มาแรงแซงทุกกระแส แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลงกับเกมออกกำลังกายบนเครื่อง Nintendo Switch ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หาของยากแม้กระทั่งในร้านค้าของพื้นที่บริษัทแม่อย่างประเทศญี่ปุ่น! บางคนถึงขั้นลงทุนบินไปหาซื้อที่นั่นแต่ก็ต้องผิดหวังกลับมา เพราะแม้แต่คนที่อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นยังหามาเล่นเองไม่ได้เลย (เรื่องจริงนะไม่ได้โม้) ส่วนในไทย ร้านที่มีขายก็อัพราคากันพุ่งกระฉูด เราจะมาเฉลยกับคุณผู้อ่านกันว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มันสามารถขายดีได้ถึงขนาดนี้ค่ะ
ก่อนหน้านี้เคยมีเกมออกกำลังกายเฉพาะทางออกมาเกมนึงแล้วในชื่อว่า Fitness Boxing ซึ่งเป็นเกมที่มีการจัดตารางเวลาและตารางท่าการต่อยมวยอย่างเป็นขั้นตอนพร้อมมีเพลงประกอบให้ด้วย (แต่เพลงเบามาก... น่าจะเป็นเรื่องของลิขสิทธิ์) แต่มันก็มีแค่เรื่องของการออกกำลังกายต่อยมวยแค่นั้น ไม่มีลูกเล่นอะไรอย่างอื่นมากนักนอกจากฟังก์ชั่นที่เกี่ยวข้องกัน เช่น การนับการเผาผลาญแคลอรี่ ระยะเวลาที่ได้ออกกำลังกายไป การจัดโปรแกรมเพื่อเน้นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโดยเฉพาะ เป็นต้น
หน้าตาเกม Fitness Boxing
Credit: https://www.nintendo.co.uk/Games/Nintendo-Switch/Fitness-Boxing-1451183.html
แต่กับเกมนี้กลับแตกต่างออกไป การเข้าเกมมาไม่ได้ดูน่าเบื่อ ตัวเกมดูมีสีสัน มีโหมดผจญภัย มีเนื้อเรื่อง มีมินิเกม อยากเล่นอะไรแบบไหนลัดไปเล่นได้เลย ไม่ต้องรอเข้าเนื้อเรื่องแล้วถึงจะได้ออกกำลังกาย วันไหนเบื่อโหมดเนื้อเรื่อง จะเล่นแต่มินิเกมก็ได้ หรือวันไหนอยากจริงจังฝึกโหด ก็สามารถเลือกท่าที่ต้องการเน้นฝึกได้ด้วย
ซึ่งตัวเกมก็จะคอยถามเราเสมอว่า ก่อนเริ่มจะวอร์มยืดเส้นยืดสายหน่อยมั้ย ตอนเล่นจบแล้วก็จะมีถามอีกว่า ให้ช่วยคูลดาวน์รึเปล่า เป็นต้น ทำให้มีอะไรให้เล่นหลากหลายมากเวลาเข้าเกม และดูเป็นการออกกำลังกายที่จริงจังขึ้นมาทันที
รูปแรก: ตอนที่เราเล่นผ่านไปสักพักหนึ่งแล้วเกมถามว่าจะพักก่อนมั้ย
รูปสอง: เราลองกดเล่นต่อดู ก็ยังอุตส่าห์มีเตือนให้ดื่มน้ำเยอะๆ อีกรอบ
รูปสามและสี่: เกมจะคอยสังเกตว่าเราออกกำลังกายส่วนไหนไปเยอะ แล้วจัดวิธีการคูลดาวน์ที่เหมาะสมให้
ถึงแม้ความรู้สึกของผู้เขียนจะรู้สึกทะแม่งๆ สักหน่อยในตอนที่เห็นบรรดาสัตว์ประหลาดทั้งหลายทำท่าออกกำลังกายอยู่ในเกม หรือยืนเฉยๆ รอให้เราออกกำลังกายเพื่อลดเลือดมัน (คนเล่นเกมผจญภัยแบบปกติมาตลอดอะเนอะ...) แต่เมื่อเราเล่นไปจนคุ้นชิน และผ่านด่านไปจนถึงจุดๆ หนึ่ง มันจะเริ่มมีฟังก์ชั่นให้เราเลือกท่าต่อสู้ (ท่าออกกำลังกาย) มาให้ตรงสีศัตรู เพื่อที่เราจะได้โจมตีได้แรงขึ้น เช่น ศัตรูสีเขียว - ใช้ท่าออกกำลังกายแบบ Yoga (โยคะ) หรือศัตรูสีม่วง - ใช้ท่าจำพวก Squat (สควอท) เป็นต้น คราวนี้แหละ ต้องวางแผนพลังโจมตีแล้วคำนวณความเหนื่อยไปด้วย (บางทีเจอสควอทติดๆ กันก็ไม่ต้องเดินกันล่ะ)
สควอทกันจนครบ 100 ครั้งเลยทีเดียว
ตัวเกมมีความดีงามอยู่ที่การออกแบบท่าออกกำลังกาย ที่ทีมงานผู้พัฒนาออกแบบมาให้มีความสนุกสนานและไม่รู้สึกน่าเบื่อ เพราะถ้าเราลองเอาแค่ท่าในเกมออกมาทำเฉยๆ ก็คงรู้สึกเบื่อ แต่เกมเพลย์กลับทำให้เรารู้สึกสนุกลืมเหนื่อยไปเฉยเลย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเล่นจบด่านนั่นแหละเริ่มรู้สึกตุบๆ ขึ้นมาทันใด...
แน่นอนว่าเมื่อเราพูดถึงเกม RPG เราก็จะนึกถึงการเก็บเลเวล (ต่อไปนี้จะเรียกว่า "เก็บเวล") พอเราต้องเก็บเวล นั่นหมายความว่าเลเวลของเราต้องมีผลต่อเกม และใช่! มันมีผล แต่มีผลในรูปแบบของพลังโจมตีและพลังป้องกันของตัวเราต่อมอนสเตอร์ในแต่ละด่าน บางครั้ง การมุ่งหน้าไปด่านต่อไปเรื่อยๆ อาจไม่สามารถผ่านด่านได้ เพียงเพราะพลังป้องกันของเราไม่เพียงพอ
เมื่อถึงเวิลด์ถัดไป มีชื่อเวิลด์บอกเป็นเรื่องเป็นราวด้วยนะ
ดังนั้น เราอาจต้องเล่นด่านเก่าซ้ำอีกรอบ หรือไปเล่นมินิเกมมาเพื่อให้เลเวลอัพและมีค่าโจมตีและป้องกันเพิ่มขึ้น แค่นี้เราก็จะสามารถกลับไปสู้กับมอนในด่านที่เราเล่นไม่ผ่านได้แล้วล่ะ
ก่อนเข้าแต่ละด่านจะมีบอกเลเวลที่เหมาะสมไว้ จะลองฝืนดูก็ได้
ไม่ผ่านก็แค่ไปอัพเวลมาแล้วค่อยมาลองใหม่
ไม่ต้องไปหาสมาร์ทวอชหรืออุปกรณ์เสริมใดๆ มาวัดประเมินผลหลังเล่นให้ยุ่งยาก เพราะเกมนี้มีระบบตรวจจับชีพจรให้ในตัวโดยอาศัยฟีเจอร์ของเครื่อง Switch ที่ไม่เคยถูกใช้ในเกมใดมาก่อนที่แถบสีดำด้านใต้ของ Joy-Con (ตอนที่ได้เครื่องมาใหม่ๆ ผู้เขียนยังไม่รู้เลยว่ามันทำอะไรได้จนกระทั่งมีเกมนี้ออกมา...)
ซึ่งการวัดชีพจรนี้จะมีให้วัดกันหลังเล่นจบในแต่ละด่าน วิธีการคือวางนิ้วโป้งขวากดเบาๆ ที่แถบสีดำใต้ Joy-Con แล้วค้างไว้สักพัก (จะลองนิ้วอื่นก็ได้แต่ไม่แม่นยำเท่าไหร่) ระวังอย่ากดหนักเกินไปเพราะจะไม่สามารถวัดได้
ถ้ากดหนักเกินหรือเผลอขยับนิ้วก็จะขึ้นหน้าจอนี้
เมื่อการวัดชีพจรและประเมินผลเสร็จสิ้น เราจะได้อัตราการเต้นหัวใจออกมาพร้อมผลประเมินว่า เราออกกำลังกายได้เหมาะสมกับที่เกมออกแบบมาให้หรือไม่อย่างไร และอยู่ในระดับไหน
แน่นอนว่าเมื่อเสียเหงื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจกันไปแล้ว เราก็คงอยากรู้ว่า ไอ้สิ่งที่เราเล่นไปหรือการที่เราผ่านด่านไป เราทำอะไรไปบ้าง ท่าละกี่รอบ เกมนี้จะมีสรุปให้แทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นหลังกำจัดมอนรายทางลงได้ การผ่านด่าน และหลังเล่นมินิเกมจบ โดยผลสรุปก็จะมีตั้งแต่เวลาที่ใช้เล่น พลังงานที่เผาผลาญ ไปจนถึงจำนวนครั้งที่เราได้ออกกำลังกายไปในแต่ละท่า เป็นต้น
ซึ่งนอกจากการสรุปผลรายครั้งในการเล่นแล้ว ยังมีการเก็บผลคะแนนไว้ในเมนูตัวละครที่สามารถย้อนไปดูเมื่อไหร่ก็ได้ เราจะรู้ได้เลยว่าเรามีวินัยในการออกกำลังกายทุกวันมั้ย เราเผาผลาญแคลอรี่ได้ตามเป้าหรือเปล่า และเมื่อเราออกกำลังกายในท่าเดิมซ้ำๆ ครบจำนวนที่เกมกำหนดไว้ ก็จะมีฉายาให้ตั้งกันเล่นๆ ไว้อวดเพื่อนเวลาดูข้อมูลออนไลน์กันอีกด้วยนะ
นอกจากโหมดผจญภัยและโหมดมินิเกมที่เราสามารถเลือกออกกำลังกายได้เองแล้ว ยังมีอีกโหมดหนึ่งที่ไม่สามารถเล่นตอนเปิดเกมได้! นั่นก็คือ Multitask Mode ซึ่งถ้าหากเราต้องการเล่นในโหมดนี้ ก็จะต้องปิดเกมไปก่อนเพื่อเปิดใช้งาน Ring-Con สำหรับการเล่นในโหมดนี้โดยเฉพาะ (ดูรายละเอียดการเล่นเพิ่มเติมได้ที่นี่)
ตัวนับจำนวนครั้งจะปรากฎที่ไอคอนรูป Multitask Mode เลย
ข้อดีของการเล่นโหมดนี้คือ เราสามารถนำอุปกรณ์ไปเล่นได้โดยไม่ต้องเปิดเกม แค่เอา Joy-Con เสียบเข้ากับ Ring-Con แล้วเปิดตามขั้นตอนก็สามารถเล่นได้ทันที แถมเมื่อกลับเข้าเกมมาอีกรอบ ยังได้เหรียญไว้ซื้อของอีกด้วย
เหรียญที่เราได้รับมาหลังจบด่าน มินิเกม และการเล่นใน Multitask Mode สามารถนำไปซื้อของได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการซื้อไอเท็มเพิ่มเลือดหรือซื้อเครื่องแต่งกาย ที่เราสามารถแวะได้ที่จุดร้านค้าในเกม
ข้อดี | ข้อสังเกต |
1. ได้ออกกำลังกายในรูปแบบใหม่ ที่ไม่ต้องใช้แรงจูงใจอะไรมากมาย ใช้แค่ความอยากเล่นให้ผ่านไปด่านต่อไปก็พอ 2. มีไอเท็มหลากหลาย มีของแต่งตัว และมีฉายาให้สะสม 3. มีการบันทึกการเล่นชนิดที่ละเอียดมากๆ ไม่ต้องบันทึกสถิติการเล่นใดๆ เอง เพราะสามารถดูย้อนหลังในเกมได้ตลอด 4. ตัวเกมมาพร้อมอุปกรณ์เสริมที่ต้องใช้เล่นคู่กัน ไม่ต้องซื้อแยก | 1. Ring-Con มีขนาดใหญ่ ไม่สามารถพับเก็บได้ ทำให้ไม่เหมาะกับการพกพาไปเล่นนอกสถานที่เท่าไหร่ 2. ท่าออกกำลังกายไม่ได้มีให้เลือกทั้งหมดแต่แรก ต้องเล่นปลดล็อกไปเรื่อยๆ 3. บางครั้ง ภายในด่านเดียวกันมักเจอมอนสีเดิมๆ บ่อย ทำให้เราอาจต้องทำท่าซ้ำเดิมหลายๆ ครั้ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บทางร่างกายได้ |
รวมๆ แล้วเกมนี้เป็นเกมออกกำลังกายที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัยจริงๆ (แม้แต่เด็กเล็กๆ ราว 6 ขวบขึ้นไปก็เล่นได้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของผู้ปกครองเสมอ) เพราะเพียงแค่กำหนดตั้งค่าให้เหมาะสมกับตัวบุคคลก็สามารถเล่นได้ทันที แถมยังแยกเล่นโปรไฟล์ของใครของมันได้ด้วย ใครที่อยากลดน้ำหนักจริงจังแต่ไม่มีแรงจูงใจให้ทำเป็นประจำ หรืออยากเล่นเกมที่ได้ออกกำลังกายไปด้วยดีกว่านั่งเฉยๆ เกมนี้ตอบโจทย์แน่นอนค่ะ เผลอๆ จะมีค่าอุปกรณ์กีฬางอกเพิ่มมาด้วยอีกต่างหาก
|
เกมเมอร์หญิงทาสแมว ถ้าอยู่กับแมวแล้วจะน้วยแมวทั้งวัน |