุแบตเตอรี่เท่านั้น ไม่สามารถปรับ EQ ได้เหมือนกับใน AirPods Pro
เป็นความสามารถที่ผู้ใช้ AirPods เรียกร้องมานาน ในที่สุด Apple ก็ใส่เข้ามาให้แล้วใน AirPods Pro ด้วยความสามารถของ Active Noise Cancellation ทำให้ AirPods Pro ตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทาง Apple ได้เคลมว่ามันจะปล่อยคลื่นความถี่เพื่อตัดเสียงรบกวนได้ถึง 200 ครั้งต่อวินาที
นอกจากนี้ Apple ยังใส่โหมด Transparency (เปิดให้เสียงรอบตัวดังเข้ามาในหูฟัง) เข้ามาให้ใช้งานด้วย เพื่อให้เราสามารถสนทนา หรือฟังเสียงรอบๆ ตัวได้ทันที โดยไม่ต้องถอดหูฟังออก
AirPods รุ่นเดิมจะควบคุมการเปลี่ยนเพลง และรับสาย ด้วยวิธีการแตะแบบต่างๆ แต่ใน AirPods Pro จะใช้ Force sensor ที่ซ่อนอยู่ในก้านหูฟัง การควบคุมเลยจะเปลี่ยนเป็นการ "บีบ" เบาๆ ที่ก้านหูฟังแทน โดยบีบ 1 ครั้งจะเป็นการรับสาย หรือเล่น/หยุดเพลง, บีบสองครั้งเพื่อเล่นเพลงถัดไป บีบสามครั้งเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า และบีบค้างไว้เพื่อสลับไปยังโหมด Active Noise Cancellation กับ Transparency
AirPods และ AirPods Pro ใช้งานได้นานเกือบจะเท่าๆ กัน คือ 5 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม บน AirPods Pro หากเปิดโหมด Active noise cancellation ด้วย จะเหลือ 4.5 ชั่วโมง เท่านั้น ทั้งนี้หากรวมแบตเตอรี่ในเคสด้วย ทั้งคู่ก็จะฟังได้นานถึง 24 ชั่วโมง
บนหน้าเว็บมีการระบุข้อมูลในการชาร์จแตกต่างกัน โดย AirPods Pro ใส่ในเคส 5 นาที ก็ใช้ฟังได้นานสูงสุด 1 ชั่วโมง ในขณะที่ AirPods ระบุว่า ใส่เคส 15 นาที ฟังได้ 3 ชั่วโมง
แล้วก็ AirPods Pro จะมาพร้อมกับเคสที่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย (Qi wireless charging) เลยด้วย แม้ AirPods รุ่นเดิมก็มีเคสแบบเดียวกันอยู่แต่เราก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มกว่าปกติอยู่ดี ดูจากราคาเปรียบเทียบแล้ว เอาจริงๆ AirPods Pro ก็แพงกว่า AirPods รุ่นเดิมแค่เพียง 2,000 บาท เท่านั้นเอง
ถ้างบไม่ใช่ปัญหา AirPods Pro ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้างบจำกัดก็เลือก AirPods พร้อมเคสชาร์จแบบธรรมดาไปเลยดีกว่า ส่วนตัวเรารู้สึกว่า AirPods พร้อมเคสชาร์จแบบไร้สายนั้นแพงไป ส่วนต่างแค่ 2,000 บาท กัดฟันซื้อ AirPods Pro ไปเลยเถอะ ทั้งนี้หากคุณเป็นแฟนตัวยงของหูฟังแบบ Earbud ก็ตัดสินใจง่ายอยู่ดี เพราะ AirPods Pro คงไม่ถูกจริตอยู่แล้วตั้งแต่แรก
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |