ความเชื่อสมัยก่อนคนเราจะคิดกันว่า เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือปวช. ก็ต้องเรียนต่อให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เราสนใจในระดับสูงต่อไป คงจะใช้กับยุคปัจจุบันไม่ได้เพราะมีข้อมูลจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศบอกว่า มีคนสมัครเข้าระบบการศึกษาขั้นอุดมศึกษาลดน้อยลง จากข้อมูลในปี 2553 มีคนสมัครเข้ามาในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษา 1 ล้านคนต่อปี แต่ในปัจจุบันกลับเหลือคนที่เข้ามาในระบบการศึกษาแค่ 1 ใน 3 หรือประมาณ 3 แสนคนเท่านั้น(ทั่วประเทศ)
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดภาวะมหาวิทยาลัยมีจำนวนเยอะกว่าจำนวนคนที่เข้ามาในระบบการศึกษาส่งผลให้บางสาขา และบางคณะที่มีคนมาสมัครน้อยก็ต้องเริ่มปิดคณะไป มหาวิทยาลัยระดับโลก เช่นมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังเปิดสอนวิชาตามหมวดหมู่ หลากหลายหลักสูตร พร้อมทั้งหลักสูตรระยะสั้น ให้กับคนที่สนใจฟรี!ทั่วโลกเพียงแค่ลงทะเบียนเรียน (สำหรับใครอยากได้ใบประกาศนีบัตรจะต้องเสียเงินเพิ่มค่าสอบตามรายวิชา) มหาวิทยาลัยระดับโลกเปิดคอสเรียนให้กับบุคคลทั่วไป แถมฟรีแบบนี้ผมว่ามหาวิทยาลัยในไทยต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะครับเดี๋ยวเราจะเห็นภาพนักเรียนนั่งเรียนวิชากับครูจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่กระท่อมปลายนา รับรองได้เห็นแน่นอน
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้มหาวิทยาลัยในประเทศไทยต้องเตรียมปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หลายมหาวิทยาลัยใช้ระบบที่เรียกว่า Open University เพื่อแก้ปัญหาคนสมัครเรียนที่น้อยลง โดยเป้าหมายคือดึงคนที่จบการศึกษาไปแล้วมาเรียนต่อ ซึ่งคนเหล่านี้มีกำลังเงินสำหรับจ่ายค่าเรียนเอง อีกทั้งวุฒิภาวะก็เหมาะสมที่จะลงทุนด้านการศึกษาอีกด้วย จะเห็นตัวอย่างจาก มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์เปิดหลักสูตรแพทย์นานาชาติรับนักเรียนที่จบปริญญาตรีจากทุกสาขาเข้าเรียน ถือเป็นตัวอย่างการปรับตัวที่เข้าใจสภาพปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง
มหาวิทยาลัยจึงควรเปิดโอกาสให้คนที่สนใจที่จะศึกษาต่อ เข้ามาเก็บชั่วโมงเรียนหรือรายวิชา ในช่วงเวลาที่เหมาะสมรายบุคคล (ไม่ใช่เวลาที่มหาวิทยาลัยสะดวก) อาจจะใช้เทคโนโลยีที่ผ่านระบบออนไลน์ เปิดให้คนที่ลงทะเบียนเป็นผู้ศึกษาเข้ามาเปิดเรียนได้ทุกช่วงเวลา และสามารถทิ้งคำถามที่ไม่เข้าใจ ไว้ในวิชาหรือกลุ่มของคนที่เรียนให้อาจารย์มาพิมพ์ตอบคำถามภายหลัง แล้วมาสอบเพื่อรับประกาศนียบัตรเทียบชั้นต่อไป โดยมีข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ประชากรรวมทั้งประเทศประมาณ 70 ล้านคน มีคนใช้ Internet รวมคร่าวๆ ประมาณ 50 ล้านคนการทำ Open University แล้วให้เรียนผ่านทางออนไลน์ จึงเป็นทางออกอีกทางหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่ควรจะต้องพิจารณา
จากปัจจัยที่คนเข้าระบบการศึกษาน้อยลง มหาวิทยาลัยต้องรีบปรับตัวจากปัจจัยที่บังคับไม่ได้ โอกาสที่ทำให้ มหาวิทยาลัยโชคดีที่สุดในตอนนี้คือ ทางรัฐบาลมีการจัดทำ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีการวางพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เข้ามาปรับปรุงธุรกิจในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ แต่การที่จะพัฒนาประเทศให้ไปถึงจุดนั้นได้คือการเริ่มพัฒนา Big Innovation โดยสิ่งสำคัญที่สุดของ Big Innovation คือคนที่จะมาพัฒนา ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยคือการขาดคนเข้ามาจัดการเรื่องนี้โดยตรง ส่งผลให้ Big Innovation ระดับโลกทั้งที่อยู่ในไทยอยู่ก่อนแล้วหรือเจ้าใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ได้ไปเริ่มย้ายในต่างประเทศข้างบ้านเรา เพราะคนของประเทศเพื่อนบ้านพร้อมสำหรับการทำ Big Innovation มากกว่าประเทศไทย
จากการสอบถาม และพูดคุยกับคณบดีของมหาวิทยาลัยหลายแห่งพบว่า ประเด็นที่คนสนใจ และเป็นแรงผลักดันให้คนสนใจศึกษาต่อ คือการทำหลักสูตรแบบ Reskill และ Upskill โดยหลักสูตรลักษณะดังกล่าว จำเป็นต่อยุคปัจจุบันเพื่อเตรียมพร้อมกับการ Disrupt ที่คนไทยกำลังเจออยู่ โดยการ Reskill คือการเปลี่ยนอาชีพที่ทำอยู่ไปเป็นอีกอย่างโดยสิ้นเชิงโดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียนมา โดยมหาวิทยาลัยจะต้องเปิดรับ คนที่จบไม่ตรงกับสาขาที่เรียน เพื่อให้ผู้สนใจได้เรียนตามที่อยากเรียน แต่การ Upskill คือการนำความรู้ความสามารถ และวิชาที่มีมาทำให้มีความฉลาดมากขึ้นใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นเช่น นำความรู้คณะต่างๆ มาพัฒนาให้มีความฉลาดขึ้น ต่อยอดการทำงานได้มากขึ้น เช่นเรื่องการทำวิเคราะห์สรุปผลข้อมูล สามารถเอามาต่อยอดโดยการศึกษา Deep Learning เพื่อหาคำตอบบางอย่างในเสี้ยววินาทีเป็นต้น
ได้มีการวิจัยชิ้นหนึ่งน่าสนใจ ระบุว่า การที่บุคคลกำลังจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง คนคนนั้นจะไม่เอาข้อมูลมาตัดสินใจ แต่คนจะตัดสินใจเห็นด้วยกับความคิดที่คิดไว้ในหัวอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าจะมีข้อมูลอะไรที่ถูกต้องวางไว้ตรงหน้ามากมาย ทำให้คนถูกแบ่งโดย ความคิด ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ในสังคม แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ การคิดในแง่บวก (Positive Thinking) ไม่ว่าการคิดต่างมากกันแค่ไหน ถ้าเราคิดในแง่บวก และช่วยกัน ก็จะสามารถพัฒนาตัวเองและชาติต่อไปได้ในทางที่ดีขึ้น
การพัฒนาตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ยังจำเป็นเสมอ ถึงโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การเรียนรู้เพื่อเสริมทักษะตนเองจึงต้องทำอยู่ตลอด ลองคิดดูนะครับถ้าความรู้เมื่อ 5 ปีที่แล้วอาจไม่มีประโยชน์ในวินาทีนี้แล้วก็ได้ เหตุการณ์นี้จะน่ากลัวแค่ไหนตัวเราต้องอัพเดทข้อมูลตลอดเวลาถึงจะทันกลับโลกยุคนี้ ส่วนในมุมของมหาวิทยาลัย ก็ควรปรับตัวให้ยืดหยุ่น ไม่ยึดผู้สอนเป็นที่ตั้ง เปิดโอกาสให้กับคนที่ตั้งใจอยากเรียนถึงแม้จะไม่มีพื้นฐานด้านนี้มาก็ตาม นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ลองทำอะไรแปลกใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะคนเรียนสามารถเลือกเรียนได้ทั้งโลก ไม่จำเป็นจะต้องเรียนในพื้นที่ที่อยู่อาศัยอยู่อีกต่อไป
|
Review...Every thing |