10 อันดับหนังซอมบี้ ในดวงใจของ Watch Da Film

10 อันดับหนังซอมบี้ ในดวงใจของ Watch Da Film

ทุกคนคิดเหมือนผมไหมว่าสถานการณ์การระบาดของ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 แบบนี้มันคุ้นๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนเคยเห็นจากใน หนังซอมบี้ (Zombie Movie) ยังไงยังงั้น ?

เนื่องจาก ไวรัส COVID-19 เราจะมาพูดถึง หนังภาพยนตร์ (Movie) แนวซอมบี้กันสักหน่อย ซึ่งหนังซอมบี้ถือเป็นหนังแนวที่เราโปรดปรานแนวหนึ่ง จึงอยากจะมาจัดอันดับในใจจะว่าไปแล้วก็ไม่เคยจัดเหมือนกันนะ 10 อันดับหนังซอมบี้ ซึ่งบอกเลยว่าจัดยากมว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ! เรื่องนั้นก็ดี เรื่องนี้ก็ใช่ จึงออกมาเป็น 10 อันดับในใจเรานั่นแหละ ต้องบอกก่อนว่า 10 อันดับนี้ไม่ได้เรียงจากแย่ที่สุดไปดีที่สุดนะ แต่มันเรียงจากความชอบ เรียงจากความถูกจริตส่วนตัวล้วนๆ

อ๋ออาจมีบางเรื่องบางส่วนเปิดเผยเนื้อหาของหนังนะ ถ้าใครยังไม่ได้ดูเรื่องไหนก็ข้ามได้นะ

10. หนัง One Cut of the Dead (2018)

https://www.themoviedb.org/movie/513434/images/posters

มาเริ่มกันที่เรื่องแรกคือ หนังภาพยนตร์ One Cut of the Dead หรือชื่อไทยน่ารักๆ ว่า วันคัท ซอมบี้ งับๆๆๆ หนังที่เป็นกระแสมากๆ ตั้งแต่ก่อนจะเข้าฉายในไทยเสียอีก เพราะที่ญี่ปุ่นนี่คือเปิดตัวเปรี้ยงปร้างมาก ตีเป็นเงินไทย 9 แสนบาท แต่ทำรายได้เปิดตัวไป 330 ล้านบาท และใช้เวลาถ่ายทำแค่ 8 วันเท่านั้น

นี่คือหนังจากฝีมือของผู้กำกับ เขียนบท และตัดต่อเองของ Shinichiro Ueda ที่เรียกได้เลยว่ามันคือผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาเลย

Shinichiro Ueda
https://www.kviff.com/en/programme/film/5026563-one-cut-of-the-dead/

นี่คือเรื่องราวง่ายๆ ของกองถ่ายหนังที่บังเอิญเจอกับซอมบี้จริงๆ มันไม่ใช่หนังซอมบี้แบบทั่วๆ ไป มันสนุก ตลก และทำให้ยิ้มได้ในหลายฉาก กับจุดขาย Long Take ที่ลากยาว 37 นาทีเลยทีเดียว และช่วงต้นของหนังนี่ทำให้เราด่าหนังไปเยอะเลยนะ จุดติเยอะมาก แต่พอครึ่งหลังก็ได้เข้าใจแล้วได้แต่ยกมือไหว้และกราบขอโทษ เพราะหนังมันดี ดีมากจริงๆ นอกเหนือจากนั้นเรายังได้เห็นเบื้องหลังการทำงานต่างๆ ของเบื้องหลังหนังสักเรื่องด้วย 
แต่ที่มันอยู่อันดับ 10 อย่างที่บอกว่าไม่ใช่มันไม่ดี จริงๆ เราให้คะแนนเรื่องนี้ไว้ 10/10 ด้วยซ้ำ แต่ด้วยองค์รวมความเป็นหนังซอมบี้เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ แล้วเรายังมีเรื่องอื่นที่ชอบกว่าเท่านั้นแหละ แต่เรื่องนี้มันดีจริงๆ นะ รู้สึกดีมากๆ ที่ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้

9. หนัง Warm Bodies (2013)

https://www.imdb.com/title/tt1588173/

Warm Body หรือชื่อไทยว่า ซอมบี้ที่รัก ผลงานการกำกับของ Jonathan Levine เป็นหนังที่สร้างมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ Isaac Marion และนำแสดงโดย Nicholas Hoult กับ Teresa Palmer

https://www.imdb.com/title/tt1588173/mediaviewer/rm937599488

เรื่องราวเกี่ยวกับหนุ่มคนหนึ่งที่ยังไม่เคยมีแฟน แต่โลกดันเกิดวิกฤติซอมบี้ แล้วตัวเองก็โดนกัดกลายเป็นซอมบี้เสียก่อน เขาจำอะไรไม่ได้ จำได้แค่เพียงว่าตัวเองมีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว R (ซับฉากพูดชื่อ) แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป และเมื่อเขากินเหยื่อ เขาก็ได้รับความทรงจำ ความรู้สึกต่างๆ กลับมาอีกครั้ง ทำให้รู้สึกมีชีวิตขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะความรู้สึก รัก เมื่อ R ได้บังเอิญตกหลุมรักมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งในระหว่างล่าเหยื่อ! เขาจึงพาเธอกลับมาใช้ชีวิตด้วย!

หนังมีความสร้างสรรค์มาก และมีทั้งความสนุก ตลก บันเทิง แอ็คชั่นบ้าง ตื่นเต้นหน่อยๆ และโรแมนติค!? 

อย่างแรกที่ชอบเลยคือ มุมมองการเป็นซอมบี้ เราได้เห็นมันบอกเล่าผ่านตัวละคร R นี่แหละ และนั่นคืออย่างที่สองที่เราชอบ กับการแสดงของ Nicholas Hoult ที่เล่นได้ดูอึนๆ ดี ซอมบี้จีบสาวอะ 555 เป็นซอมบี้ที่น่าเอ็นดูอะ ขนาดเป็นซอมบี้ยังโคตรหล่อ โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าคู่นั้น เป็นซอมบี้ที่ตาหวานมาก 555 สุดท้ายคือคอนเซ็ป กับการพัฒนาการความเป็นมนุษย์ทีละนิดๆ ของซอมบี้ ที่สำคัญคิดได้ยังไงว่าให้ซอมบี้มีความรัก และการมีความรักทำให้หัวใจกลับมาเต้น กลับมามีชีวิตอีกครั้ง

8. หนัง World War Z (2013)

https://www.imdb.com/title/tt0816711/

หนังภาพยนตร์ World War Z หรือ มหาวิบัติสงคราม Z เป็นหนังซอมบี้ที่ออกฉายปีเดียวกับ Warm Body เลย แต่ความรู้สึกโคตรคนละเรื่องเลย

ผลงานการกำกับของ Marc Forster ที่ก่อนหน้าเรื่องนี้เขาเคยกำกับหนึ่งในแฟรนไชส์ James Bond อย่าง Quantom of Solace (2008) มาแล้ว และในปี 2018 ก็กำกับ Christopher Robin ด้วย

Marc Forster
https://www.imdb.com/title/tt0816711/mediaviewer/rm2624037888

World War Z แสดงนำโดย Brad Pitt เขารับบทเป็น Gerry Lane เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติ ได้เผชิญหน้ากับการระบาดของซอมบี้ ทำให้ต้องอพยพลูกเมีย และตัวเองออกไปช่วยเหลือมนุษยชาติ โดยเชื่อว่าต้นกำเนิดของไวรัสซอมบี้นี้มาจากเกาหลีเหนือ

ความสนุกของมันคือการเอาชีวิตรอด ตื่นเต้น ลุ้นระทึก และความเยอะ เป็นหนังที่ซอมบี้โคตรเยอะ เยอะที่สุดตั้งแต่เคยดูมา โคตรชุลมุนวุ่นวาย ชิบหายวายป่วงสุดๆ ที่สำคัญมันวิ่งโคตรเร็ว ขอเรียกว่ามันคือซอมบี้ ยูเซน โบลต์ (ดูความเร็วของมัน) 

7. หนัง Dawn of the Dead (2004)

https://www.imdb.com/title/tt0363547/

หนังภาพยนตร์ Dawn of the Dead หรือรุ่งอรุณแห่งความตาย ที่แล้วจะพูดถึงนี้เป็นเวอร์ชัน 2004 นะ มันมีเวอร์ชันต้นฉบับแหละในปี ค.ศ. 1978 จำได้คร่าวๆ ว่าเคยดู แต่จะรายละเอียดอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ จึงขอมาพูดถึงเวอร์ชันดัดแปลงใหม่นี่แหละ

ในเวอร์ชันปี 2004 นี้ เป็นผลงานการกำกับของชื่อที่หลายคนคุ้นหูอย่าง Zack Snyder ที่กำกับ 300 (ค.ศ. 2006), Watchmen (ค.ศ. 2009), Man of Steel (ค.ศ. 2013), Batman v Superman (ค.ศ. 2016) หรือหนังเจ้าปัญหาที่เรียกร้อง Snydercut อย่าง Justice League (ค.ศ. 2017)

Zack Snyder
https://filmdaily.co/news/zack-snyder-zombies/

แสดงนำโดย Sarah Polley กับเรื่องราวการระบาดของซอมบี้ ที่มีกลุ่มคนต้องคอยเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้โดยการไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เวลาเกิดหายนะ นั่นก็คือห้างสรรพสินค้ายังไงล่ะ

ฟังดูเหมือนธรรมดา แต่รับประกันความสนุก มันส์ ตื่นเต้นแน่นอน หนังไม่รอช้าเรียกความตื่นเต้นตั้งแต่ต้นเรื่อง แสดงให้เราเห็นถึงความชิบหายวายป่วงตั้งแต่ต้นเรื่องเลยทีเดียว

6. หนัง I Am A Hero (2015)

https://cephuscorner.jadedragononline.com/j-drama-review-i-am-a-hero-2016/

ข้ามมาทางซอมบี้จากฝั่งแดนอาทิศอุทัยอย่างญี่ปุ่นกันบ้าง กับผลงานการกำกับของ Shinsuke Sato ที่มักทำหนังที่ดัดแปลงมาจากมังงะ เช่น Gantz (ค.ศ. 2010), Death Note (ค.ศ. 2016), Inuyashiki, Bleach เรียกได้ว่ามาทางนี้เลย

Shinsuke Sato
https://www.imdb.com/name/nm0766263/?ref_=nmmi_mi_nm

และหนังเรื่องนี้ก็สร้างมาจากมังงะชื่อเดียวกันที่โคตรสนุก คือจริงๆ ปกติไม่ค่อยอ่านมังงะหรือดูอนิเมะญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่พอมาทางซอมบี้ก็เลยสนใจไปหาอ่านเสียหน่อย และผลคือไม่ผิดหวัง พอมาเป็นหนังก็เลยติดตามอย่างทันที

https://www.amazon.com/I-am-Hero-Omnibus-1/dp/1616559209

หนังภาพยนตร์ I Am Hero เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักวาดการ์ตูนที่ชื่อว่า Hideo Suzuki ที่มีความฝันอยากเป็นฮีโร่ ตัวเองมักเจอเหตุการณ์ประหลาดๆ โดยเฉพาะภาพหลอน จนมาวันหนึ่งเขาพบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป และคนรอบตัวก็ได้กลายเป็นซอมบี้กันหมด! โดยไวรัสที่ว่านั้นมันถูกเรียกว่า ZQN เขาจึงต้องใช้ลูกซองที่เขาเก็บไว้ใช้ในกีฬายิงปืน ออกปกป้องผู้คน 

หากใครเคยอ่านฉบับมังงะมาก่อนก็จะเห็นว่ามันแทบจะดำเนินเรื่องตามมังงะแบบเป๊ะๆ แต่มันก็เป็นการดี ที่ได้เห็นการ์ตูนที่เราชอบมาอยู่ในรูปแบบหนัง แถมมันยังออกมาดีอีกต่างหาก ว่าแล้วก็ไปหยิบมังงะเรื่องนี้มาอีกอีกสักรอบก็ดีเหมือนกันแฮะ 

5. หนัง 28 Days Later... (2002) + 28 Weeks Later (2007)

 
https://www.imdb.com/title/tt0289043/
https://www.imdb.com/title/tt0463854/

อันดับที่ 5 นี้เลือกไม่ได้จริงๆ ขอเอามาทั้งสองเลยละกัน 555 นั่นคือหนังซอมบี้ที่มีชื่อว่า 28 Days Later และ 28 Weeks Later 

ถ้าถามว่า 2 ภาคนี้ชอบภาคไหนมากกว่า ตอบไม่ได้แหะ มันชอบคนละแบบ แต่ที่สำคัญ เท่าที่จำความได้ 28 Days Later นี่เป็นหนังซอมบี้เรื่องแรกๆ ในชีวิตที่เราได้ดู มันเหมือนเป็นหนังเปิดโลกหนังซอมบี้ของเราเลย และก็ชอบหนังซอมบี้มาตั้งแต่นั้นมา  

28 Days Later เป็นผลงานการกำกับของ Danny Boyle ผู้กำกับมากจินตนาการ หากใครนึกไม่ออกก็หนัง Trainspotting (ค.ศ. 1996),T2 Tainspotting (ค.ศ. 2017), Slumdog Millionaire (ค.ศ. 2008), 127 Hours (ค.ศ. 2010), Yesterday (ค.ศ. 2019) และเรื่องนี้แสดงนำโดย Cillian Murphy

Danny Boyle
https://www.celebritynetworth.com/richest-celebrities/directors/danny-boyle-net-worth/

โดยจุดเริ่มต้นของเชื้อไวรัสนี้มาจากลิงชิมแฟนซีที่ถูกทดลองและติดเชื้อ พวกมันถูกปลดปล่อยออกมา และอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง 28 วันหลังจากนั้นชายคนหนึ่งตื่นขึ้นมาจากอาการโคม่าแล้วพบว่าโลกที่เขาอยู่เปลี่ยนไปมีแต่ความเงียบงันและว่างเปล่า แต่เขาก็พบว่ามีผู้ติดเชื้อกำลังออกอาละวาด

หนังภาพยนตร์ 28 Days Later ไม่ใช่หนังแบบเอาตัวรอดหนีซอมบี้ไล่ฆ่าซอมบี้ขนาดนั้น มันจะดำเนินเรื่องช้าๆ หน่อย ช่วงหลังก็จัดเต็มหน่อย มันไม่ใช่แค่ซอมบี้เท่านั้นแต่มันมีการเอาชีวิตรอดระหว่างคน ไล่ฆ่าคนกันเองด้วย! 

28 Weeks Later เป็นเรื่องราวภาคต่อของ 28 Days Later นั่นแหละ แต่ในภาคนี้เปลี่ยนทั้งผู้กำกับและคนเขียนบทเลยทีเดียว โดยภาคนี้เป็นฝีมือการกำกับของ Juan Carlos Fresnadillo แต่ Danny Boyle และคนเขียนบทภาคแรกก็มาช่วยอำนวยการสร้างด้วย แถมดาราในภาคนี้ยังมีชื่อขึ้นมาอีก ทั้ง Robert Carlyle, Jeremy Renner, Idris Elba เป็นต้น

 Juan Carlos Fresnadillo
https://sites.google.com/site/sallyalsop188/28-weeks-later-helmer-juan-carlos-fresnadillo-in-talks-to-direct-haunted-for-amblin

ถ้าถามว่าไม่ดูภาคแรกมาจะรู้เรื่องมั้ย เอาจริงๆ ก็ดูรู้เรื่องนะ แต่แนะนำให้ดูดีกว่า ซึ่งมี Facts นิดนึงว่าเหตุการณ์ในภาคแรกที่เกิดขึ้นมันแค่ที่อังกฤษเท่านั้น แต่ที่ตัวละครคุยกันว่ามันเกิดการระบาดไปที่ปารีสและนิวยอร์กมันคือเรื่องโกหก เพราะต้องการจำกัดพื้นที่ในการระบาดของเชื้อไวรัสไว้ที่อังกฤษ ในภาคนี้เรื่องราวเริ่มต้น 28 สัปดาห์ให้หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกที่ทางอเมริกาเข้ามาช่วยฟื้นฟูอังกฤษ แล้วบอกว่าปลอดเชื้อแล้วสามารถเข้าไปอยู่ได้บางส่วน จึงทำให้เริ่มทยอยคนเข้าไป แต่ไม่นานความชิบหายครั้งใหม่ก้มาเยือน เมื่อเด็กสองคนไปเจอแม่ที่ถูกกัดแต่ไม่กลายเป็นซอมบี้ แต่พอผู้เป็นพ่อไปจูบแม่เท่านั้นแหละ ความบรรลัยจึงบังเกิด ซึ่งแค่เปิดมาฉากแรกๆ คงพอเดาได้แล้วว่าภาคนี้ต่างจากภาคแรกพอสมควร มีแอ็คชั่นเยอะกว่า ดำเนินเรื่องเร็วกว่า ซอมบี้จัดเต็มกว่า ที่สำคัญเพลงประกอบในภาคนี้แม่มระทึกเหลือเกิน 5555 

4. หนัง Zombieland (2009) + Zombieland: Double Tap (2019)

 
https://www.imdb.com/title/tt1156398/
https://www.imdb.com/title/tt1560220

อีกหนึ่งอันดับที่ไม่อยากแยกกัน และเราก็ชอบทั้งคู่เลย กับเรื่อง Zombieland และ Zombieland: Double Tap หนังซอมบี้คอเมดี้แบบกวนๆ ซึ่งถ้าถามจริงๆ ว่าชอบภาคไหนมากกว่า ก็คงเป็นภาคแรกแหละ แต่ภาค 2 ก็ไม่ได้แย่แต่อย่างใด

Zombieland ทั้งสองภาคกำกับโดย Ruben Fleischer ที่เคยฝากผลงานไว้ในหนังมาเฟีย Gangster Squad (2013) และทีมนักแสดงทั้งสองภาคชุดเดิมที่ประกอบไปด้วย Jesse Eisenberg, Woody Harrelson, Emma Stone และ Abigail Breslin 

Ruben Fleischer
https://variety.com/2019/film/features/ruben-fleischer-returns-zombieland-double-tap-1203369973/

จริงๆ เนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่กลุ่มคนเอาตัวรอดจากโลกที่เต็มไปด้วยเหล่าซอมบี้ แต่ความสนุกของมันอยู่ที่ความกวน ความฮา ความเข้าขากันของกลุ่มตัวเอกนี่แหละ 

พระเอกตั้งกฏในการเอาตัวรอดต่างๆ ที่เรามักคิดว่าทำไมในหนังซอมบี้ทั่วไปไม่ทำงั้นวะทำงี้วะ ในหนังเรื่องนี้ก็เอาจุดนั้นมาล้อเนี่ยแหละ รวมถึงบทสนทนาฮาๆ, ฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ, ความกวนตีน เป็นหนังซอมบี้ที่ครบรสมากจริงๆ 

ในภาคสองเนื้อเรื่องก็จะต่อกันเลย ถ้าถามว่าจำเป็นต้องดูภาคแรกมาก่อนถึงจะรู้เรื่องหรือเปล่า จริงๆ ไม่ต้องก็ดูรู้เรื่องนะ แต่จะไม่อินไม่เก็ตกับมุกหรือแนวทางของหนัง รวมถึงความสัมพันธ์ของตัวละครสักเท่าไหร่ แนะนำให้ดูมาดีกว่า สนุกจริงๆ นะ

3. หนัง Train to Busan (2016)

https://www.imdb.com/title/tt5700672/

มาถึง Top 3 แล้วววว มาถึงหนังที่เหมือนกับว่าจุดประกายหนังเกาหลีในบ้านเราอีกครั้ง กับความยอดเยี่ยมของหนังซอมบี้ที่ชื่อว่า Train to Busan 

เป็นปีๆ เหมือนกัน ที่ไม่ได้ดูหนังซอมบี้ดีๆ แต่ในที่สุดเรื่องนี้ก็ปรากฏออกมา ผลงานของผู้กำกับ Sang-ho Yeon นำแสดงโดย Yoo Gong ขวัญใจหลายคน

Sang-ho Yeon
https://www.imdb.com/title/tt5700672/mediaviewer/rm2818852864

หนังภาพยนตร์ Train to Busan เป็นเรื่องราวของไวรัสที่แพร่ระบาดในเกาหลีใต้ ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องพาลูกตัวเองเอาชีวิตรอดจากกรุงโซล (Seoul) เมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ให้จงได้ โดยพวกเขามีแผนเอาตัวรอดด้วยการขึ้นรถไฟไปเมืองปูซาน (Busan)

นับว่าเป็นหนังซอมบี้น้ำดีจริงๆ ที่มีทุกอย่างของความเป็นหนังซอมบี้ที่ควรมี แถมยังทำออกมาได้สนุกไม่น่าเบื่อ มีทั้งความน่ากลัว ความตื่นเต้น การเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัว ... และการเสียสละ ฮืออออ…

และมันก็มีหนังอนิเมชั่นเป็นภาคต้นกำเนิดของเหตุการณ์ออกมาในชื่อเรื่อง Seoul Station ที่เนื้อเรื่องไม่ไหวจริงๆ ดูไปก็ได้เข้าใจแหละถึงเรื่องราวต้นกำเนิดใน Train to Busan แหละ แต่มันก็ถือว่าเนื้อเรื่องน่าผิดหวังมาก เทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ภาคต่อกำลังจะเข้าในอีกไม่ช้านี้แล้วกับ Peninsula 

2. หนัง REC (2007)

https://www.imdb.com/title/tt1038988

ที่เราจะพูดถึงนับว่าเป็นสุดยอดหนังซอมบี้ในแนวแบบจริงจังเลย ขอยกให้ หนังภาพยนตร์ REC นี่แหละ (แค่ภาคแรกนะ) หนังสัญชาติสเปน กับสไตล์หนังแบบ Found Footage ถือกล้อง Handheld ถ่ายทั้งเรื่อง ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้น่าจะมีอ้วกบ้างแหละ 5555 ผลงานการกำกับของ Paco Plaza และ Jaume Balagueró

 Paco Plaza และ Jaume Balagueró
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Paco_Plaza_and_Jaume_Balaguer%C3%B3.jpg

หนังภาพยนตร์ REC เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักข่าวสาวชาวสเปนรายหนึ่งที่ไปทำข่าวเกี่ยวกับหน่วยดับเพลิง และบังเอิญได้มีรายงานแจ้งเข้ามาว่ามีคนต้องการความช่วยเหลืออยู่ในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง ทำให้หน่วยดับเพลิงต้องไปช่วยเหลือและเธอกับตากล้องก็ตามไปทำข่าว แต่สถานการณ์ที่พวกเขาเจอมันไม่ปกติ เมื่อยามคนหนึ่งโดนกัด และพวกเขาทั้งหมดก็โดนขังเอาไว้ในอพาร์ทเมนต์แห่งนั้นพร้อมกับซอมบี้

ด้วยความที่หนังเป็นแนวถือกล้องถ่ายด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้หนังดูสมจริง น่าตื่นเต้น น่ากลัว มากกว่าหนังปกติ และด้วยความสุดยอดของหนังเรื่องนี้ ทำให้ทางอเมริกาได้ซื้อไปรีเมคใหม่ในชื่อ Quarantine (ค.ศ. 2008) ที่เนื้อเรื่องเหมือนกันเป๊ะๆ แค่คนละภาษา คนละนักแสดงเท่านั้น

https://www.imdb.com/title/tt1082868

ทางฝั่งหนังภาพยนตร์ REC ก็ได้สร้างภาคต่อออกมาถึง 4 ภาค โดยภาคหลังๆ เริ่มออกทะเลละ ภาค 2 พอได้นะ เป็นเรื่องราวกลุ่มทหารที่เข้าไปจัดการเรื่องในอพาร์ทเมนต์จากภาคแรก และเป็นว่าเรื่องราวกลายเป็นเรื่องทางศาสนา ผี ปีศาจ แต่ยังดำเนินเรื่องด้วยการถือกล้องอยู่ ภาค 3 ก็ไปไกลละเป็นหนังคัลท์เจ้าสาวไล่ฆ่าซอมบี้ ใช้ถือกล้องดำเนินเรื่องแปบเดียว และถ่ายปกติ ส่วนภาค 4 ก็เป็นการสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นและไม่ใช้การถือกล้องดำเนินเรื่องแล้วเช่นกัน ที่แย่คือทิ้งประเด็นใน 2 ภาคแรกซะอย่างนั้น กลายเป็นปรสิตเฉย แล้วผีปีศาจนั่นอะ … คือสองภาคหลังขาดเสน่ห์ความเป็น Rec แบบสุดๆ เข้าขั้นผิดหวังเลยแหละ 

https://www.imdb.com/title/tt1245112/

https://www.imdb.com/title/tt1649444/

https://www.imdb.com/title/tt1649443

ส่วนทางด้านอเมริกาที่เอาไปรีเมคก็ทำภาค 2 ออกมาในชื่อ Quarantine 2: Terminal (ค.ศ. 2011) ก็ไม่มีอะไรเลย เป็นเรื่องราวเครื่องบินลงจอดฉุกเฉินในสถานที่กักกันที่เต็มไปด้วยซอมบี้ แค่นั้นอะ

https://www.primevideo.com/detail/Quarantine-2-Terminal/0MATCUJ4T3T4BGX9VCUOWZBA7G?_encoding=UTF8&language=th_TH

REC ภาคแรก The Best แล้ว...

1. หนัง Shaun of the Dead (2004)

https://www.imdb.com/title/tt0365748/

และแล้วก็มาถึงอันดับ 1 หนังซอมบี้ที่เราโปรดปรานที่สุด นั่นก็คือ หนังภาพยนตร์ Shaun of the Dead หรือชื่อไทยว่า รุ่งอรุณแห่งความวายป่วง อาจจะไม่ใช่หนังซอมบี้โหดเลือดสายแต่ขอเรียกมันว่าเป็นหนังแนว Rom-Zom-Com (Romantic Zombie Comedy) ละกัน 

Shaun of the Dead เป็นผลงานของ Edgar Wright ที่มีผลงานใน Baby Driver (ค.ศ. 2017)

Edgar Wright
https://www.rogerebert.com/balder-and-dash/a-true-cinephile-behind-the-wheel-on-the-films-of-edgar-wright

แสดงนำโดย Simon Pegg และ Nick Frost ที่บอกเลยว่าสร้างชื่อให้กับพวกเขาสุดๆ กับเรื่องราวของ Shaun พนักงานขายที่ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิต ตัวเขาได้มีปัญหากับแฟนสาวจนถึงขั้นเลิกลา เพราะโดนหาว่าเป็นคนไม่เอาไหน แถมยังให้เพื่อนสนิทมาอยู่บ้านโดยไม่ทำอะไร ไม่ถูกกับพ่อเลี้ยงและต้องไปเยี่ยมแม่อีก แต่ความซวยก็ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะดันเกิดไวรัสระบาดคนติดเชื้อกลายเป็นซอมบี้ทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้ Shaun และเพื่อนสนิทต้องออกไปช่วยเหลือแม่ของเขา และกลับไปเอาชนะใจแฟนสาวท่ามกลางวิกฤติซอมบี้นี้ให้ได้

มันเป็นหนังซอมบี้เรื่องนึงที่เจ๋งมาก จังหวะหนังเฉียบ มุกฮา ใช้เพลงประกอบจังหวะหนังได้อย่างยอดเยี่ยม มีการเล่นกับภาพจำหลายต่อหลายฉาก มีการใช้เทคที่ชี้ให้เห็นเอกลักษณ์ของ Edgar Wright อย่างการใช้ Quick Cut มีการเคลื่อนกล้อง เคลื่อนเลน มุมภาพที่ครบถ้วนมาก ชอบที่หนังค่อยๆ ปูเรื่องราวความชิบหาย  ผ่านชีวิตประจำวันของ Shaun ได้อย่างชาญฉลาด ข่าวเอย ผู้คน ภาพจำ เสียงรถหวอ คือดูได้สนุกและเพลินมาก หัวเราะออกมาเป็นระยะๆ ยันจบเรื่องเลยทีเดียว

Quick Cuts/Crash Zoom

ภาพจำ ฉากเหมือน

จังหวะฉากเข้ากับดนตรี

สำหรับใครที่ไม่เคยดู ไปหามาดูด่วนๆ !!!

เนื่องด้วยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราชอบที่สุดก็จะมาบอก Fact สักหน่อยว่า Shaun of the Dead เป็นหนังเรื่องนึงในไตรภาคของ Edgar Wright ที่ถูกเรียกว่า Three Flavours Cornetto Trilogy (หรือจะเรียกว่า Cornetto Trilogy หรือ Blood and Ice Cream Trilogy) แปลเป็นไทยแบบเก๋ๆ ว่า ไตรภาคคอนเน็ตโต้แกล้มเลือด!!! 
เริ่มจาก หนังภาพยนตร์ Shaun of the Dead (ค.ศ. 2004) ตามด้วย Hot Fuzz (ค.ศ. 2007) และ The World’s End (ค.ศ. 2013)

โดยการเลือกใช้คอนเน็ตโต้แต่ละรสแทนแต่ละเรื่องมันถูกแบ่งแบบนี้

Shaun of the Dead จะเป็น Strawberry Cornettos แทนโทนของหนังเป็นสีแดง และบ่งบอกถึงเลือด

Hot Fuzz เป็น Vanilla Cornettos (รสดั้งเดิม) แทนโทนของหนังที่เป็นสีน้ำเงิน และบ่งบอกถึงหนังดั้งเดิมตำรวจจับผู้ร้าย

The World’s End ใช้รส Mint Chocolate Chip แทนโทนหนังที่เป็นสีเขียว และบ่งบอกถึงเอเลี่ยน

คือเป็นหนังทุนต่ำที่ใช้ตัวละครเดียวกันและใช้คอนเน็ตโต้ 3 รสแทนเนื้อหาในแต่ละเรื่อง แถมในแต่ละเรื่องก็จะมีคอนเน็ตโต้แต่ละรสนั้นโผล่มาด้วย! แนวไอเดียเริ่มแรกมาจากตัวของผู้กำกับ Edgar Wright มักจะกินคอนเน็ตโต้เพื่อรักษาอาการเมาค้างนั่นแหละเขาจึงเอามาใช้ใน Shaun of the Dead ไอเดียนี้ หลายคนอาจเคยได้ยินว่าเขาอยากกินฟรีเพราะเคยได้ฟรีตอนรอบปฐมทัศน์ Shaun of the Dead จึงใส่มาในอีกสองเรื่อง แต่เรื่อง 2 ไม่ได้กินนะ ได้กินแค่เรื่อง 3

จริงๆ แล้วนั่นแค่มุกเฉยๆ เรื่องจริงคือเขาได้แรงบันดาลใจมาจากหนังของผู้กำกับชาวโปแลนด์ Krzysztof Kieslowski

https://www.imdb.com/name/nm0001425/mediaviewer/rm482443520

กับ Three Colors Trilogy ที่ทำหนังออกมา 3 เรื่อง 3 สี ชื่อเรื่องว่า Blue White และ Red ที่เปรียบเหมือนธงชาติฝรั่งเศส ที่ตัวผู้กำกับยึดแนวคิดปฏิวัติฝรั่งเศส กับคำขวัญ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ

https://www.deezer.com/en/album/10776114

ก่อนจากกันของบทความ 10 อันดับหนังซอมบี้

ก็เท่านี้แหละครับ ถ้าใครมีหนังซอมบี้เรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ หรือมีหนังซอมบี้ในดวงใจ ไม่ก็หนังอะไรอยากแนะนำก็สามารถทักมาคุยกันได้เลยนะครับ และถ้าอยากรู้ อยากให้จัดอันดับอะไรก็บอกกันได้เน้อ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสทำนะ 55555 ในระหว่างนี้หลายคนอาจจะ Work From Home ไม่รู้จะทำอะไร ก็หาหนังหาซีรีส์มาดูคลายเครียดกันได้ (แต่ทำงานกันให้เสร็จก่อนโน๊ะ) และสุดท้ายนี้อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ